งานนิทรรศการศิลปะ The Process of Healing "กระบวนการเยียวยาตัวเอง" โดยศิลปินสาว "นาเดีย" นส.ลาภินี บุษยาสกุล จัดแสดง ณ 333Anywhere (Warehouse 30 Unit 5) ซอยเจริญกรุง 30 ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมได้ฟรี โดยเปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-19.00 น.
แนวคิดของงานนิทรรศการฯ ในครั้งนี้คือ
"ข้าพเจ้านั้นมีประสบการณ์ช่วงนึงที่พบเจอความเหงา และความเศร้า จึงหาทางออกจากด้วยการอยู่กับสัตว์เลี้ยง การวาดรูป และธรรมชาติ เมื่อมาถึงจุดนึงที่ข้าพเจ้าได้ถูกเยียวยาจากการทำงานศิลปะข้าพเจ้ากลับมองเห็นคนรอบตัวที่ข้าพเจ้ารักนั้นก็มีความทุกข์ไม่ต่างกัน จึงหวังให้ผลงานศิลปะของข้าพเจ้า เป็นเสมือนสิ่งที่จะช่วยปลอบประโลมจิตใจทั้งของตนเองและของพวกเขาเหล่านั้นเช่นกัน ไม่มากก็น้อย"
คลิปวีดีโอเชิญชมงานนิทรรศการศิลปะ The Process of Healing
ไปทำความรู้จักกับตัวศิลปินกันดีกว่า
(ในส่วนนี้ผมเรียบเรียงมาจากบทสัมภาษณ์และคัดลอกบางส่วนมาจากบทสนทนาในคลิปวีดีโอที่พาชมงานครับ)
นาเดียบอกว่าไม่อยากใช้คำว่า “ศิลปิน” กับตัวเธอเลย เพราะคำว่าศิลปินมันยิ่งใหญ่เกินไป นาเดียอยากให้คำนิยามที่กำหนดตัวตน ว่าตัวเองเป็นเพียงแค่ “เด็กผู้หญิงที่ชอบวาดรูป” คนหนึ่งเท่านั้นเอง
-นาเดียเติบโตมาในครอบครัวที่ผู้ปกครองให้โอกาสลูกในการค้นหาตัวเอง โดยไม่ได้ถูกบังคับให้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ แต่ในวันหนึ่งสมัยยังเป็นเด็กเล็กชั้นประถม 1 หรือ 2 นาเดียวาดรูปหนึ่งที่เป็นการลอกรูปเหมือนมาจากการ์ตูนดีสนีย์ (รูปมิกกี้เมาส์) แล้วนาเดียได้รับคำชมจากผู้ใหญ่ จึงรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทำแล้วได้รับคำชมเชย ทำให้รู้สึกว่าชอบที่จะวาดรูปเพราะเป็นสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี
-พอโตขึ้นหลังจากได้ไปเรียนกับคุณครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน แล้ว ความชอบของนาเดียก็เปลี่ยนไปตามสิ่งที่ได้พบเจอ เช่นได้ไปเรียนกายกรรม ก็รู้สึกอยากเป็นนักกายกรรม รู้สึกอย่างเป็นโน้นเป็นนี่หลายๆ อย่าง แต่พอได้ลองแต่ละอย่างแล้วต้องกลับมาอยู่กับตัวเอง นาเดียก็มานั่งคิดว่าสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขมากที่สุดคือการวาดรูป จึงเลือกที่จะวาดรูปต่อ เหมือนเริ่มรู้จักตัวเองแล้วว่าจะไปในทางวาดรูปนี้
