ก่อนหน้านี้ผมเคยรีวิวเปรียบเทียบ Pioneer รุ่นใหญ่ตัวนี้ เทียบกับ Alpine รุ่นเล็กมาแล้ว ในกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/32238357 และบัดนาว ผมได้กลับมาใช้ Alpine อีกครั้ง และรอบนี้ดูเป็นรุ่นใหญ่ เพื่อจะได้เอามาชนกับ Pioneer ตัวที่ผมกำลังใช้งานอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าถ้าฟร้อนท์ Alpine และ Pioneer ในรุ่นไล่ๆกัน ราคาก็พอๆกัน ตัวไหนจะเสียงดีกว่า และแนวเสียงจะต่างกันยังไง
แรกเริ่มเดิมที Alpine รุ่นใหม่มีให้เลือก 2 ตัวคือ 148EBT (เก่ากว่า) และ 164EBT (ใหม่สุด) ผมได้โทรปรึกษาร้าน S ทั้งเจ๊และเฮีย (โทรไปถาม 2-3 ครั้ง) ยืนยันหนักแน่นว่า 148EBT เสียงดีกว่า แบบใช้หูฟังนะ (ใช่สิเฮีย ถ้าใช้ตาฟังก็แปลกแล้วเฮีย! เฮ้ย! ไม่ใช่อย่างนั้น เฮียหมายถึง ฟังเอง ไม่ได้ใช้เครื่องวัด เสียงดีกว่าหน่อยนึง อันนี้ผมเดานะครับ เฮียไม่ได้พูดละเอียดขนาดนี้หรอก) นอกจากเสียงแล้ว เรื่องหน้าตา 148EBT ก็ถูกชะตาผมมากกว่า ความละเอียดในการแสดงผลเป็น Multi dot (เรียกถูกป่าวไม่รู้) แต่ตัว 164EBT ยังแสดงผลเป้นเส้นๆความละเอียดน้อยกว่าครับ เลยสรุปว่า 148EBT สำหรับผมแล้วชนะขาด ก็เลยเลือกตัวนี้มาชนกับ Pioneer 80PRS ซะเลย ขอบอกว่าผมเอาฟร้อนท์ใหม่นี้ใส่เข้าไปแทนตัวเดิมเท่านั้น ทำการปรับจูนเบื้อต้นยังไม่ถึงขั้นละเอียด (ของเดิมก็จูนครบพอกัน) อุปกรณ์ทุกๆชิ้นยังใช้เหมือนเดิมนะครับ
ขอออกตัวก่อนครับว่า ผมเป็นตาสีตาสาธรรมดา (อีกแล้ว) ไม่มีความรู้ทางด้านเครื่องเสียง ไม่ได้ทำงานอยู่ในแวดวงเครื่องเสียง ไม่ได้จบวิศวกรรม หูก็หูสามัญชนรากหญ้าทั่วๆไป เพียงแต่ได้ซื้อหามาลองใช้เองเป็นระยะเวลาหนึ่ง ได้สังเกตถึงความแตกต่าง จึงนำมาแบ่งปันประสบการณ์ เผื่อจะมีท่านอื่นๆที่อาจจะสนใจครับ
เปรียบเทียบฟังก์ชั่นการใช้งาน
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเปรียบเทียบในส่วนของฟังก์ชั่นการปรับแต่งเสียงกันก่อนเลยละกันครับ
1. HPF สำหรับลำโพงกลางแหลม และ LPF สำหรับลำโพง Subwoofer เป็นฟังก์ชั่นเอาไว้ตัดเสียงระหว่างกลางแหลมและซับไม่ให้กวนกันครับ ส่วนจะตัดที่เท่าไร Slope ยังไง ต้องแล้วแต่หูครับว่าชอบแบบไหน ยิ่งตัดต่ำๆซับจะยิ่งบวมน้อย เบสจะใสสะอาดมากขึ้น ยิ่งตัดสูงจะยิ่งบวมมากขึ้น แต่ก็ให้อารมณ์เพลง Rock ที่ดีขึ้น
-
Alpine สามารถตัดได้ต่ำมากๆถึง 20Hz (จะต่ำไปทำไมขนาดนั้น) และ Slope ได้ถึง 24db นับว่าฟังก์ชั่นนี้ชนะเลิศเลยครับ
-
