ปลายเดือนมกราคมแล้วนะคะ เวลาผ่านไปเร็วจนตามไม่ทันกันเลยทีเดียว ฤดูกาลบ้านเราจากหน้าหนาวก็เข้าสู่
หน้าแล้ง (ฤดูร้อน)จะว่าไป ถ้าพูดถึงฤดูร้อนหรือหน้าแล้งนี่ ภาคอีสานจะเผชิญกับภาวะแห้งแล้งที่ยาวนาน และ
หฤโหดที่สุด
เนื่องจากมีภูเขาใหญ่ทอดตัวเป็นกำแพงกั้นลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้แบ่งภาคอีสานออกจากภาคกลาง และอยู่ห่างจาก
ทะเลมากพอสมควร ทำให้ปริมาณน้ำฝนทางภาคอีสานมีน้อยถึงปานกลาง และดินทางภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นดินทราย
ไม่อุ้มน้ำ ประกอบกับชั้นใต้ดินมีเกลือหิน ดินจึงเค็มและไม่มีแร่ธาตุ จึงทำให้ภาคอีสานนั้นแห้งแล้งปลูกพืชไม่ค่อยได้ และ
อิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้อากาศแตกต่างกันมากระหว่างฤดูหนาวและฤดูร้อน หน้าหนาวอากาศ
หนาวจัด หน้าร้อนก็ร้อนจัด
เอ๋ ... ทะไมพูดไปพูดมาเหมือนกับว่า คนอีสานถูกธรรมชาติลงโทษยังไงไม่รู้เนาะ อิอิ
นั่นล่ะค่ะ จากเหตุผลที่ว่ามา ทำให้คนภาคอีสานดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างยากลำบากกว่าภาคอื่นๆ เนื่องจากลักษณะ
ภูมิศาสตร์ไม่เอื้ออำนวยให้ทำอาชีพเกษตรกรรม ในขณะที่ในอดีตนั้นประเทศเราเป็นประเทศที่ดำรงอยู่ได้ ด้วยพืชผล
ทางเกษตร ทั้งบริโภคภายในประเทศและส่งออกนำเงินเข้าประเทศเป็นหลัก
ย้อนหลังกลับไปประมาณ 60 ปี หลังประเทศปฏิวัติการปกครอง อย่าว่าแต่จะปลูกพืชเพื่อการค้าขายเลย แม้แต่จะปลูก
ข้าวเพื่อเลี้ยงตัวเองให้รอดในแต่ละปี คนอีสานยังทำได้ยากมาก จะคิดทำอะไรก็ต้องใช้เงินทุนมากมาย ความรู้และเทค
โนโลยี่ใหม่ๆก็ไม่มี
ในขณะที่การเมืองการปกครองในประเทศนั้น ยังไม่เสถียรภาพพอที่ผู้บริหารประเทศจะหันมาใส่ใจความเป็นอยู่หรือ
ปากท้องของประชาชนอย่างจริงจัง เพราะมัวแต่ทะเลาะแย่งชิงการเป็นผู้กุมอำนาจบริหารประเทศ ประชาชนถูกปล่อยปะ
ละเลยให้เคว้งคว้างไร้ทิศทาง หาอยู่หากินกันไปตามมีตามเกิด ทั้งๆที่ภาษีและเงินรายได้ที่หล่อเลี้ยงประเทศนั้น มาจาก
ภาคการเกษตรของประชาชนเป็นหลัก
จขกท. เป็นคนอีสาน ย้อนหลังกลับไปเมื่อประมาณ 30 ปี ตอนที่ จขกท. ยังเป็นเด็ก (อ้าว ๆ คำนวณอายุ จขกท. กันใหญ่
.... เพิ่ง 19 จร้า) จำได้ว่า พอถึงหน้าร้อนแบบนี้ หลังโรงเรียนเลิกต้องรีบกลับบ้าน เพราะมีหน้าที่ต้องไปตักน้ำจากบ่อน้ำ
สาธารณะของหมู่บ้าน (บ่อสร้าง) ที่มีน้ำซึมออกมาขังอยู่ก้นบ่อเพียงน้อยนิด ดังนั้นต้องรีบตาเหลือกลานเพื่อจะได้แย่งน้ำ
จากคนอื่นได้ทัน ตักขึ้นมาใส่ตุ่มใหญ่ๆเอาไว้ใช้ กิน อาบ ของสมาชิกในบ้านในแต่ละวัน ถ้ามัวแต่ชักช้า จะเหลือแต่น้ำขุ่น
ขลักที่ก้นบ่อไว้ให้ ต้องรออีกหลายชั่วโมงกว่าน้ำจะซึมออกมาจากตาน้ำและตกตะกอนใสให้เราตักขึ้นมาใช้ได้อีกครั้ง จึง
ไม่แปลกใจที่บางที ตอนกลางคืน สาม สี่ทุ่มแล้ว ยังได้ยินเสียงคนหาบน้ำเดินผ่านหน้าบ้านเป็นประจำ โชคดีที่ จขกท.บ้าน
อยู่ใกล้กับบ่อเพียงไม่กี่สิบเมตร จึงสามารถตักน้ำได้เร็วกว่าคนอื่น แม้ จขกท. จะเป็นเด็กอายุแค่ 7 ขวบแต่ก็มีความว่องไว
ยังกะลิงเลยทีเดียว (ลิงที่ไหนจะน่ารักแบ่บนี้ฟะ .... เออนั่นสิ )
ถ้าจะพูดถึงความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นของคนอีสานนั้น มีเรื่องชีวิตรันทดมากมายเลยทีเดียว เด็กเล็กเด็กน้อยตามชนบท
อย่าง จขกท. นั้น จะได้กินขนมนมเนยกับใครเค้าแต่ละครั้งนั้นช่างลำบาก ได้ลูกอมมาเม็ดเดียว ยังต้องกัดแบ่งครึ่งกะ
น้องชายเลย บ่อยครั้งที่ จขกท. ต้องขโมยกินน้ำอ้อยก้อน (กากน้ำตาลที่ปั้นเป็นก้อน) ที่แม่ซื้อไว้เพื่อเอาไว้กินกะข้าวเหนียว