-พอได้มาเรียนที่คณะศิลปกรรม จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย นาเดียรู้สึกสนุกที่ได้วาดรูป มันเหมือนได้ท้าท้ายตัวเองไปเรื่อย ๆ เพราะได้เจอกับอาจารย์จ้อน อาจารย์จีระพัฒน์ พิตรปรีชา อาจารย์จ้อนเป็นครูสอนเพ้นท์ติงที่ช่วยผลักดันในนิสิตได้ไปดูงานศิลปะที่ต่างประเทศ ทำให้นาเดียรู้สึกว่าการวาดภาพมันลงตัวในรูปแบบของมันได้เช่นกัน
-สำหรับผลงานที่นาเดียนำมาจัดแสดงในงานนิทรรศการฯ นี้ เป็นงาน fine art painting ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งผลงานมันแสดงสะท้อนถึงตัวตนของนาเดียอย่างชัดเจน คือนาเดียเป็นคนสนุกสนาน เป็นคนที่ชอบแต่งตัวเยอะ ๆ ใส่สีสันจัดจ้าน นาเดียเป็นคนที่ยิ้มง่ายมากกับทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นคนทีมีมนุษย์สัมพันธ์ดี เหมือนกับที่ทุกคนเห็นในภาพวาดเลย
-แต่ว่า ... ในบางครั้งที่นาเดียอยู่กับตัวเองแล้วรู้สึกว่ามีความเหงาเกิดขึ้น หรือมีความเศร้าจากเรื่องที่กระทบจิตใจเรา มันจึงถูกผลักดันความรู้สึกที่อยู่ข้างในออกมาเป็นภาพวาด นาเดียรู้สึกว่าคนทั่วไปเวลาเศร้าเขามักจะพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเขาเอง แต่นาเดียคิดว่าวิธีการที่จะเยียวยาตัวเองจากความเศร้าคือการวาดรูป ดังนั้นเวลาที่นาเดียเศร้าก็จะวาดรูป จึงกลายเป็นว่าภาพที่วาดนั้นเยียวยานาเดีย และการที่ได้วาดภาพนั้นก็คือการเยียวยาตัวเอง นาเดียจึงเอาความเศร้ามาวาดเป็นภาพที่สวยงามแทน
-ตอนนี้นาเดียเพิ่งจบปริญญาตรี กำลังอยู่ในช่วงรอรับปริญญาอยู่ นาเดียเป็นคนกรุงเทพ เกิดที่ฝั่งธนบุรีแถววัดอรุณ บางกอกใหญ่ เข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนทิวไผ่งาม แล้วย้ายไปเรียนชั้นมัธยมต่อที่โรงเรียนภัทราวดีหัวหิน หลังจากนั้นมาเข้าต่อเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (วิชาเอกทัศนศิลป์)
-สำหรับงานนิทรรศการศิลปะ The Process of Healing "กระบวนการเยียวยาตัวเอง" ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการจัดแสดงผลงานเดี่ยวเป็นครั้งแรกในชีวิตของนาเดียเลย และถือว่าเป็นนิทรรศการแรกอย่างเป็นทางการของ 333Anywhere อีกด้วย