Pioneer สามารถตัดต่ำสุดได้ 50Hz (ก็ดูเพียงพอนะ) แต่ Slope ซับ Set ได้เพียง 18db Slope กลางแหลม set ได้เพียง 12db เท่านั้น แต่ผมขอชม interface ของ Pioneer ครับ ทำออกมาได้สวย เข้าใจง่าย
2. Equalizer ฟร้อนท์และลำโพงถึงแม้จะ match กัน แต่เสียงก็อาจไม่ได้อย่างที่หูเราชอบ ฟังก์ชั่นนี้ช่วยในการเพิ่มความถี่เฉพาะจุด อยากลดเสียงนั้นเพิ่มเสียงนี้ก็สามารถจัดการได้เลยครับ แต่อย่าทำเยอะไปละครับ ยิ่งทำ เสียงยิ่งออกห่างจากความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
-
Alpine เป็น Parametric EQ 9 Band ครับ แต่ละ Band เราจะเลือกว่าเราจะเน้นไปที่ความถี่ไหน และทำการปรับ Boot หรือ Cut ความถี่นั้นๆ
-
Pioneer เป็น Graphic EQ ที่แสดงความถี่ทุกความถี่ สามารถปรับแต่งได้หมดทุกย่าน ผมชอบมากเลย มันยืดหยุ่นที่สุด ละเอียดที่สุด และ interface เข้าใจง่ายมากๆครับ
3. Time Alignment เป็นฟังก์ชั่นจัดการหน่วงเวลาให้แต่ละลำโพงทำงาน "ช้าลง" เราจะเซ็ตให้ลำโพงแต่ละตัวทำงานไม่พร้อมกัน จุดประสงค์เพื่อให้เสียงที่มาจากลำโพงแต่ละตัวถึงหูเราพร้อมๆกันพอดี (อธิบายงงไหม) ซึ่งเมื่อจูนแล้วเราจะได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยเพิ่มขึ้นมาครับ และเสียงเดิมๆก็ชัดใสขึ้นด้วย ฟังก์ชั่นนี้ต้องอาศัยเครื่องมือและฝีมือสักนิด ผมเองก็ทำไม่เป็นครับ ทางร้านจัดการให้เรียบร้อย
4. ฟังก์ชั่นปรับแต่งเสียงอื่นๆ Alpine เห็นทีจะหมดละครับ ยกให้ Pioneer ละกัน นอกจาก Function ที่กล่าวไปทั้งหมดแล้ว Pioneer ยังมีไม้ตายเหลืออีก 2-3 อย่างนั่นคือ
4.1 Sound retriever ฟังก์ชั่นคืนค่าเสียงที่ถูกบีบอัด เมื่อกดใช้แล้ว เสียงแต่ละตัวโน๊ตจะมีความคมชัดใสมากขึ้น แต่ก็จะลีบเล็กลงกว่าเดิมครับ
4.2 Loudness เพิ่มแหลม เพิ่มเบส เพิ่มความชัดให้เบสเป้นลูกๆเคลียร์ๆ แหลมบาดหูมากขึ้น กลางจมนิดนึง
4.3 ASL อันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่ามันมัหลีกการในการทำงานยังไง รู้แต่ว่าถ้าใช้แล้วเสียงทุกเสียงมันจะชัดขึ้น โน๊ตกลมสวยขึ้น อิ่ม รายละเอียดออกมากขึ้น แต่เวทีเสียงก็จะแบนราบลง ความลึกลดลง อันนี้ฟังด้วยหูตัวเองนะครับ
ฟังก์ชั่นต่างๆที่ Pioneer มินี้ บางอย่างดูแล้วอาจแปลกๆไม่เข้าท่า แต่ขอบอกว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ Pioneer ตัวนี้เป็นฟร้อนท์ที่ยืดหยุ่นสูงมาก สามารถปรับจูนเสียงได้ระเบิดระเบ้อ
5. ฟังก์ชั่นอื่นๆ ขอเอาข้อดีของ Alpine อันที่ผมชอบที่สุดมาบอกกล่าวบ้าง เดี่ยวคนอ่านจะเทใจไปให้ Pioneer เสียหมด ฟังก์ชั่นที่ผมชอบที่สุดของ Alpine 148EBT ตัวนี้ก็คืออออออ........ อ่านภาษาไทยได้!!!!! (เงียบ....ฉี่.......)
