'กสิกร' ชงบอร์ดปล่อยกู้ 4จี รับบัวหลวงชวนออกแบงก์การันตีให้ 'แจส โมบาย' แต่รับยังมีความเสี่ยง
กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559
กสิกรไทยรับสนปล่อยกู้ 4 จี เตรียมเสนอบอร์ด พิจารณาออกแบงก์การันตี ทรูมูฟ เอช สัปดาห์นี้ วงในแบงก์พาณิชย์เผย 5 แบงก์เตรียมเคาะให้ทรู นำไปจ่ายกสทช.เดือนก.พ.นี้ ขณะที่ บัวหลวงชวนร่วมปล่อยกู้แจสโมบาย รับต้องจับตาแผนธุรกิจใกล้ชิด หวั่นทำไม่ได้จริง แบงก์ต้องแบกภาระหนี้แทน พร้อมประเมินความต้องการระดมทุนปีนี้สูงกว่าปีก่อนที่ 4.3 ล้านล้าน
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการ ผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการให้สินเชื่อรวมถึงหนังสือค้ำประกัน (แบงก์การันตี) ให้กับ ผู้ชนะการประมูลคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ ทั้งแจสโมบาย และทรูมูฟเอช ซึ่งธนาคาร และธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นพร้อมออกแบงก์การันตี ให้กับธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม เพราะธุรกิจสื่อสาร 4จี มีความเสี่ยงต่ำกว่าทีวีดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มทรู ที่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจด้านโทรคมนาคมมาก่อน โดยวันที 28 ม.ค.นี้ จะนำเสนอแนวทางการสนับสนุนทางการเงินกับทรูมูฟเอช ให้คณะกรรมการของธนาคารพิจารณา
ส่วนแจสโมบาย ขณะนี้ธนาคารกรุงเทพติดต่อมาให้ร่วมออกแบงก์การันตีด้วยแล้ว แต่ธนาคามองว่าแจส โมบายเป็นผู้ประกอบการ หน้าใหม่ในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ดังนั้นธนาคารต้องพิจารณาแผนธุรกิจก่อน
แหล่งข่าวธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับกรณีทรูมูฟ เอช มีธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารไอซีบีซี (ไทย) อยู่ระหว่างขั้นตอนของการดำเนินการ คาดว่าทั้ง 5 รายจะแบ่งวงเงินเท่าๆกัน หรือรายละ 14,600 ล้านบาท
ในส่วนของบริษัทแจสโมบาย ในขณะนี้แจสยังไม่มีความเคลื่อนไหวการหาธนาคารพันธมิตรเพื่อร่วมออกหนังสือค้ำประกันซึ่งธนาคารพาณิชย์กังวลถึงความเป็นไปได้ของธุรกิจ หากแจสไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้จริงอาจสร้างความเสียหายให้ธนาคารได้
"เราไม่ห่วงทรูมูฟ เอชเพราะมีทรูและไชน่าโมบาย ถือหุ้นใหญ่เมื่อชนะประมูลในคลื่น 900 ซึ่งตลาดใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ได้ แต่แบงก์มองว่าแจสโมบาย เป็นผู้เล่นรายใหม่ยากที่จะชิงส่วนแบ่งการตลาดจากเอไอเอส ดีแทค และทรู ถ้าจะชนะได้ก็เพียงกสท. หรือทีโอที ที่มีฐานลูกค้าโทรศัพท์มือถือเพียงเล็กน้อย และแจสโมบาย ยังไม่มีความพร้อมในเรื่องของอุปกรณ์ แม้ว่าจะมีการแจกเบอร์ฟรี ผู้บริโภครับมาแล้วก็นำมาเป็นเบอร์สำรองเท่านั้น คงไม่ใช้เป็นเบอร์หลัก นอกจากนี้หลังจากแจสโมบาย จ่ายค่าสัมปทานงวดแรก 8,000 ล้านบาท และเช่าเสาสัญญาณจาก ผู้ประกอบการรายเดิม ก็ต้องมีภาระในการซื้ออุปกรณ์มาติดเสาเพื่อให้บริการ และที่สำคัญในช่วงปีที่ 4 ของสัมปทาน ต้องจ่ายเงินค่าสัมปทานก้อนโตสูงถึง 40,000 ล้านบาท หากแจสโมบายไม่มีพันธมิตรเข้ามาร่วมทุน หรือผู้เข้ามาร่วมรับภาระหนี้การก่อหนี้ที่เกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากที่ธนาคารพาณิชย์จะออกหนังสือค้ำประกันทางการเงิน อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมามีเพียงข่าวว่าธนาคารกรุงเทพ จะเป็นผู้ออกหนังสือค้ำประกัน แต่ในความเป็นจริงต้องใช้ธนาคารหลายแห่งร่วมออกหนังสือดังกล่าว
นายพัชร ยังกล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าขยายสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่4-6% จากสิ้นปีก่อนที่มียอดสินเชื่อรวมอยู่ที่468,000ล้านบาท และรายได้เติบโต8-9% ขณะเดียวกันตั้งเป้าสินเชื่อเอสเอ็มอีเติบโต5-7% จากสิ้นปีก่อนที่มียอดสินเชื่อรวมที่613,000ล้านบาท และ รายได้เติบโต4-6%