-ในสมัยก่อนนาเดียวาดรูปแล้วไม่เคยขายรูปที่ตัวเองวาดเลย ไม่เคยขายเลยจริง ๆ เพราะว่านาเดียรักภาพที่ตัวเองวาดเหมือนเป็นลูกของตัวเองเลย เป็นผลงานที่นาเดียสร้างสรรค์ขึ้นมาจึงรู้สึกว่าไม่อยากจะเสียมันไป แต่สาเหตุที่ทำให้นาเดียเปลี่ยนความคิดมาขายภาพของตัวเองก็เพราะว่า มีคนๆ หนึ่งที่ดูรูปของนาเดียแล้วเขารู้สึกว่าภาพมันเยียวยาเขา เขาอยากจะขอซื้อภาพนั้น แต่นาเดียตั้งราคาขายไว้ในระดับสูงที่เหมือนไม่อยากขาย แต่ว่าเขายอมซื้อเพราะเขาพอใจภาพของนาเดีย เขาเป็นโรคซึมเศร้าทำให้เขาเสพงานศิลปะเยอะมาก แต่พอเขามาเห็นผลงานของนาเดียแล้วเขารู้สึกว่ามันทำให้เขามีเพื่อน เขาจึงยินดีที่จะซื้อภาพผลงานของนาเดีย จึงทำให้นาเดียรู้สึกดีใจว่าภาพที่ตัวเองวาดสามารถช่วยเยียวยาคนอื่นได้เช่นกัน
-คุณแนน เจ้าของ 333Anywhere ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพของนาเดียที่นำมาจัดแสดงในงานนิทรรศการฯ นี้ว่า “สำหรับงานของนาเดียนั้น ตัวศิลปินเขาวาดภาพขึ้นมาด้วยแนวคิดของเขา ซึ่งภาพของนาเดียสามารถเข้ากับคนได้ง่ายเพราะว่า นาเดียเอาชีวิตประจำวันที่ทุกคนเจอมาเป็นส่วนหนึ่งของภาพ ดังนั้นภาพแต่ละภาพเมื่อแต่ละคนมาชม ถ้าใครมีประสบการณ์ที่ตรงกันพอเขาดูแล้วเขาจะเข้าใจได้เลยว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ภาพมันสามารถเล่าเรื่องโดยสื่อกับเขาได้โดยตรงเลย”
-สำหรับงานนิทรรศการฯ ที่ 333Anywhere (Warehouse 30 Unit 5) นี้มีภาพนำมาจัดแสดงทั้งหมด 50 ภาพ โดยภาพส่วนใหญ่เป็นภาพที่มีขนาดใหญ่ เกือบทุกภาพเป็นภาพคนกับสัตว์เพราะนาเดียรักสัตว์มาก เชื่อว่าสัตว์เข้าใจมนุษย์โดยใช้ภาษากายในการสื่อสารกับเรา จึงรู้สึกว่าสัตว์มันค่อนข้างบริสุทธิ์ใจ และนาเดียชอบใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงในบ้าน เวลาที่นาเดียเศร้ามันก็เข้ามาอยู่ข้างๆ ทำให้รู้สึกว่ามันเชื่อมโยงกับเรา นาเดียจึงใช้สัตว์เป็นตัวแทนในการสื่อสารในแต่ละภาพ
-นิทรรศการฯ ครั้งนี้จัดขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจของตัวศิลปินเอง ซึ่งแต่ละภาพก็จะเป็นแต่ละช่วงชีวิตของนาเดีย โดยเป็นผลงานเกือบทั้งหมดของนาเดียที่เคยสร้างสรรค์ไว้นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ ตั้งแต่ภาพที่วาดในสมัยก่อนที่ยังเป็นเด็กอยู่ , ภาพที่วาดในสมัยที่เรียนศิลปกรรม จุฬา จนถึงภาพที่เพิ่งวาดใหม่ล่าสุดในปัจจุบัน
ภาพบรรยากาศในงานนิทรรศการฯ
คลิปวีดีโอเชิญชวนทุกท่านมาชมงาน
นิทรรศการศิลปะ The Process of Healing "กระบวนการเยียวยาตัวเอง" นี้จัดแสดง ณ 333Anywhere (Warehouse 30 Unit 5) ซอยเจริญกรุง 30 ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ท่านที่สนใจสามารถเข้าชมได้ฟรี โดยเปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-19.00 น.