ทั้งหมดนี้เป็นฟังก์ชั่นของทั้ง 2 ฟร้อนท์ ตัดเอาเฉพาะที่สำคัญๆ และเอามาเฉพาะฟังก์ชั่นการปรับแต่งเสียงเท่านั้นนะครับ ต่อไปนี้จะขอถือโอกาสอธิบายความแตกต่างทางด้านเสียงของทั้ง 2 ฟร้อนท์ว่าแตกต่างกันอย่างไร บอกไว้ก่อนว่าด้วยหูตัวเองล้วนๆนะครับ แต่หูผมไม่ใช่หูเทพหูทอง เพราะฉะนั้นอะไรที่ผมฟังออกคนอื่นๆก็น่าจะฟังออกเช่นกัน แต่หูของแต่ละท่านก็อาจชอบหรือไม่ชอบ ฟังได้เหมือนหรือแตกต่างจากที่ผมฟังออกก็ได้ครับ ขอย้ำอีกเรื่องคือ Pioneer 80PRS เป็นฟร้อนท์ราคาเกือบหมื่น ผลิตออกมาในปี 2012 (ขออภัยถ้าจำผิด) ส่วน Alpine 148EBT เป็นฟร้อนท์ราคาเกือบหมื่นเหมือนกัน แต่ผลิตมาปีล่าสุด 2015 ครับ (ปีที่แล้ว) ซึ่งเขาว่ากันว่า ฟร้อนท์ยิ่งตัวเก่าๆยิ่งเสียงดีกว่าตัวใหม่ๆที่เริ่มจะย้ายไปผลิตในจีนเพื่อแข่งขันกับยี่ห้ออื่นด้านราคา และเสียงจะดรอบลงกว่าแต่ก่อน
ขอเพิ่มเติมอีกนิด ส่วนใหญ่ผมฟังเพลงจาก USB นะครับ ตัว Pioneer สามารถอ่านไฟล์ Wave ได้ ซึ่งผม Rip แบบ Lostless มาจาก CD ก็คือได้ไฟล์ 44.1K ครับ ไฟล์คุณภาพเทียบเท่า CD เลย ส่วน Alpine ผมต้องแปลงไฟล์เป็น mp3 320kbps นอกจากนั้นผมก็ยังมีเพลงอื่นๆที่เป็นไฟล์ไม่ละเอียด 128k 256k อยู่บ้างเหมือนกันครับ
คุณภาพเสียง
ขอบอกตามตรงว่า คุณภาพเสียง Alpine ดีกว่าจริงครับ ผมให้ประมาณ 30% พอๆกับการ Upgrade ลำโพงจากรุ่นกลางไปรุ่นใหญ่เลย คุณภาพเสียงที่ผมกำลังพูดถึง หมายถึง การที่เสียงออกมาครบ เสียงเล็กเสียงน้อยได้ยินชัด แต่ละเสียงอิ่ม หนา ความหนักเบา รายละเอียดของแต่ละเสียงสมดุล โดยรวมแล้ว Alpine ชนะค่อนข้างขาดครับ Alpine มีเสียงย่านสูง กลาง ต่ำ กลมกลืนกันมากกว่า เสียงกลางเด่นกว่าย่านอื่นเล็กน้อยและเบสด้อยกว่าย่านอื่นเล็กน้อย ทุกตัวโน๊ตมีสำเนียง เหมือนๆกันนักบอลบราซิลต้องติดลูกไซร้ทุกลูกนั่นแหละครับ ยิ่งเวลาบางท่อนที่ต้องการความเป็น Dynamic หนักเบานี่ทำได้ดีมาก และผมสังเกตว่าความบวมของเบสที่เคยเกิดกับ Pioneer นั้นลดลงพอสมควร Alpine ยังฟังเพลงที่ความละเอียดต่ำๆ 128k 256k ได้เพราะกว่า Pioneer มาก
ส่วน Pioneer ย่านเสียงเบาจะอิ่ม หนา และเด่น แต่จะออกบวมครางหน่อย ถ้าจูนแบบลวกๆนี่กลางจะจมหายไปในอากาศเลยครับ ย่านกลางเสียงบางนิดนึง และย่านสูงสดใส คมชัด แต่ผมสังเกตเห็นว่า Pioneer ให้เสียง Background ที่เงียบสงัดกว่า โน๊ตแต่ละตัวที่ออกมาจะคมกว่า Alpine ครับ แต่โน๊ตจะลีบๆเล็กๆกว่าเช่นกัน (เพราะผมปรับ Sound Retriever ระดับ 2 ด้วยแหละ) เอาเป็นว่ารวมๆแล้ว Alpine Win!
การถ่ายทอดอารมณ์เพลง
