สวัสดีคะพี่ๆพันทิปทุกคน
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวคร่าวๆนะคะ ชื่อเดียนา (นามสมมุติ)ตัวเองคะ เป็นพี่คนโต ตอนนี้ศึกษาอยู่ต่างประเทศ (ประเทศหนึ่งในอาเซียน) ปีสามคะ
ที่ตัดสินใจเขียนกระทู้นี้เพราะเริ่มไม่แน่ใจตัวเองคะว่าเราควรหยุดเรียนเพราะว่าสงสารแม่คนที่ส่งเราเรียน หรือเราควรดื้อรั้นเรียนต่อเพื่ออนาคต
เดียไม่ได้ตีกรอบตัวเองว่าเรียนจบแล้วต้องมีงานที่ดีกว่าคนที่เรียนไม่จบนะคะ แต่เดียคิดว่ามันน่าจะเป็นคือใบเบิกทางสำหรับการทำงานในวันข้างหน้าคะ
ใช่คะ ตอนนี้เดียเริ่มรู้สึกท้อแท้ที่จะเรียนต่อ ไม่ใช่ว่าเพราะเหนื่อยกับการเรียนของตัวเองนะคะ แต่เพราะสงสารแม่ที่เป็นคนส่งเสียเราเรียน คนที่ทางบ้านมีอาชีพกรีดยางจะเข้าใจดีเลยว่าทำไม เพราะตั้งแต่เปลี่ยนชุดรัฐบาลใหม่ ราคายางก็ลดลงเรื่อยๆ จนตอนนี้เพื่อนๆหลายคนที่เรียนอยู่ที่ไทยต้องลาออกไปจากมหาลัยทีละคนสองคน
ตอนแรกก็แอบสงสารและติเพื่อนในใจว่า เฮ๊ย อีกนิดก็จะจบแล้วน่ะ ไม่เสียดายที่เรียนมาหรอ แต่พอมาหลังๆเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้นว่า ช่วงชีวิตของคนเรามีขึ้นมีลง การที่เขาลาออก อาจจะเป็นทางออกที่ดีของทั้งผู้ปกครองและตัวเขาเองมากกว่า และอนาคตที่ดีของเขาอาจไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญาก็ได้ แค่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว มันอาจจะดีกว่าก็เป็นได้ หลายคนอาจจะตั้งคำถามนะคะว่าทำไม เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว อาจจะทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แต่เปล่าเลยคะ ขอบอกเลยว่ากว่าเดียวจะมาถึงจุดนี้ได้ เดียต้องฝ่าฝันอะไรมาเยอะพอสมควร (ขอเล่าแบบสั้นๆนะคะ)
ตั้งแต่สมัยมัธยมเดียมีความฝันที่จะเรียนต่างประเทศและเปิดโลกการเรียนรู้ของตัวเองให้กว้างขึ้นมาโดยตลอด ใช่คะอาจจะฟังดูใฝ่สูงเกินไปรึเปล่าสำหรับลูกคนรับจ้างกรีดยางที่มีแม่ส่งเสียเรียนแค่คนเดียว แต่ด้วยความที่เดียเป็นพี่คนโต และเริ่มทำงานช่วยแม่กรีดยางเกือบทุกวันก่อนไปโรงเรียน ส่งเสียตัวเองเรียนตั้งแต่ม.สาม จนจบม.หก และได้เป็นนักเรียนเรียนดีเกือบทุกปี จนทำให้เรายิ่งมั่นใจว่าด้วยความตั้งใจของเรา คงไม่ยากเกินไปหรอกมั่งที่จะเรียนต่างประเทศ ช่วงเรียนมัธยมเดียก็เก็บเงินพรานๆจนได้ซื้อกล้องมาตัวนึง เพราะเดียชอบถ่ายรูปวิวมาก จนอาจารย์คิดว่าเราไม่สมควรได้ทุนการศึกษา เพราะเราอาจจะมีตังมากกว่าคนอื่นๆ มีหลายครั้งที่เดียท้อน่ะ เพราะหลายครั้งที่สมัครทุนการศึกษา เดียไม่เคยได้เลย แต่ก็ไม่เป็นไร เดียคิดเสมอว่าเดียอาจจะได้รับสิ่งที่ดีกว่านั้น ใช่ค่ะ ได้จริงๆ เดียเป็นคนชอบเขียนเรียงความและส่งแข่งทีไรก็มักจะได้รางวัลเสมอ สามปีที่เก็บเงินจากการทำงานบวกกับเงินรางวัลที่ได้ทั้งหมด จนในที่สุดเดียได้ซื้อแลปท๊อปมาเครื่องนึง จนกลายเป็นรายได้เล็กๆน้อยจากเพื่อนร่วมห้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นรับจ้างพิมพ์งาน ทำเรียงความ รึ พาวเวอรพอยท์นำเสนอ เก็บทุกอย่างและคะที่ทำได้ เดียทำหมด ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน เดียกลับบ้านมาขายน้ำปั่นด้วยน่ะ อาจจะได้ไม่มาก แต่ก็พอเป็นทุนส่งเสียตัวเองเรียนจนจบ หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วแม่ทำไมไม่ส่งเสีย เปล่าเลยค่ะ ช่วงนั้นแม่เดียป่วยเป็นเนื้องอกในช่องท้อง ซึ่งทำงานหักโหมไม่ได้มาก ที่แม่หามาได้ก็ไว้ใช้จ่ายภายในบ้านและส่งเสียน้องสาวอีกคนซึ่งอายุห่างจากเดียสองปี พอใกล้จบม.หกมีอาจารย์เสนอทุนหลายทุนให้เรา แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นทุนเรียนในสายที่เราไม่ถนัดและอยู่ในตะวันออกกลาง ซึ่งไกลจากบ้านมาก และแน่นอนว่าเราไปไกลขนาดนั้นไม่ได้เพราะเป็นห่วงแม่ด้วย เลยตัดสินใจเรียนต่อปีหนึ่งในไทยด้วยทุนกยศ. เราเรียนได้หนึ่งเทอมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวที่เราชอบบวกกับเราได้ด้านภาษามากกว่า จึงตัดสินใจลาออก ก่อนหน้านี้มีเพื่อนที่เรียนอยู่ต่างประเทศชวนเราไปเรียนด้วยและบอกว่ามีทุนให้ เราเลยไม่คิดมาก ขออนุญาติแม่ไปเรียนต่อต่างประเทศเลยเพราะช่วงนั้น ราคายางยังแพงอยู่แต่ความเป็นจริงแล้วพอมาถึงที่มหาลัยที่นี่ เดียต้องใช้จ่ายเรียนทุนเองทุกอย่างตอนปีแรกเพราะผิดพลาดทางมหาลัย เราจะกลับไปตอนนั้นแม่บอกว่าไม่เป็นไร ไม่แล้วก็อยากให้ได้เรียนต่อจนจบ
แรกๆแม่สามารถให้เงินเดือนเรา เดือนละ เจ็ดพันบาท จนลดลงๆเรื่อยๆตอนนี้เหลือเดือนละสามพันบาทถ้วน เดียมาได้ทุนการศึกษาสำหรับเด็กเรียนดีตอนปีสองเป็นแค่ค่าเทอมหรือหน่วยกิตอย่างเดียว เพื่อนๆถามเราว่าอยู่ต่างประเทศ ในเมืองหลวงที่มีค่าครองชีพสูงขนาดนั้นแกอยู่ได้ไงอ่ะ ใหนค่าน้ำค่าไฟค่าชีทและบลาๆๆๆๆๆๆสารพัด ทั้งๆที่เด็กไทยคนอื่นๆอย่างต่ำต้องหกพัน คำตอบคืออยู่ได้คะถ้าคุณประหยัด(มากๆๆ) หักลบค่าน้ำค่าไฟ น้ำมันรถ ชีทและอื่นๆ เดียกินเดือนละ ห้าร้อยบาทเองคะ จริงๆ ก็อยู่แบบนี้มาเกือบสองปีแล้ว แต่ตอนนั้นค่าวีซ่ายังไม่แพง ตอนนี้ค่าวีซ่าตกปีละเกือบหมื่น และสิ่งนี้เองที่ทำให้เดียตัดสินใจไม่ได้จริงๆ เพราะเรารู้ว่าแม่ไม่มีให้ แต่ใจเรายังอยากเรียนต่อให้จบ ถึงแม้ที่นี่เดียจะรับสอนภาษาไทยเป็นช่วงๆ แต่ก็มีรายได้แค่พอใช้จ่ายไปวันๆ
เดียเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะเรียนดีและตั้งใจมากเลยคะ เคยได้ท๊อปของสาขาด้วยคะ (ไม่ได้ชมตัวเองมากไปใช่มั้ยคะ) แค่จะบอกว่าเป็นคนที่มุ่งมั่นกับการเรียนมากบวกกับเป็นนักกิจกรรมด้วย ถึงตอนนี้เดียรู้สึกว่ามันถึงทางตันจริงๆคะ เดียไม่กล้าขอที่บ้านเพิ่มสำหรับค่าวีซ่าเพราะลำพังค่ากินในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาแม่เดียถึงกับต้องขายสวนไปแล้วเพราะให้เราได้เรียนต่อ
มาถึงจุดนี้ มันมีสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นให้เดียคิดว่าเรากำลังกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวรึเปล่าน่ะ แม่ยอมทุกอย่างกระทั่งขายสวนของตัวเองเพื่อให้เราได้เรียนต่อ ในขณะที่น้องสาวใช้เงินกยศเรียนและไม่ได้รบกวนแม่เลย เดียรู้สึกว่ามันถึงทางตันจริงๆ เหมือนเดินทางตั้งไกลเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย แต่พอใกล้ถึง มันกลับเจอภูเขาลูกใหญ่บังอยู่จนเราไม่สามารถข้ามไปได้ และต้องถอยกลับไปนับหนึ่งใหม่ แต่สำหรับเดีย เดียมาไกลมากจริงๆ จนไม่มั่นใจว่าถ้าเดียถอยกลับไป เดียจะยังมีโอกาศนับหนึ่งใหม่ได้อีกครั้งรึเปล่า
ถ้าเป็นพี่ๆมาอยู่ณจุดนี้ พี่จะยอมหยุดรึจะสู้ต่อไปคะ แล้วมีทางใหนบ้างที่พอจะให้เดียได้ข้ามภูเขาลูกใหญ่นี้ไปได้ ?
ปล. ขอโทษสำหรับการใช้ภาษาไทยที่ผิดนะคะ เพราะนี่คือครั้งแรกของการเขียนภาษาไทยที่ยาวที่สุดในรอบสามปีเลย
และของคุณสำหรับการเข้ามาอ่านนะคะ
ควรหยุดเรียนเพราะสงสารคนเบื้องหลังหรือควรไปต่อเพื่อสานฝันของตัวเองให้ประสบความสำเร็จดีคะ?
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวคร่าวๆนะคะ ชื่อเดียนา (นามสมมุติ)ตัวเองคะ เป็นพี่คนโต ตอนนี้ศึกษาอยู่ต่างประเทศ (ประเทศหนึ่งในอาเซียน) ปีสามคะ
ที่ตัดสินใจเขียนกระทู้นี้เพราะเริ่มไม่แน่ใจตัวเองคะว่าเราควรหยุดเรียนเพราะว่าสงสารแม่คนที่ส่งเราเรียน หรือเราควรดื้อรั้นเรียนต่อเพื่ออนาคต
เดียไม่ได้ตีกรอบตัวเองว่าเรียนจบแล้วต้องมีงานที่ดีกว่าคนที่เรียนไม่จบนะคะ แต่เดียคิดว่ามันน่าจะเป็นคือใบเบิกทางสำหรับการทำงานในวันข้างหน้าคะ
ใช่คะ ตอนนี้เดียเริ่มรู้สึกท้อแท้ที่จะเรียนต่อ ไม่ใช่ว่าเพราะเหนื่อยกับการเรียนของตัวเองนะคะ แต่เพราะสงสารแม่ที่เป็นคนส่งเสียเราเรียน คนที่ทางบ้านมีอาชีพกรีดยางจะเข้าใจดีเลยว่าทำไม เพราะตั้งแต่เปลี่ยนชุดรัฐบาลใหม่ ราคายางก็ลดลงเรื่อยๆ จนตอนนี้เพื่อนๆหลายคนที่เรียนอยู่ที่ไทยต้องลาออกไปจากมหาลัยทีละคนสองคน