สำหรับพิธีเปิดงานนิทรรศการฯ อย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2563 เวลา 18.00 น. เรียนเชิญผู้ที่สนใจงานศิลปะเข้าร่วมงานฯ เพื่อเป็นกำลังใจแก่ศิลปินครับ
ขอให้ท่านมีความสุขกับการเสพงานศิลป์ เพราะว่างานศิลปะมันเยียวยาจิตใจเราได้ครับ
เชิญชมงานนิทรรศการศิลปะ The Process of Healing "กระบวนการเยียวยาตัวเอง"
"ข้าพเจ้านั้นมีประสบการณ์ช่วงนึงที่พบเจอความเหงา และความเศร้า จึงหาทางออกจากด้วยการอยู่กับสัตว์เลี้ยง การวาดรูป และธรรมชาติ เมื่อมาถึงจุดนึงที่ข้าพเจ้าได้ถูกเยียวยาจากการทำงานศิลปะข้าพเจ้ากลับมองเห็นคนรอบตัวที่ข้าพเจ้ารักนั้นก็มีความทุกข์ไม่ต่างกัน จึงหวังให้ผลงานศิลปะของข้าพเจ้า เป็นเสมือนสิ่งที่จะช่วยปลอบประโลมจิตใจทั้งของตนเองและของพวกเขาเหล่านั้นเช่นกัน ไม่มากก็น้อย"
(ในส่วนนี้ผมเรียบเรียงมาจากบทสัมภาษณ์และคัดลอกบางส่วนมาจากบทสนทนาในคลิปวีดีโอที่พาชมงานครับ)
นาเดียบอกว่าไม่อยากใช้คำว่า “ศิลปิน” กับตัวเธอเลย เพราะคำว่าศิลปินมันยิ่งใหญ่เกินไป นาเดียอยากให้คำนิยามที่กำหนดตัวตน ว่าตัวเองเป็นเพียงแค่ “เด็กผู้หญิงที่ชอบวาดรูป” คนหนึ่งเท่านั้นเอง
-นาเดียเติบโตมาในครอบครัวที่ผู้ปกครองให้โอกาสลูกในการค้นหาตัวเอง โดยไม่ได้ถูกบังคับให้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ แต่ในวันหนึ่งสมัยยังเป็นเด็กเล็กชั้นประถม 1 หรือ 2 นาเดียวาดรูปหนึ่งที่เป็นการลอกรูปเหมือนมาจากการ์ตูนดีสนีย์ (รูปมิกกี้เมาส์) แล้วนาเดียได้รับคำชมจากผู้ใหญ่ จึงรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทำแล้วได้รับคำชมเชย ทำให้รู้สึกว่าชอบที่จะวาดรูปเพราะเป็นสิ่งที่ตัวเองทำได้ดี
-พอโตขึ้นหลังจากได้ไปเรียนกับคุณครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน แล้ว ความชอบของนาเดียก็เปลี่ยนไปตามสิ่งที่ได้พบเจอ เช่นได้ไปเรียนกายกรรม ก็รู้สึกอยากเป็นนักกายกรรม รู้สึกอย่างเป็นโน้นเป็นนี่หลายๆ อย่าง แต่พอได้ลองแต่ละอย่างแล้วต้องกลับมาอยู่กับตัวเอง นาเดียก็มานั่งคิดว่าสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขมากที่สุดคือการวาดรูป จึงเลือกที่จะวาดรูปต่อ เหมือนเริ่มรู้จักตัวเองแล้วว่าจะไปในทางวาดรูปนี้
-สำหรับผลงานที่นาเดียนำมาจัดแสดงในงานนิทรรศการฯ นี้ เป็นงาน fine art painting ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งผลงานมันแสดงสะท้อนถึงตัวตนของนาเดียอย่างชัดเจน คือนาเดียเป็นคนสนุกสนาน เป็นคนที่ชอบแต่งตัวเยอะ ๆ ใส่สีสันจัดจ้าน นาเดียเป็นคนที่ยิ้มง่ายมากกับทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นคนทีมีมนุษย์สัมพันธ์ดี เหมือนกับที่ทุกคนเห็นในภาพวาดเลย
-แต่ว่า ... ในบางครั้งที่นาเดียอยู่กับตัวเองแล้วรู้สึกว่ามีความเหงาเกิดขึ้น หรือมีความเศร้าจากเรื่องที่กระทบจิตใจเรา มันจึงถูกผลักดันความรู้สึกที่อยู่ข้างในออกมาเป็นภาพวาด นาเดียรู้สึกว่าคนทั่วไปเวลาเศร้าเขามักจะพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเขาเอง แต่นาเดียคิดว่าวิธีการที่จะเยียวยาตัวเองจากความเศร้าคือการวาดรูป ดังนั้นเวลาที่นาเดียเศร้าก็จะวาดรูป จึงกลายเป็นว่าภาพที่วาดนั้นเยียวยานาเดีย และการที่ได้วาดภาพนั้นก็คือการเยียวยาตัวเอง นาเดียจึงเอาความเศร้ามาวาดเป็นภาพที่สวยงามแทน