ฟร้อนท์ Alpine ผมขอให้คำนิยามว่า "ฟร้อนท์ฟรุ้งฟริ๊ง" ครับ ทุกๆเพลงที่เคยฟังกับ Pioneer เมื่อเอามาเปิดกับ Alpine มันจะบวกความหวานความเคลิ้มไปเลยอีก 20% เพลงช้า เพลงหวาน ฟังแล้วเคลิ้มกว่าเดิมมาก ปกติผมเป็นคนขับรถเร็ว แต่หลังจากเปลี่ยนฟร้อนท์ตัวนี้มา Speed ผมตกลงเยอะ ใจเย็นขึ้น ชิวมากขึ้น บางทีฟังจนหลุด จนผมให้นิยามกับมันใหม่ว่า "ฟร้อนต์ดูดวิญญาณ" เลย มีครั้งนึงผมขับรถออก ตจว. เลนส์สวน ขับ 70-80 ฟังเพลงเพลินๆ สติหลุด ได้จังหวะแซงรถขนอ้อย ก็แซงไปแต่ไม่พ้นครับ มีรถสวนมาเสียก่อน ถึงกับตื่นจากบรรทมต้องกดคันเร่งส่งเพิ่มแต่ก็ไม่ทันอยู่ดี รถสวนมาเป็นกระบะต้องหลบลงไหลทางให้ผม TT-TT ยังรู้สึกผิดจนถึงวันนี้ ปกติผมไม่เคยเป้นแบบนี้เลย ไม่ได้มีอาการง่วงหรือเหนื่อยแม้แต่น้อย
เพลงที่ฟร้อนต์ตัวนี้ขับออกมาได้ดีมากเลยก็คือเพลงแนวเน้นเสียงร้อง เสียงดนตรี Solo และดนตรีประกอบหลายๆชิ้นครับ เพลง Pop เอย Vocal เอย เพลงประกอบละครเอย ลูกทุ่งเอย เพลง K-Pop ก็ฟังดีขึ้น หรือแม้แต่เพลง Rock ก็ฟังเสียงชัดเจนขึ้นเช่นกัน แต่จะออกแนวสุภาพๆ นุ่มๆ ออกแนววงร๊อคที่ใส่สูทผูกไท๊เล่นคอนเสิร์ตครับ แต่แนวเพลงที่ Alpine แพ้ทางเห้นจะเป็น Ballad ครับ เพลงที่ต้องการอารมณ์ตึงเครียด (Rock หลายเพลง) เศร้า หม่นหมอง ทุรนทุราย เพลงอกหัก ผมพยายามจับผิดฟังอยู่หลายครั้ง แต่มันสู้ Pioneer ไม่ได้จริงๆ ฟังยังไงอารมณ์มันก็ไม่ถึงครับ Pioneer ยังให้อารมณ์เพลงในแนวเหล่านี้ได้ดุดันกว่า กระแทกกระทั้นใจกว่า อินกว่า รวมถึงเพลง Hip Hop ก็เข้าทางกว่าครับ เนื่องจาก Pioneer มีความ "ห้วน" ของแต่ละตัวโน๊ต สำหรับในหัวข้อนี้ผมจึงให้ทั้ง 2 ฟร้อนต์เสมอกันครับ แล้วแต่ว่าท่านจะเอาไปฟังเพลงแนวไหน อย่างที่เค้าลือกันเลยว่า Pioneer เหมาะกับเพลงตึ๊บๆ สนุกสนาน ส่วน Alpine เหมาะกับเพลงช้า เพลงร้อง มันเป็นเรื่องจริงครับ
ความเป็นธรรมชาติ
ช่างถ่ายรูปเก่งๆ เค้าจะถ่ายรูปสถานที่ท่องเที่ยวออกมาสวยงามมากๆ พอเราตามไปเที่ยวสถานที่จริง กลับผิดหวังและบ่นๆออกมาว่า "ไม่เห็นเหมือนในรูปเลยวะ" โดยที่ Pioneer จะให้เสียงที่ "ด้อย" กว่าธรรมชาติไปนิดตรงที่ความแห้ง ความแข็งกระด้าง ความห้วน แต่มันก็เป็นเสน่ห์ของฟร้อนตืยี่ห้อนี้ที่ทำให้ฟังเพลงสนุกสนานได้ดี ส่วนฟร้อนท์ Alpine ก็จะให้เสียงที่ "เกินจริง" หรือที่ชอบพูดกันว่า "ปรุงแต่ง" มากไปนิดแต่มันก็ทำให้เราฟังเพลงช้า เพลงร้อง เพลงที่มีเสียงดนตรีหลายๆชิ้นได้หวาน มีลีลา อ่อนช้อย และเพราะมากขึ้นครับ
อยากให้ลองนึกถึงก๋วยเตี๋ยว 2 ชาม ชามแรกรสชาติกลมกล่อมแต่ออกไปในทางชืดเสียนิด เราอาจปรุงเพิ่มนิดหน่อยก็อร่อยถูกใจได้ ส่วนอีกชามเป้นแบบเข้มข้นครบรสมาแล้ว กินได้เลยไม่ต้องปรุง ถ้าปรุงเพิ่มรสชาติมันจะไปกันใหญ่ (แต่ถ้าคนชอบก็โอเคอะนะ) ทีนี้ก็แล้วแต่ท่านจะเลือกละครับว่าชอบกินร้านไหน สรุปคือ ข้อนี้ ผมให้เสมอกันครับ
บุคลิกเสียงครับ (เพิ่มเติม)
ขอเพิ่มเติมอีกนิด ถ้าไม่ได้เขียนแล้วมันอึดอัดครับ Pioneer จะให้เสียงที่ห้วนๆครับ เล่นโน๊ตตัวไหนจะเด่นชัด แต่หางไม่มี จะหุบหายไปเลย แต่โน๊ตแต่ละตัวของ Alpine จะลากยาวไปอีก 30% ตรงส่วนนี้แหละครับที่สำเนียงของแต่ละตัวโน๊ตมันชัดเจน เสียงเขย่าสายกีต้าร์ เสียงเอื้อนลูกคอ เสียงหัวสแนร์ก็ยังมีสำเนียงอะคิดดู๊ ทำให้คนฟังถึงแม้จะไม่ได้ฟังแบบผ่านๆไม่ได้ตั้งใจฟังก็ยังสามารถฟังแต่ละตัวโน๊ตได้ชัดเจนขึ้นครับ ข้อนี้ผมจึงให้ Alpine ชนะครับ