เขายังกล่าวอีกว่าความต้องการระดมทุนจากลูกค้ารายใหญ่ในปีนี้จะสูงกว่าในปีที่ผ่านมาที่นำเงินไปลงทุน 4.3 ล้านล้านบาท มีสัดส่วน 75%นำเงินไปลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะเออีซี ทั้งนี้นอกจากดีลใหญ่จากกลุ่ม 4จีแล้วยังมี ดีลการซื้อขายหุ้นบิ๊กซี อีกกว่า 200,000 ล้านบาท รวมแล้วในเบื้องต้นจะมีความต้องการเม็ดเงินกว่า400,000 ล้านบาท
นายพัชร กล่าวว่าปีนี้ธนาคารเตรียมพิจารณาออกหุ้นกู้ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) จำนวน 6-7 กอง โดยเร็วๆนี้จะเห็นชัดเจน3 กอง วงเงิน 20,000 ล้านบาท ขึ้นไป ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจแวร์เฮ้าส์และอาคารสำนักงาน เป็นธุรกิจที่มีรายได้มาเป็นสภาพคล่องสูง จากปีนี้มีประมาณ 70-80 กอง ที่กำลังเจรจา เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 50 กอง
ทางด้านนายพิชญ์ โพธารามิก ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2558 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน ทั้งสิ้น 2,919 ล้านบาท เมื่อรวมกับกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนสุทธิ13,218 ล้านบาท และการบันทึกการตั้งสำรองของบริษัท 426 ล้านบาท ทำให้ผลกำไรของบริษัทสุทธิที่ 15,710 ล้านบาท
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทวานนี้ (25 ม.ค.)ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงิน ปันผลในอัตราหุ้นละ 0.30 บาทรวมเป็นเงิน2,140,06 ล้านบาท
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559 (หน้า 17,21)
'กสิกร' ชงบอร์ดปล่อยกู้ 4จี รับบัวหลวงชวนออกแบงก์การันตีให้ 'แจส โมบาย' แต่รับยังมีความเสี่ยง
'กสิกร' ชงบอร์ดปล่อยกู้ 4จี รับบัวหลวงชวนออกแบงก์การันตีให้ 'แจส โมบาย' แต่รับยังมีความเสี่ยง
กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559
กสิกรไทยรับสนปล่อยกู้ 4 จี เตรียมเสนอบอร์ด พิจารณาออกแบงก์การันตี ทรูมูฟ เอช สัปดาห์นี้ วงในแบงก์พาณิชย์เผย 5 แบงก์เตรียมเคาะให้ทรู นำไปจ่ายกสทช.เดือนก.พ.นี้ ขณะที่ บัวหลวงชวนร่วมปล่อยกู้แจสโมบาย รับต้องจับตาแผนธุรกิจใกล้ชิด หวั่นทำไม่ได้จริง แบงก์ต้องแบกภาระหนี้แทน พร้อมประเมินความต้องการระดมทุนปีนี้สูงกว่าปีก่อนที่ 4.3 ล้านล้าน
นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการ ผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการให้สินเชื่อรวมถึงหนังสือค้ำประกัน (แบงก์การันตี) ให้กับ ผู้ชนะการประมูลคลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ ทั้งแจสโมบาย และทรูมูฟเอช ซึ่งธนาคาร และธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นพร้อมออกแบงก์การันตี ให้กับธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม เพราะธุรกิจสื่อสาร 4จี มีความเสี่ยงต่ำกว่าทีวีดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มทรู ที่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจด้านโทรคมนาคมมาก่อน โดยวันที 28 ม.ค.นี้ จะนำเสนอแนวทางการสนับสนุนทางการเงินกับทรูมูฟเอช ให้คณะกรรมการของธนาคารพิจารณา
ส่วนแจสโมบาย ขณะนี้ธนาคารกรุงเทพติดต่อมาให้ร่วมออกแบงก์การันตีด้วยแล้ว แต่ธนาคามองว่าแจส โมบายเป็นผู้ประกอบการ หน้าใหม่ในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ดังนั้นธนาคารต้องพิจารณาแผนธุรกิจก่อน