ตอนแรกก็แอบสงสารและติเพื่อนในใจว่า เฮ๊ย อีกนิดก็จะจบแล้วน่ะ ไม่เสียดายที่เรียนมาหรอ แต่พอมาหลังๆเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้นว่า ช่วงชีวิตของคนเรามีขึ้นมีลง การที่เขาลาออก อาจจะเป็นทางออกที่ดีของทั้งผู้ปกครองและตัวเขาเองมากกว่า และอนาคตที่ดีของเขาอาจไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญาก็ได้ แค่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว มันอาจจะดีกว่าก็เป็นได้ หลายคนอาจจะตั้งคำถามนะคะว่าทำไม เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว อาจจะทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แต่เปล่าเลยคะ ขอบอกเลยว่ากว่าเดียวจะมาถึงจุดนี้ได้ เดียต้องฝ่าฝันอะไรมาเยอะพอสมควร (ขอเล่าแบบสั้นๆนะคะ)
ตั้งแต่สมัยมัธยมเดียมีความฝันที่จะเรียนต่างประเทศและเปิดโลกการเรียนรู้ของตัวเองให้กว้างขึ้นมาโดยตลอด ใช่คะอาจจะฟังดูใฝ่สูงเกินไปรึเปล่าสำหรับลูกคนรับจ้างกรีดยางที่มีแม่ส่งเสียเรียนแค่คนเดียว แต่ด้วยความที่เดียเป็นพี่คนโต และเริ่มทำงานช่วยแม่กรีดยางเกือบทุกวันก่อนไปโรงเรียน ส่งเสียตัวเองเรียนตั้งแต่ม.สาม จนจบม.หก และได้เป็นนักเรียนเรียนดีเกือบทุกปี จนทำให้เรายิ่งมั่นใจว่าด้วยความตั้งใจของเรา คงไม่ยากเกินไปหรอกมั่งที่จะเรียนต่างประเทศ ช่วงเรียนมัธยมเดียก็เก็บเงินพรานๆจนได้ซื้อกล้องมาตัวนึง เพราะเดียชอบถ่ายรูปวิวมาก จนอาจารย์คิดว่าเราไม่สมควรได้ทุนการศึกษา เพราะเราอาจจะมีตังมากกว่าคนอื่นๆ มีหลายครั้งที่เดียท้อน่ะ เพราะหลายครั้งที่สมัครทุนการศึกษา เดียไม่เคยได้เลย แต่ก็ไม่เป็นไร เดียคิดเสมอว่าเดียอาจจะได้รับสิ่งที่ดีกว่านั้น ใช่ค่ะ ได้จริงๆ เดียเป็นคนชอบเขียนเรียงความและส่งแข่งทีไรก็มักจะได้รางวัลเสมอ สามปีที่เก็บเงินจากการทำงานบวกกับเงินรางวัลที่ได้ทั้งหมด จนในที่สุดเดียได้ซื้อแลปท๊อปมาเครื่องนึง จนกลายเป็นรายได้เล็กๆน้อยจากเพื่อนร่วมห้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นรับจ้างพิมพ์งาน ทำเรียงความ รึ พาวเวอรพอยท์นำเสนอ เก็บทุกอย่างและคะที่ทำได้ เดียทำหมด ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน เดียกลับบ้านมาขายน้ำปั่นด้วยน่ะ อาจจะได้ไม่มาก แต่ก็พอเป็นทุนส่งเสียตัวเองเรียนจนจบ หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วแม่ทำไมไม่ส่งเสีย เปล่าเลยค่ะ ช่วงนั้นแม่เดียป่วยเป็นเนื้องอกในช่องท้อง ซึ่งทำงานหักโหมไม่ได้มาก ที่แม่หามาได้ก็ไว้ใช้จ่ายภายในบ้านและส่งเสียน้องสาวอีกคนซึ่งอายุห่างจากเดียสองปี พอใกล้จบม.หกมีอาจารย์เสนอทุนหลายทุนให้เรา แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นทุนเรียนในสายที่เราไม่ถนัดและอยู่ในตะวันออกกลาง ซึ่งไกลจากบ้านมาก และแน่นอนว่าเราไปไกลขนาดนั้นไม่ได้เพราะเป็นห่วงแม่ด้วย เลยตัดสินใจเรียนต่อปีหนึ่งในไทยด้วยทุนกยศ. เราเรียนได้หนึ่งเทอมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวที่เราชอบบวกกับเราได้ด้านภาษามากกว่า จึงตัดสินใจลาออก ก่อนหน้านี้มีเพื่อนที่เรียนอยู่ต่างประเทศชวนเราไปเรียนด้วยและบอกว่ามีทุนให้ เราเลยไม่คิดมาก ขออนุญาติแม่ไปเรียนต่อต่างประเทศเลยเพราะช่วงนั้น ราคายางยังแพงอยู่แต่ความเป็นจริงแล้วพอมาถึงที่มหาลัยที่นี่ เดียต้องใช้จ่ายเรียนทุนเองทุกอย่างตอนปีแรกเพราะผิดพลาดทางมหาลัย เราจะกลับไปตอนนั้นแม่บอกว่าไม่เป็นไร ไม่แล้วก็อยากให้ได้เรียนต่อจนจบ