สุดท้ายนี้หวังว่าจะเป้นประโยชน์กับผู้ที่สนใจนะครับ ถ้ามีอะไรที่ผิดไปก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หูท่านกับหูผมอาจจะฟังออกมาไม่เหมือนกันก็ได้ครับ
ปล. ภาพ Pioneer เอามาจากในเน็ตจากหลากหลายที่
ฝากติดตามผลงานที่เพจ Need For Slow ด้วยครับ:
https://www.facebook.com/Needforslow247/
[CR] รีวืวฉบับสามัญชน ฟร้อนท์ Alpine CDE-148EBT vs Pioneer DEH-80PRS
แรกเริ่มเดิมที Alpine รุ่นใหม่มีให้เลือก 2 ตัวคือ 148EBT (เก่ากว่า) และ 164EBT (ใหม่สุด) ผมได้โทรปรึกษาร้าน S ทั้งเจ๊และเฮีย (โทรไปถาม 2-3 ครั้ง) ยืนยันหนักแน่นว่า 148EBT เสียงดีกว่า แบบใช้หูฟังนะ (ใช่สิเฮีย ถ้าใช้ตาฟังก็แปลกแล้วเฮีย! เฮ้ย! ไม่ใช่อย่างนั้น เฮียหมายถึง ฟังเอง ไม่ได้ใช้เครื่องวัด เสียงดีกว่าหน่อยนึง อันนี้ผมเดานะครับ เฮียไม่ได้พูดละเอียดขนาดนี้หรอก) นอกจากเสียงแล้ว เรื่องหน้าตา 148EBT ก็ถูกชะตาผมมากกว่า ความละเอียดในการแสดงผลเป็น Multi dot (เรียกถูกป่าวไม่รู้) แต่ตัว 164EBT ยังแสดงผลเป้นเส้นๆความละเอียดน้อยกว่าครับ เลยสรุปว่า 148EBT สำหรับผมแล้วชนะขาด ก็เลยเลือกตัวนี้มาชนกับ Pioneer 80PRS ซะเลย ขอบอกว่าผมเอาฟร้อนท์ใหม่นี้ใส่เข้าไปแทนตัวเดิมเท่านั้น ทำการปรับจูนเบื้อต้นยังไม่ถึงขั้นละเอียด (ของเดิมก็จูนครบพอกัน) อุปกรณ์ทุกๆชิ้นยังใช้เหมือนเดิมนะครับ
ขอออกตัวก่อนครับว่า ผมเป็นตาสีตาสาธรรมดา (อีกแล้ว) ไม่มีความรู้ทางด้านเครื่องเสียง ไม่ได้ทำงานอยู่ในแวดวงเครื่องเสียง ไม่ได้จบวิศวกรรม หูก็หูสามัญชนรากหญ้าทั่วๆไป เพียงแต่ได้ซื้อหามาลองใช้เองเป็นระยะเวลาหนึ่ง ได้สังเกตถึงความแตกต่าง จึงนำมาแบ่งปันประสบการณ์ เผื่อจะมีท่านอื่นๆที่อาจจะสนใจครับ
เปรียบเทียบฟังก์ชั่นการใช้งาน
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเปรียบเทียบในส่วนของฟังก์ชั่นการปรับแต่งเสียงกันก่อนเลยละกันครับ
1. HPF สำหรับลำโพงกลางแหลม และ LPF สำหรับลำโพง Subwoofer เป็นฟังก์ชั่นเอาไว้ตัดเสียงระหว่างกลางแหลมและซับไม่ให้กวนกันครับ ส่วนจะตัดที่เท่าไร Slope ยังไง ต้องแล้วแต่หูครับว่าชอบแบบไหน ยิ่งตัดต่ำๆซับจะยิ่งบวมน้อย เบสจะใสสะอาดมากขึ้น ยิ่งตัดสูงจะยิ่งบวมมากขึ้น แต่ก็ให้อารมณ์เพลง Rock ที่ดีขึ้น
- Alpine สามารถตัดได้ต่ำมากๆถึง 20Hz (จะต่ำไปทำไมขนาดนั้น) และ Slope ได้ถึง 24db นับว่าฟังก์ชั่นนี้ชนะเลิศเลยครับ
- Pioneer สามารถตัดต่ำสุดได้ 50Hz (ก็ดูเพียงพอนะ) แต่ Slope ซับ Set ได้เพียง 18db Slope กลางแหลม set ได้เพียง 12db เท่านั้น แต่ผมขอชม interface ของ Pioneer ครับ ทำออกมาได้สวย เข้าใจง่าย