แหล่งข่าวธนาคารพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับกรณีทรูมูฟ เอช มีธนาคารพาณิชย์ 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารไอซีบีซี (ไทย) อยู่ระหว่างขั้นตอนของการดำเนินการ คาดว่าทั้ง 5 รายจะแบ่งวงเงินเท่าๆกัน หรือรายละ 14,600 ล้านบาท
ในส่วนของบริษัทแจสโมบาย ในขณะนี้แจสยังไม่มีความเคลื่อนไหวการหาธนาคารพันธมิตรเพื่อร่วมออกหนังสือค้ำประกันซึ่งธนาคารพาณิชย์กังวลถึงความเป็นไปได้ของธุรกิจ หากแจสไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้จริงอาจสร้างความเสียหายให้ธนาคารได้
"เราไม่ห่วงทรูมูฟ เอชเพราะมีทรูและไชน่าโมบาย ถือหุ้นใหญ่เมื่อชนะประมูลในคลื่น 900 ซึ่งตลาดใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ได้ แต่แบงก์มองว่าแจสโมบาย เป็นผู้เล่นรายใหม่ยากที่จะชิงส่วนแบ่งการตลาดจากเอไอเอส ดีแทค และทรู ถ้าจะชนะได้ก็เพียงกสท. หรือทีโอที ที่มีฐานลูกค้าโทรศัพท์มือถือเพียงเล็กน้อย และแจสโมบาย ยังไม่มีความพร้อมในเรื่องของอุปกรณ์ แม้ว่าจะมีการแจกเบอร์ฟรี ผู้บริโภครับมาแล้วก็นำมาเป็นเบอร์สำรองเท่านั้น คงไม่ใช้เป็นเบอร์หลัก นอกจากนี้หลังจากแจสโมบาย จ่ายค่าสัมปทานงวดแรก 8,000 ล้านบาท และเช่าเสาสัญญาณจาก ผู้ประกอบการรายเดิม ก็ต้องมีภาระในการซื้ออุปกรณ์มาติดเสาเพื่อให้บริการ และที่สำคัญในช่วงปีที่ 4 ของสัมปทาน ต้องจ่ายเงินค่าสัมปทานก้อนโตสูงถึง 40,000 ล้านบาท หากแจสโมบายไม่มีพันธมิตรเข้ามาร่วมทุน หรือผู้เข้ามาร่วมรับภาระหนี้การก่อหนี้ที่เกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากที่ธนาคารพาณิชย์จะออกหนังสือค้ำประกันทางการเงิน อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมามีเพียงข่าวว่าธนาคารกรุงเทพ จะเป็นผู้ออกหนังสือค้ำประกัน แต่ในความเป็นจริงต้องใช้ธนาคารหลายแห่งร่วมออกหนังสือดังกล่าว
นายพัชร ยังกล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าขยายสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่4-6% จากสิ้นปีก่อนที่มียอดสินเชื่อรวมอยู่ที่468,000ล้านบาท และรายได้เติบโต8-9% ขณะเดียวกันตั้งเป้าสินเชื่อเอสเอ็มอีเติบโต5-7% จากสิ้นปีก่อนที่มียอดสินเชื่อรวมที่613,000ล้านบาท และ รายได้เติบโต4-6%
เขายังกล่าวอีกว่าความต้องการระดมทุนจากลูกค้ารายใหญ่ในปีนี้จะสูงกว่าในปีที่ผ่านมาที่นำเงินไปลงทุน 4.3 ล้านล้านบาท มีสัดส่วน 75%นำเงินไปลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะเออีซี ทั้งนี้นอกจากดีลใหญ่จากกลุ่ม 4จีแล้วยังมี ดีลการซื้อขายหุ้นบิ๊กซี อีกกว่า 200,000 ล้านบาท รวมแล้วในเบื้องต้นจะมีความต้องการเม็ดเงินกว่า400,000 ล้านบาท
นายพัชร กล่าวว่าปีนี้ธนาคารเตรียมพิจารณาออกหุ้นกู้ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) จำนวน 6-7 กอง โดยเร็วๆนี้จะเห็นชัดเจน3 กอง วงเงิน 20,000 ล้านบาท ขึ้นไป ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจแวร์เฮ้าส์และอาคารสำนักงาน เป็นธุรกิจที่มีรายได้มาเป็นสภาพคล่องสูง จากปีนี้มีประมาณ 70-80 กอง ที่กำลังเจรจา เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 50 กอง
ทางด้านนายพิชญ์ โพธารามิก ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2558 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน ทั้งสิ้น 2,919 ล้านบาท เมื่อรวมกับกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนสุทธิ13,218 ล้านบาท และการบันทึกการตั้งสำรองของบริษัท 426 ล้านบาท ทำให้ผลกำไรของบริษัทสุทธิที่ 15,710 ล้านบาท
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทวานนี้ (25 ม.ค.)ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงิน ปันผลในอัตราหุ้นละ 0.30 บาทรวมเป็นเงิน2,140,06 ล้านบาท
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559 (หน้า 17,21)