24 ม.ค. 59 เวลา17.30 น. ที่ลานจอดรถหน้าตึกสูง 3 ชั้น ข้างตลาดนัดวัดเกาะ เขตสายไหม กรุงเทพ มาส่งแฟนซื้อกับข้าว เห็นว่าลานจอดว่าง ก็ขับรถเข้าไปจอด เสียค่าจอดบ้างก็ไม่เป็นไรมีผู้ชายตัดผมเกรียน 3-4 คน เก็บเงิน 20 บาท
เอิ่ม..ม แพงไปนิดสำหรับลานดินข้างตลาดนัดชุมชน (ลานตรงข้ามเก็บ 10 บาท) การลงไปซื้อกับข้าวสองสามอย่างใช้เวลาไม่น่าจะเกิน 15-20 นาที ตั๋วใบเสร็จอะไรก็ไม่มี (แจ้งสรรพากรซะดีมั้ง?)
ไม่เป็นไร ขอเข้าห้องน้ำหน่อยแล้วกัน ควักเงินจ่าย 20 บาทค่าจอดรถ และถามว่าห้องน้ำไปทางไหน เด็กเก็บเงินชี้ไปทางด้านหลังตึกขณะเดินเข้าไปเห็นผู้ชาย 2 คนกำลังถูกผู้หญิงสูงวัยต่อว่าอะไรสักอย่าง ไม่เกี่ยวกับเราเดินมุ่งหน้าตรงไปจะเข้าห้องน้ำ
ขยับจะผ่านตรงนั้น ผู้หญิงคนนั้นหันมาชักหน้ายักษ์ใส่ ต่อว่าเสียงดัง "ใครอนุญาตให้คุณเข้ามา คุณขออนุญาตใคร?" อ้าวย้อนถามกลับไปเสียงเรียบๆว่า "ผมต้องขออนุญาตด้วยเหรอ?" ในใจคิดว่าจ่ายค่าจอดรถก็แพงกว่าลานอื่นเขาเก็บแค่ 10 บาท ขอเข้าห้องน้ำหน่อยเดียวเองทำไมต้องขนาดนี้ด้วย
แค่นั้นแหละหล่อนปรี๊ดเสียงกร้าวกว่าเดิม "นี่เป็นที่ส่วนตัว ตึกนี้เป็นของนายทหารยศพลโท บนตึกนี้ก็มีนายทหารยศนายพัน นายร้อยพักอาศัยอยู่ เด็กๆเก็บเงินก็เป็นทหารทั้งนั้น เดี๋ยวต้องอบรมใหญ่กันแล้วปล่อยให้เดินมาเข้าห้องน้ำกันมั่วไปหมด แล้วนี่เดี๋ยวคุณท่าน (สามีหล่อน) จะลงมาเข้าห้องน้ำเหม็นสกปรกไปหมด เด็กก็ต้องคอยทำความสะอาด
อยากจะโต้ตอบกลับไปว่า อ้าวเหรอทหารแล้วไง? ผมต้องกลัวคุณด้วยเหรอ คุณท่านสามีคุณเป็นเจ้าขุนมูลนายมาแต่ปางไหน เป็นเจ้านายผมหรือก็เปล่า ทำไมผมต้องกลัวคุณด้วย เด็กเก็บเงินที่คุณบอกว่าเป็นทหารลูกน้องของสามีคุณเป็นคนชี้บอกทางให้ผมเข้ามา ผมไม่ได้ถือวิสาสะเข้ามาเอง ไม่รู้ด้วยว่ามีห้องน้ำตรงนี้ แต่ก็ได้สะกดใจสงบนิ่งไว้เพราะประโยคว่า นี่เป็นที่ส่วนตัว ถ้ามีอะไรเราเสียเปรียบยอมหล่อนดีกว่า ตอบหล่อนด้วยน้ำเสียงพินอบพิเทาว่า “เปล่าครับไม่มีอะไรครับ ผมปวดฉี่ จะขอเข้าห้องน้ำหน่อยแค่นั้นเอง”
จัดการธุระตัวเองเรียบร้อย กดน้ำรักษาความสะอาดให้เรียบร้อย ยังมีความเกรงใจ แต่ในใจสุดจะทน ออกมาจากห้องน้ำยังเห็นหล่อนยืนชี้โบ๊ชี้เบ๊ อบรมเด็กหัวเกรียนเสียงดังอยู่ จึงเดินเลี่ยงไปอีกด้านของตึกซึ่งสามีคุณท่านของหล่อนยืนอยู่ ในใจคิดไม่เป็นไรน่ะ ผู้ชายคงไม่เท่าไร คุยง่ายกว่าผู้หญิง
แต่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด พอผ่านคุณท่าน จิกสายตามาทางเราเหมือนเสือรอตะปบเหยื่อ “เดินเสียรอบเลยนะ?” น้ำเสียงดูแคลนเหยียดหยันเหมือนว่าเราเป็นขี้ข้าบ่าวหรือทหารรับใช้ของแก