2. Equalizer ฟร้อนท์และลำโพงถึงแม้จะ match กัน แต่เสียงก็อาจไม่ได้อย่างที่หูเราชอบ ฟังก์ชั่นนี้ช่วยในการเพิ่มความถี่เฉพาะจุด อยากลดเสียงนั้นเพิ่มเสียงนี้ก็สามารถจัดการได้เลยครับ แต่อย่าทำเยอะไปละครับ ยิ่งทำ เสียงยิ่งออกห่างจากความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- Alpine เป็น Parametric EQ 9 Band ครับ แต่ละ Band เราจะเลือกว่าเราจะเน้นไปที่ความถี่ไหน และทำการปรับ Boot หรือ Cut ความถี่นั้นๆ
- Pioneer เป็น Graphic EQ ที่แสดงความถี่ทุกความถี่ สามารถปรับแต่งได้หมดทุกย่าน ผมชอบมากเลย มันยืดหยุ่นที่สุด ละเอียดที่สุด และ interface เข้าใจง่ายมากๆครับ
3. Time Alignment เป็นฟังก์ชั่นจัดการหน่วงเวลาให้แต่ละลำโพงทำงาน "ช้าลง" เราจะเซ็ตให้ลำโพงแต่ละตัวทำงานไม่พร้อมกัน จุดประสงค์เพื่อให้เสียงที่มาจากลำโพงแต่ละตัวถึงหูเราพร้อมๆกันพอดี (อธิบายงงไหม) ซึ่งเมื่อจูนแล้วเราจะได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยเพิ่มขึ้นมาครับ และเสียงเดิมๆก็ชัดใสขึ้นด้วย ฟังก์ชั่นนี้ต้องอาศัยเครื่องมือและฝีมือสักนิด ผมเองก็ทำไม่เป็นครับ ทางร้านจัดการให้เรียบร้อย
4. ฟังก์ชั่นปรับแต่งเสียงอื่นๆ Alpine เห็นทีจะหมดละครับ ยกให้ Pioneer ละกัน นอกจาก Function ที่กล่าวไปทั้งหมดแล้ว Pioneer ยังมีไม้ตายเหลืออีก 2-3 อย่างนั่นคือ
4.1 Sound retriever ฟังก์ชั่นคืนค่าเสียงที่ถูกบีบอัด เมื่อกดใช้แล้ว เสียงแต่ละตัวโน๊ตจะมีความคมชัดใสมากขึ้น แต่ก็จะลีบเล็กลงกว่าเดิมครับ
4.2 Loudness เพิ่มแหลม เพิ่มเบส เพิ่มความชัดให้เบสเป้นลูกๆเคลียร์ๆ แหลมบาดหูมากขึ้น กลางจมนิดนึง
4.3 ASL อันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่ามันมัหลีกการในการทำงานยังไง รู้แต่ว่าถ้าใช้แล้วเสียงทุกเสียงมันจะชัดขึ้น โน๊ตกลมสวยขึ้น อิ่ม รายละเอียดออกมากขึ้น แต่เวทีเสียงก็จะแบนราบลง ความลึกลดลง อันนี้ฟังด้วยหูตัวเองนะครับ
ฟังก์ชั่นต่างๆที่ Pioneer มินี้ บางอย่างดูแล้วอาจแปลกๆไม่เข้าท่า แต่ขอบอกว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ Pioneer ตัวนี้เป็นฟร้อนท์ที่ยืดหยุ่นสูงมาก สามารถปรับจูนเสียงได้ระเบิดระเบ้อ
5. ฟังก์ชั่นอื่นๆ ขอเอาข้อดีของ Alpine อันที่ผมชอบที่สุดมาบอกกล่าวบ้าง เดี่ยวคนอ่านจะเทใจไปให้ Pioneer เสียหมด ฟังก์ชั่นที่ผมชอบที่สุดของ Alpine 148EBT ตัวนี้ก็คืออออออ........ อ่านภาษาไทยได้!!!!! (เงียบ....ฉี่.......)
ทั้งหมดนี้เป็นฟังก์ชั่นของทั้ง 2 ฟร้อนท์ ตัดเอาเฉพาะที่สำคัญๆ และเอามาเฉพาะฟังก์ชั่นการปรับแต่งเสียงเท่านั้นนะครับ ต่อไปนี้จะขอถือโอกาสอธิบายความแตกต่างทางด้านเสียงของทั้ง 2 ฟร้อนท์ว่าแตกต่างกันอย่างไร บอกไว้ก่อนว่าด้วยหูตัวเองล้วนๆนะครับ แต่หูผมไม่ใช่หูเทพหูทอง เพราะฉะนั้นอะไรที่ผมฟังออกคนอื่นๆก็น่าจะฟังออกเช่นกัน แต่หูของแต่ละท่านก็อาจชอบหรือไม่ชอบ ฟังได้เหมือนหรือแตกต่างจากที่ผมฟังออกก็ได้ครับ ขอย้ำอีกเรื่องคือ Pioneer 80PRS เป็นฟร้อนท์ราคาเกือบหมื่น ผลิตออกมาในปี 2012 (ขออภัยถ้าจำผิด) ส่วน Alpine 148EBT เป็นฟร้อนท์ราคาเกือบหมื่นเหมือนกัน แต่ผลิตมาปีล่าสุด 2015 ครับ (ปีที่แล้ว) ซึ่งเขาว่ากันว่า ฟร้อนท์ยิ่งตัวเก่าๆยิ่งเสียงดีกว่าตัวใหม่ๆที่เริ่มจะย้ายไปผลิตในจีนเพื่อแข่งขันกับยี่ห้ออื่นด้านราคา และเสียงจะดรอบลงกว่าแต่ก่อน