-ตอนนี้นาเดียเพิ่งจบปริญญาตรี กำลังอยู่ในช่วงรอรับปริญญาอยู่ นาเดียเป็นคนกรุงเทพ เกิดที่ฝั่งธนบุรีแถววัดอรุณ บางกอกใหญ่ เข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนทิวไผ่งาม แล้วย้ายไปเรียนชั้นมัธยมต่อที่โรงเรียนภัทราวดีหัวหิน หลังจากนั้นมาเข้าต่อเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย (วิชาเอกทัศนศิลป์)
-สำหรับงานนิทรรศการศิลปะ The Process of Healing "กระบวนการเยียวยาตัวเอง" ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการจัดแสดงผลงานเดี่ยวเป็นครั้งแรกในชีวิตของนาเดียเลย และถือว่าเป็นนิทรรศการแรกอย่างเป็นทางการของ 333Anywhere อีกด้วย
-ในสมัยก่อนนาเดียวาดรูปแล้วไม่เคยขายรูปที่ตัวเองวาดเลย ไม่เคยขายเลยจริง ๆ เพราะว่านาเดียรักภาพที่ตัวเองวาดเหมือนเป็นลูกของตัวเองเลย เป็นผลงานที่นาเดียสร้างสรรค์ขึ้นมาจึงรู้สึกว่าไม่อยากจะเสียมันไป แต่สาเหตุที่ทำให้นาเดียเปลี่ยนความคิดมาขายภาพของตัวเองก็เพราะว่า มีคนๆ หนึ่งที่ดูรูปของนาเดียแล้วเขารู้สึกว่าภาพมันเยียวยาเขา เขาอยากจะขอซื้อภาพนั้น แต่นาเดียตั้งราคาขายไว้ในระดับสูงที่เหมือนไม่อยากขาย แต่ว่าเขายอมซื้อเพราะเขาพอใจภาพของนาเดีย เขาเป็นโรคซึมเศร้าทำให้เขาเสพงานศิลปะเยอะมาก แต่พอเขามาเห็นผลงานของนาเดียแล้วเขารู้สึกว่ามันทำให้เขามีเพื่อน เขาจึงยินดีที่จะซื้อภาพผลงานของนาเดีย จึงทำให้นาเดียรู้สึกดีใจว่าภาพที่ตัวเองวาดสามารถช่วยเยียวยาคนอื่นได้เช่นกัน
-คุณแนน เจ้าของ 333Anywhere ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพของนาเดียที่นำมาจัดแสดงในงานนิทรรศการฯ นี้ว่า “สำหรับงานของนาเดียนั้น ตัวศิลปินเขาวาดภาพขึ้นมาด้วยแนวคิดของเขา ซึ่งภาพของนาเดียสามารถเข้ากับคนได้ง่ายเพราะว่า นาเดียเอาชีวิตประจำวันที่ทุกคนเจอมาเป็นส่วนหนึ่งของภาพ ดังนั้นภาพแต่ละภาพเมื่อแต่ละคนมาชม ถ้าใครมีประสบการณ์ที่ตรงกันพอเขาดูแล้วเขาจะเข้าใจได้เลยว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ภาพมันสามารถเล่าเรื่องโดยสื่อกับเขาได้โดยตรงเลย”
-นิทรรศการฯ ครั้งนี้จัดขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจของตัวศิลปินเอง ซึ่งแต่ละภาพก็จะเป็นแต่ละช่วงชีวิตของนาเดีย โดยเป็นผลงานเกือบทั้งหมดของนาเดียที่เคยสร้างสรรค์ไว้นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ ตั้งแต่ภาพที่วาดในสมัยก่อนที่ยังเป็นเด็กอยู่ , ภาพที่วาดในสมัยที่เรียนศิลปกรรม จุฬา จนถึงภาพที่เพิ่งวาดใหม่ล่าสุดในปัจจุบัน
สำหรับพิธีเปิดงานนิทรรศการฯ อย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2563 เวลา 18.00 น. เรียนเชิญผู้ที่สนใจงานศิลปะเข้าร่วมงานฯ เพื่อเป็นกำลังใจแก่ศิลปินครับ
ขอให้ท่านมีความสุขกับการเสพงานศิลป์ เพราะว่างานศิลปะมันเยียวยาจิตใจเราได้ครับ