ด้วยความที่เรามาใช้สถานที่ของเขา จึงก้มหัวด้วยความนอบน้อม ตอบกลับไป “พอดีผมเห็นคุณนายเอะอะลูกน้องท่านอยู่ตรงนั้น ผมเลยเดินเลี่ยงมาทางนี้ครับ” สายตาแกยังคงจ้องมองตามผมมาจนผมถึงรถผม
ผมยืนสะกดใจคิดอะไรต่างๆ นาๆ ว่าสองคนผัวเมียนี้เขาเป็นอะไรไปหรือ? เขาคิดว่าคนในสังคมนี้เป็นคนชั้นต่ำศักดินากว่าตัวเองหรือไร ที่ดินตรงที่แกสร้างตึกนี้ก็คงประมาณ 200 ตารางวา ผมตีมูลค่าในใจให้ 50 ล้าน คิดว่ารวยแล้วหรือ? ถ้ารวยจริงจะเปิดลานหน้าตึกตัวเองเก็บเงินค่าเช่าที่จอดรถวันละไม่กี่บาททำไม ทำไมไม่ทำสวนหย่อมปลูกต้นไม้ ทำน้ำตกไว้ชมธรรมชาติเหมือนคนรวยๆเขาทำกัน?
สมมุติว่ารวย รวยแล้วไง? ต้องดูถูกคนด้วยกริยาอย่างนี้หรือ แล้วที่นี่ก็ไม่ใช่กรมทหารที่จะเอายศศักดินามาข่มคนที่เขาไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของคุณ นอกกรมทหารก็เท่าเทียมในความเป็นประชาชนเหมือนกัน จะมาบอกว่าเป็นทหารยศพลตรี พลโท จะมาบอกผมทำไม?
เพราะผมก็มองว่าคุณจะยศสูงศักดิ์แค่ไหน คุณก็คนเหมือนผม มีสิทธิเท่าเทียมกัน เพราะผมเคยได้ยินประโยคว่า“ทหารก็คือประชาชน” หรือคุณคิดว่าคุณอยู่เหนือประชาชน ผมก็แค่จะมาขอเข้าห้องน้ำเพราะ
“ผมปวดฉี่จะทนไม่ไหวแล้ว แค่ขอมาฉี่แป๊บเดียวเอง”
"ไม่มีอะไรคร๊าบ ผมแค่มาขอฉี่นิดเดียวเอง"
เอิ่ม..ม แพงไปนิดสำหรับลานดินข้างตลาดนัดชุมชน (ลานตรงข้ามเก็บ 10 บาท) การลงไปซื้อกับข้าวสองสามอย่างใช้เวลาไม่น่าจะเกิน 15-20 นาที ตั๋วใบเสร็จอะไรก็ไม่มี (แจ้งสรรพากรซะดีมั้ง?)
ไม่เป็นไร ขอเข้าห้องน้ำหน่อยแล้วกัน ควักเงินจ่าย 20 บาทค่าจอดรถ และถามว่าห้องน้ำไปทางไหน เด็กเก็บเงินชี้ไปทางด้านหลังตึกขณะเดินเข้าไปเห็นผู้ชาย 2 คนกำลังถูกผู้หญิงสูงวัยต่อว่าอะไรสักอย่าง ไม่เกี่ยวกับเราเดินมุ่งหน้าตรงไปจะเข้าห้องน้ำ
ขยับจะผ่านตรงนั้น ผู้หญิงคนนั้นหันมาชักหน้ายักษ์ใส่ ต่อว่าเสียงดัง "ใครอนุญาตให้คุณเข้ามา คุณขออนุญาตใคร?" อ้าวย้อนถามกลับไปเสียงเรียบๆว่า "ผมต้องขออนุญาตด้วยเหรอ?" ในใจคิดว่าจ่ายค่าจอดรถก็แพงกว่าลานอื่นเขาเก็บแค่ 10 บาท ขอเข้าห้องน้ำหน่อยเดียวเองทำไมต้องขนาดนี้ด้วย
แค่นั้นแหละหล่อนปรี๊ดเสียงกร้าวกว่าเดิม "นี่เป็นที่ส่วนตัว ตึกนี้เป็นของนายทหารยศพลโท บนตึกนี้ก็มีนายทหารยศนายพัน นายร้อยพักอาศัยอยู่ เด็กๆเก็บเงินก็เป็นทหารทั้งนั้น เดี๋ยวต้องอบรมใหญ่กันแล้วปล่อยให้เดินมาเข้าห้องน้ำกันมั่วไปหมด แล้วนี่เดี๋ยวคุณท่าน (สามีหล่อน) จะลงมาเข้าห้องน้ำเหม็นสกปรกไปหมด เด็กก็ต้องคอยทำความสะอาด