ขอเพิ่มเติมอีกนิด ส่วนใหญ่ผมฟังเพลงจาก USB นะครับ ตัว Pioneer สามารถอ่านไฟล์ Wave ได้ ซึ่งผม Rip แบบ Lostless มาจาก CD ก็คือได้ไฟล์ 44.1K ครับ ไฟล์คุณภาพเทียบเท่า CD เลย ส่วน Alpine ผมต้องแปลงไฟล์เป็น mp3 320kbps นอกจากนั้นผมก็ยังมีเพลงอื่นๆที่เป็นไฟล์ไม่ละเอียด 128k 256k อยู่บ้างเหมือนกันครับ
คุณภาพเสียง
ขอบอกตามตรงว่า คุณภาพเสียง Alpine ดีกว่าจริงครับ ผมให้ประมาณ 30% พอๆกับการ Upgrade ลำโพงจากรุ่นกลางไปรุ่นใหญ่เลย คุณภาพเสียงที่ผมกำลังพูดถึง หมายถึง การที่เสียงออกมาครบ เสียงเล็กเสียงน้อยได้ยินชัด แต่ละเสียงอิ่ม หนา ความหนักเบา รายละเอียดของแต่ละเสียงสมดุล โดยรวมแล้ว Alpine ชนะค่อนข้างขาดครับ Alpine มีเสียงย่านสูง กลาง ต่ำ กลมกลืนกันมากกว่า เสียงกลางเด่นกว่าย่านอื่นเล็กน้อยและเบสด้อยกว่าย่านอื่นเล็กน้อย ทุกตัวโน๊ตมีสำเนียง เหมือนๆกันนักบอลบราซิลต้องติดลูกไซร้ทุกลูกนั่นแหละครับ ยิ่งเวลาบางท่อนที่ต้องการความเป็น Dynamic หนักเบานี่ทำได้ดีมาก และผมสังเกตว่าความบวมของเบสที่เคยเกิดกับ Pioneer นั้นลดลงพอสมควร Alpine ยังฟังเพลงที่ความละเอียดต่ำๆ 128k 256k ได้เพราะกว่า Pioneer มาก
ส่วน Pioneer ย่านเสียงเบาจะอิ่ม หนา และเด่น แต่จะออกบวมครางหน่อย ถ้าจูนแบบลวกๆนี่กลางจะจมหายไปในอากาศเลยครับ ย่านกลางเสียงบางนิดนึง และย่านสูงสดใส คมชัด แต่ผมสังเกตเห็นว่า Pioneer ให้เสียง Background ที่เงียบสงัดกว่า โน๊ตแต่ละตัวที่ออกมาจะคมกว่า Alpine ครับ แต่โน๊ตจะลีบๆเล็กๆกว่าเช่นกัน (เพราะผมปรับ Sound Retriever ระดับ 2 ด้วยแหละ) เอาเป็นว่ารวมๆแล้ว Alpine Win!
การถ่ายทอดอารมณ์เพลง
ฟร้อนท์ Alpine ผมขอให้คำนิยามว่า "ฟร้อนท์ฟรุ้งฟริ๊ง" ครับ ทุกๆเพลงที่เคยฟังกับ Pioneer เมื่อเอามาเปิดกับ Alpine มันจะบวกความหวานความเคลิ้มไปเลยอีก 20% เพลงช้า เพลงหวาน ฟังแล้วเคลิ้มกว่าเดิมมาก ปกติผมเป็นคนขับรถเร็ว แต่หลังจากเปลี่ยนฟร้อนท์ตัวนี้มา Speed ผมตกลงเยอะ ใจเย็นขึ้น ชิวมากขึ้น บางทีฟังจนหลุด จนผมให้นิยามกับมันใหม่ว่า "ฟร้อนต์ดูดวิญญาณ" เลย มีครั้งนึงผมขับรถออก ตจว. เลนส์สวน ขับ 70-80 ฟังเพลงเพลินๆ สติหลุด ได้จังหวะแซงรถขนอ้อย ก็แซงไปแต่ไม่พ้นครับ มีรถสวนมาเสียก่อน ถึงกับตื่นจากบรรทมต้องกดคันเร่งส่งเพิ่มแต่ก็ไม่ทันอยู่ดี รถสวนมาเป็นกระบะต้องหลบลงไหลทางให้ผม TT-TT ยังรู้สึกผิดจนถึงวันนี้ ปกติผมไม่เคยเป้นแบบนี้เลย ไม่ได้มีอาการง่วงหรือเหนื่อยแม้แต่น้อย
