หลายครั้งที่เหตุการณ์แปลกประหลาด ไม่สามารถหาสาเหตุได้ชัดเจน ทำให้คนหลายกลุ่มหันไปพึ่งพิงความเชื่อทางไสยศาสตร์ ที่ผ่านมากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแผนและนโยบายส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อสร้างกระบวนการคิดเป็นเหตุเป็นผลอย่างวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น
นายสาคร ชนะไพฑูรย์ รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า แนวทางที่หน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ยึดถืออย่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ระบุเรื่องการสร้างและส่งเสริมการคิดแบบวิทยาศาสตร์ 2 รูปแบบคือ การเรียนรู้ผ่านแหล่งเรียนรู้ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศให้เป็นสังคมฐานความรู้ซึ่งหน่วยงานต่างๆมองว่าความเชื่อบางความเชื่อสามารถอยู่ร่วมกับวิทยาศาสตร์ได้
“ความเชื่อบางความเชื่อมันจรรโลงสังคมแต่ความเชื่อนั้นต้องมีฐานของวิทยาศาสตร์ยอมรับผมเลยมองว่าอย่างนี้คืออารยธรรมที่เราจะต้องมีไม่ได้บอกว่าความเชื่อไม่ดีแต่แน่นอนในเรื่ององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฯ และกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เราต้องทำความตระหนักตรงนี้ให้ลดน้อยลงและให้เกิดความเข้าใจ ตระหนักแต่มันอยู่กับสังคมได้
ผมไหว้พระไหม ผมก็ต้องไหว้ ผมทำบุญไหม ก็ต้องทำบุญเพราะอย่างน้อยที่สุดผมสบายใจ นี่คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังถือว่ามันยังอยู่ได้ แต่บางความเชื่อมันควรจะลบล้าง” นายสาคร กล่าว
นายสาคร เปิดเผยว่า กระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินงานเพื่อสร้างความตระหนักรู้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนตามแผนพัฒนาในระยะ 5-10 ปี และมั่นใจว่าคนในสังคมไทยสามารถใช้ดุลยพินิจในการเลือกเชื่อแนวคิดที่มีเหตุผลได้แต่ต้องใช้เวลาในระยะยาว อย่างไรก็ตาม นายสาคร มองว่า การอธิบายความเชื่อบางอย่างด้วยวิทยาศาสตร์อาจส่งผลกระทบทางสังคม
“ถ้าอธิบายทางวิทยาศาสตร์แล้วมันไปทำลายบางอย่างออกไป สิ่งที่จรรโลงคือจรรโลงให้คนทำความดี จรรโลงให้เกิดเศรษฐกิจ ไม่ได้ทำร้ายใครไม่เหมือนเมาแล้วขับ เพราะฉะนั้นผมมองว่าตรงนี้อยู่ด้วยกันได้ และให้คงคู่ประเทศไทย-ลาวต่อไป มีแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆเกิดขึ้น มีปรากฎการณ์พิเศษ เหมือนปรากฎการณ์รุ้งกินน้ำที่หลายคนเชื่อ ไปไหว้ แต่จริงๆแล้ววิทยาศาสตร์อธิบายเรียบร้อยแล้วว่ามันคือละอองของฝน อันนี้คือประเด็น”
ทางเลือกระหว่างความเชื่อทางไสยศาสตร์กับแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์เป็นสิทธิส่วนบุคคลแต่สิ่งสำคัญคือการสร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักถึงปรากฎการณ์ต่างๆเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อผู้ฉวยโอกาสใช้ความเชื่อหลอกลวงเพื่อหาผลประโยชน์
ข่าวจาก : มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/news/12752
“ไสยศาสตร์” กับแผนพัฒนาวิทยาศาสตร์จากรัฐ อยู่ร่วมกันอย่างไร?
หลายครั้งที่เหตุการณ์แปลกประหลาด ไม่สามารถหาสาเหตุได้ชัดเจน ทำให้คนหลายกลุ่มหันไปพึ่งพิงความเชื่อทางไสยศาสตร์ ที่ผ่านมากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแผนและนโยบายส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อสร้างกระบวนการคิดเป็นเหตุเป็นผลอย่างวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น
นายสาคร ชนะไพฑูรย์ รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า แนวทางที่หน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ยึดถืออย่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ระบุเรื่องการสร้างและส่งเสริมการคิดแบบวิทยาศาสตร์ 2 รูปแบบคือ การเรียนรู้ผ่านแหล่งเรียนรู้ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศให้เป็นสังคมฐานความรู้ซึ่งหน่วยงานต่างๆมองว่าความเชื่อบางความเชื่อสามารถอยู่ร่วมกับวิทยาศาสตร์ได้
“ความเชื่อบางความเชื่อมันจรรโลงสังคมแต่ความเชื่อนั้นต้องมีฐานของวิทยาศาสตร์ยอมรับผมเลยมองว่าอย่างนี้คืออารยธรรมที่เราจะต้องมีไม่ได้บอกว่าความเชื่อไม่ดีแต่แน่นอนในเรื่ององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฯ และกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เราต้องทำความตระหนักตรงนี้ให้ลดน้อยลงและให้เกิดความเข้าใจ ตระหนักแต่มันอยู่กับสังคมได้
ผมไหว้พระไหม ผมก็ต้องไหว้ ผมทำบุญไหม ก็ต้องทำบุญเพราะอย่างน้อยที่สุดผมสบายใจ นี่คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังถือว่ามันยังอยู่ได้ แต่บางความเชื่อมันควรจะลบล้าง” นายสาคร กล่าว
นายสาคร เปิดเผยว่า กระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินงานเพื่อสร้างความตระหนักรู้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนตามแผนพัฒนาในระยะ 5-10 ปี และมั่นใจว่าคนในสังคมไทยสามารถใช้ดุลยพินิจในการเลือกเชื่อแนวคิดที่มีเหตุผลได้แต่ต้องใช้เวลาในระยะยาว อย่างไรก็ตาม นายสาคร มองว่า การอธิบายความเชื่อบางอย่างด้วยวิทยาศาสตร์อาจส่งผลกระทบทางสังคม
“ถ้าอธิบายทางวิทยาศาสตร์แล้วมันไปทำลายบางอย่างออกไป สิ่งที่จรรโลงคือจรรโลงให้คนทำความดี จรรโลงให้เกิดเศรษฐกิจ ไม่ได้ทำร้ายใครไม่เหมือนเมาแล้วขับ เพราะฉะนั้นผมมองว่าตรงนี้อยู่ด้วยกันได้ และให้คงคู่ประเทศไทย-ลาวต่อไป มีแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆเกิดขึ้น มีปรากฎการณ์พิเศษ เหมือนปรากฎการณ์รุ้งกินน้ำที่หลายคนเชื่อ ไปไหว้ แต่จริงๆแล้ววิทยาศาสตร์อธิบายเรียบร้อยแล้วว่ามันคือละอองของฝน อันนี้คือประเด็น”
ทางเลือกระหว่างความเชื่อทางไสยศาสตร์กับแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์เป็นสิทธิส่วนบุคคลแต่สิ่งสำคัญคือการสร้างความรู้ความเข้าใจและความตระหนักถึงปรากฎการณ์ต่างๆเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อผู้ฉวยโอกาสใช้ความเชื่อหลอกลวงเพื่อหาผลประโยชน์
ข่าวจาก : มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/news/12752