แรกๆแม่สามารถให้เงินเดือนเรา เดือนละ เจ็ดพันบาท จนลดลงๆเรื่อยๆตอนนี้เหลือเดือนละสามพันบาทถ้วน เดียมาได้ทุนการศึกษาสำหรับเด็กเรียนดีตอนปีสองเป็นแค่ค่าเทอมหรือหน่วยกิตอย่างเดียว เพื่อนๆถามเราว่าอยู่ต่างประเทศ ในเมืองหลวงที่มีค่าครองชีพสูงขนาดนั้นแกอยู่ได้ไงอ่ะ ใหนค่าน้ำค่าไฟค่าชีทและบลาๆๆๆๆๆๆสารพัด ทั้งๆที่เด็กไทยคนอื่นๆอย่างต่ำต้องหกพัน คำตอบคืออยู่ได้คะถ้าคุณประหยัด(มากๆๆ) หักลบค่าน้ำค่าไฟ น้ำมันรถ ชีทและอื่นๆ เดียกินเดือนละ ห้าร้อยบาทเองคะ จริงๆ ก็อยู่แบบนี้มาเกือบสองปีแล้ว แต่ตอนนั้นค่าวีซ่ายังไม่แพง ตอนนี้ค่าวีซ่าตกปีละเกือบหมื่น และสิ่งนี้เองที่ทำให้เดียตัดสินใจไม่ได้จริงๆ เพราะเรารู้ว่าแม่ไม่มีให้ แต่ใจเรายังอยากเรียนต่อให้จบ ถึงแม้ที่นี่เดียจะรับสอนภาษาไทยเป็นช่วงๆ แต่ก็มีรายได้แค่พอใช้จ่ายไปวันๆ
เดียเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะเรียนดีและตั้งใจมากเลยคะ เคยได้ท๊อปของสาขาด้วยคะ (ไม่ได้ชมตัวเองมากไปใช่มั้ยคะ) แค่จะบอกว่าเป็นคนที่มุ่งมั่นกับการเรียนมากบวกกับเป็นนักกิจกรรมด้วย ถึงตอนนี้เดียรู้สึกว่ามันถึงทางตันจริงๆคะ เดียไม่กล้าขอที่บ้านเพิ่มสำหรับค่าวีซ่าเพราะลำพังค่ากินในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาแม่เดียถึงกับต้องขายสวนไปแล้วเพราะให้เราได้เรียนต่อ
มาถึงจุดนี้ มันมีสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นให้เดียคิดว่าเรากำลังกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวรึเปล่าน่ะ แม่ยอมทุกอย่างกระทั่งขายสวนของตัวเองเพื่อให้เราได้เรียนต่อ ในขณะที่น้องสาวใช้เงินกยศเรียนและไม่ได้รบกวนแม่เลย เดียรู้สึกว่ามันถึงทางตันจริงๆ เหมือนเดินทางตั้งไกลเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย แต่พอใกล้ถึง มันกลับเจอภูเขาลูกใหญ่บังอยู่จนเราไม่สามารถข้ามไปได้ และต้องถอยกลับไปนับหนึ่งใหม่ แต่สำหรับเดีย เดียมาไกลมากจริงๆ จนไม่มั่นใจว่าถ้าเดียถอยกลับไป เดียจะยังมีโอกาศนับหนึ่งใหม่ได้อีกครั้งรึเปล่า
ถ้าเป็นพี่ๆมาอยู่ณจุดนี้ พี่จะยอมหยุดรึจะสู้ต่อไปคะ แล้วมีทางใหนบ้างที่พอจะให้เดียได้ข้ามภูเขาลูกใหญ่นี้ไปได้ ?
ปล. ขอโทษสำหรับการใช้ภาษาไทยที่ผิดนะคะ เพราะนี่คือครั้งแรกของการเขียนภาษาไทยที่ยาวที่สุดในรอบสามปีเลย
และของคุณสำหรับการเข้ามาอ่านนะคะ