อยากจะโต้ตอบกลับไปว่า อ้าวเหรอทหารแล้วไง? ผมต้องกลัวคุณด้วยเหรอ คุณท่านสามีคุณเป็นเจ้าขุนมูลนายมาแต่ปางไหน เป็นเจ้านายผมหรือก็เปล่า ทำไมผมต้องกลัวคุณด้วย เด็กเก็บเงินที่คุณบอกว่าเป็นทหารลูกน้องของสามีคุณเป็นคนชี้บอกทางให้ผมเข้ามา ผมไม่ได้ถือวิสาสะเข้ามาเอง ไม่รู้ด้วยว่ามีห้องน้ำตรงนี้ แต่ก็ได้สะกดใจสงบนิ่งไว้เพราะประโยคว่า นี่เป็นที่ส่วนตัว ถ้ามีอะไรเราเสียเปรียบยอมหล่อนดีกว่า ตอบหล่อนด้วยน้ำเสียงพินอบพิเทาว่า “เปล่าครับไม่มีอะไรครับ ผมปวดฉี่ จะขอเข้าห้องน้ำหน่อยแค่นั้นเอง”
จัดการธุระตัวเองเรียบร้อย กดน้ำรักษาความสะอาดให้เรียบร้อย ยังมีความเกรงใจ แต่ในใจสุดจะทน ออกมาจากห้องน้ำยังเห็นหล่อนยืนชี้โบ๊ชี้เบ๊ อบรมเด็กหัวเกรียนเสียงดังอยู่ จึงเดินเลี่ยงไปอีกด้านของตึกซึ่งสามีคุณท่านของหล่อนยืนอยู่ ในใจคิดไม่เป็นไรน่ะ ผู้ชายคงไม่เท่าไร คุยง่ายกว่าผู้หญิง
แต่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด พอผ่านคุณท่าน จิกสายตามาทางเราเหมือนเสือรอตะปบเหยื่อ “เดินเสียรอบเลยนะ?” น้ำเสียงดูแคลนเหยียดหยันเหมือนว่าเราเป็นขี้ข้าบ่าวหรือทหารรับใช้ของแก
ด้วยความที่เรามาใช้สถานที่ของเขา จึงก้มหัวด้วยความนอบน้อม ตอบกลับไป “พอดีผมเห็นคุณนายเอะอะลูกน้องท่านอยู่ตรงนั้น ผมเลยเดินเลี่ยงมาทางนี้ครับ” สายตาแกยังคงจ้องมองตามผมมาจนผมถึงรถผม
ผมยืนสะกดใจคิดอะไรต่างๆ นาๆ ว่าสองคนผัวเมียนี้เขาเป็นอะไรไปหรือ? เขาคิดว่าคนในสังคมนี้เป็นคนชั้นต่ำศักดินากว่าตัวเองหรือไร ที่ดินตรงที่แกสร้างตึกนี้ก็คงประมาณ 200 ตารางวา ผมตีมูลค่าในใจให้ 50 ล้าน คิดว่ารวยแล้วหรือ? ถ้ารวยจริงจะเปิดลานหน้าตึกตัวเองเก็บเงินค่าเช่าที่จอดรถวันละไม่กี่บาททำไม ทำไมไม่ทำสวนหย่อมปลูกต้นไม้ ทำน้ำตกไว้ชมธรรมชาติเหมือนคนรวยๆเขาทำกัน?
สมมุติว่ารวย รวยแล้วไง? ต้องดูถูกคนด้วยกริยาอย่างนี้หรือ แล้วที่นี่ก็ไม่ใช่กรมทหารที่จะเอายศศักดินามาข่มคนที่เขาไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของคุณ นอกกรมทหารก็เท่าเทียมในความเป็นประชาชนเหมือนกัน จะมาบอกว่าเป็นทหารยศพลตรี พลโท จะมาบอกผมทำไม?
เพราะผมก็มองว่าคุณจะยศสูงศักดิ์แค่ไหน คุณก็คนเหมือนผม มีสิทธิเท่าเทียมกัน เพราะผมเคยได้ยินประโยคว่า“ทหารก็คือประชาชน” หรือคุณคิดว่าคุณอยู่เหนือประชาชน ผมก็แค่จะมาขอเข้าห้องน้ำเพราะ
“ผมปวดฉี่จะทนไม่ไหวแล้ว แค่ขอมาฉี่แป๊บเดียวเอง”