เพลงที่ฟร้อนต์ตัวนี้ขับออกมาได้ดีมากเลยก็คือเพลงแนวเน้นเสียงร้อง เสียงดนตรี Solo และดนตรีประกอบหลายๆชิ้นครับ เพลง Pop เอย Vocal เอย เพลงประกอบละครเอย ลูกทุ่งเอย เพลง K-Pop ก็ฟังดีขึ้น หรือแม้แต่เพลง Rock ก็ฟังเสียงชัดเจนขึ้นเช่นกัน แต่จะออกแนวสุภาพๆ นุ่มๆ ออกแนววงร๊อคที่ใส่สูทผูกไท๊เล่นคอนเสิร์ตครับ แต่แนวเพลงที่ Alpine แพ้ทางเห้นจะเป็น Ballad ครับ เพลงที่ต้องการอารมณ์ตึงเครียด (Rock หลายเพลง) เศร้า หม่นหมอง ทุรนทุราย เพลงอกหัก ผมพยายามจับผิดฟังอยู่หลายครั้ง แต่มันสู้ Pioneer ไม่ได้จริงๆ ฟังยังไงอารมณ์มันก็ไม่ถึงครับ Pioneer ยังให้อารมณ์เพลงในแนวเหล่านี้ได้ดุดันกว่า กระแทกกระทั้นใจกว่า อินกว่า รวมถึงเพลง Hip Hop ก็เข้าทางกว่าครับ เนื่องจาก Pioneer มีความ "ห้วน" ของแต่ละตัวโน๊ต สำหรับในหัวข้อนี้ผมจึงให้ทั้ง 2 ฟร้อนต์เสมอกันครับ แล้วแต่ว่าท่านจะเอาไปฟังเพลงแนวไหน อย่างที่เค้าลือกันเลยว่า Pioneer เหมาะกับเพลงตึ๊บๆ สนุกสนาน ส่วน Alpine เหมาะกับเพลงช้า เพลงร้อง มันเป็นเรื่องจริงครับ
ความเป็นธรรมชาติ
ช่างถ่ายรูปเก่งๆ เค้าจะถ่ายรูปสถานที่ท่องเที่ยวออกมาสวยงามมากๆ พอเราตามไปเที่ยวสถานที่จริง กลับผิดหวังและบ่นๆออกมาว่า "ไม่เห็นเหมือนในรูปเลยวะ" โดยที่ Pioneer จะให้เสียงที่ "ด้อย" กว่าธรรมชาติไปนิดตรงที่ความแห้ง ความแข็งกระด้าง ความห้วน แต่มันก็เป็นเสน่ห์ของฟร้อนตืยี่ห้อนี้ที่ทำให้ฟังเพลงสนุกสนานได้ดี ส่วนฟร้อนท์ Alpine ก็จะให้เสียงที่ "เกินจริง" หรือที่ชอบพูดกันว่า "ปรุงแต่ง" มากไปนิดแต่มันก็ทำให้เราฟังเพลงช้า เพลงร้อง เพลงที่มีเสียงดนตรีหลายๆชิ้นได้หวาน มีลีลา อ่อนช้อย และเพราะมากขึ้นครับ
อยากให้ลองนึกถึงก๋วยเตี๋ยว 2 ชาม ชามแรกรสชาติกลมกล่อมแต่ออกไปในทางชืดเสียนิด เราอาจปรุงเพิ่มนิดหน่อยก็อร่อยถูกใจได้ ส่วนอีกชามเป้นแบบเข้มข้นครบรสมาแล้ว กินได้เลยไม่ต้องปรุง ถ้าปรุงเพิ่มรสชาติมันจะไปกันใหญ่ (แต่ถ้าคนชอบก็โอเคอะนะ) ทีนี้ก็แล้วแต่ท่านจะเลือกละครับว่าชอบกินร้านไหน สรุปคือ ข้อนี้ ผมให้เสมอกันครับ
บุคลิกเสียงครับ (เพิ่มเติม)
ขอเพิ่มเติมอีกนิด ถ้าไม่ได้เขียนแล้วมันอึดอัดครับ Pioneer จะให้เสียงที่ห้วนๆครับ เล่นโน๊ตตัวไหนจะเด่นชัด แต่หางไม่มี จะหุบหายไปเลย แต่โน๊ตแต่ละตัวของ Alpine จะลากยาวไปอีก 30% ตรงส่วนนี้แหละครับที่สำเนียงของแต่ละตัวโน๊ตมันชัดเจน เสียงเขย่าสายกีต้าร์ เสียงเอื้อนลูกคอ เสียงหัวสแนร์ก็ยังมีสำเนียงอะคิดดู๊ ทำให้คนฟังถึงแม้จะไม่ได้ฟังแบบผ่านๆไม่ได้ตั้งใจฟังก็ยังสามารถฟังแต่ละตัวโน๊ตได้ชัดเจนขึ้นครับ ข้อนี้ผมจึงให้ Alpine ชนะครับ
สุดท้ายนี้หวังว่าจะเป้นประโยชน์กับผู้ที่สนใจนะครับ ถ้ามีอะไรที่ผิดไปก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หูท่านกับหูผมอาจจะฟังออกมาไม่เหมือนกันก็ได้ครับ
ปล. ภาพ Pioneer เอามาจากในเน็ตจากหลากหลายที่
ฝากติดตามผลงานที่เพจ Need For Slow ด้วยครับ:
https://www.facebook.com/Needforslow247/