ในวันที่เราเบื่อน้ำพริกปลาร้า และหากับข้าวกินไม่ได้ เมื่อถูกจับได้ก็โดนดุ ทำให้สำนึกได้ว่า เราจะเห็นแก่ตัวไม่ได้ เพราะนี่
คือ อาหารของคนทั้งบ้านในยามขาดแคลน
ในวันเสาร์ อาทิตย์ หรือตอนปิดเทอม จขกท. พี่ชาย น้องชาย ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานในไร่ในนา พ่อปลูกแตงโม ฟักทอง
ทานตะวัน พวกเราก็ต้องช่วยพ่อแม่ปลูก ดายหญ้ามันสำปะหลัง เลี้ยงควาย อะไรต่างๆทำได้หมดทุกอย่างเท่าที่เด็กคน
หนึ่งจะทำได้ และรู้สึกภูมิใจ ดีใจมากที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่
ส่วนอาหารการกิน ก็หาเอาจากผืนป่าหรือท้องไร่ท้องนา วางเบ็ดหาปลา ขุดกบ เขียด ปู หอย ที่จำศีลอยู่ในนาขึ้นมาต้ม
แกง หรือป่นเป็นน้ำพริก จิ้มผักป่า ผักเม็ก ผักหวาน ผักสะเดา ผักติ้ว ผักกระโดน ก็เป็นการประหยัดได้ไม่ต้องซื้อหาให้
เปลืองตังค์
ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะฉายหนังชีวิตจริงๆของคนอีสาน สะท้อนให้เห็นถึงการฝ่าฟันดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด คนอีสาน
แทบทุกบ้านล้วนต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะความลำบากยากจนมาโดยตลอด ด้วยความขยัน ประหยัด อดทน การมีความหวัง
การไม่ท้อถอย ไม่ยอมอยู่เฉยแล้วเรียกร้องให้คนอื่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
จนมาถึงยุคสมัยของนายกฯทักษิณ ชินวัตร ด้วยเพราะความเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ประกอบกับมีความรู้ความ
เชี่ยวชาญด้านการตลาด จึงได้คิดหาวิธีที่จะครองฐานเสียงของคนยากคนจน คนรากหญ้า โดยเฉพาะคนอีสาน ที่มี
ประชากรที่เป็นฐานเสียงจำนวนมากไว้ ด้วยการเข้าให้ถึง “ปัญหาและความต้องการ” รวมถึง “อุปนิสัยใจคอ” ที่แท้จริง
ของคนอีสาน ที่จะส่งผลระยะยาวต่อความนิยม ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยที่คนอย่างนายกฯทักษิณ จะตีโจทย์นี้แตก
แทบจะทันทีที่เริ่มคิด
อะไรคือปัญหาที่คนอีสานการให้รัฐบาลช่วยแก้ไข
อะไรคือความต้องการที่คนอีสานอยากได้แต่ถูกปล่อยปะละเลยจากผู้มีอำนาจสั่งการ
เมื่อคนอีสานได้รับการตอบสนองในสิ่งที่ต้องการแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรในอนาคต
ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ก็คือ ทุกคนต้องการที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีความอยู่ดีกินดี มีสุขภาพแข็งแรง
ดังนั้น เราจึงได้เห็นสารพัดนโยบาย สารพัดโครงการ ที่ออกมาตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของคนยากคนจน
คนรากหญ้าที่ด้อยโอกาส ในยุคสมัยรัฐบาลของนายกฯทักษิณ กองทุนหมู่บ้านเอย จำนำข้าวเอย บ้านเอื้ออาทรเอย
โอท็อปเอย สามสิบบาทเอย บลา ๆๆ ๆๆ (คงไม่ต้องเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนหรอกเนาะ )
นั่นแน่ บรรดาฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อนายกฯทักษิณ กำลังจะบอกว่า นายกฯทักษิณ ซื้อเสียงด้วยนโยบายประชานิยมล่ะซี้
การที่จะเป็นรัฐบาลที่จะครองใจประชาชนได้นั้น ต้องมีความจริงใจต่อประชาชนนั่นล่ะ ถึงจะครองใจเค้าได้ ถ้าหาก
นายกฯทักษิณไม่ใช้นโยบายต่างๆที่ฝ่ายตรงข้ามเรียกว่า ประชานิยม มาบริหารประเทศให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ประเทศกำลังเริ่มพัฒนาก้าวไกลในระดับทวีปในช่วงนั้น จะสามารถครองใจคนเหนือ คนอีสาน ได้อย่างไร ชื่อก็บอกอยู่
แล้วว่า “ประชานิยม” ถ้าประชา”ไม่” นิยม แล้ว จะให้แมวที่ไหนไปนิยมล่ะคะ
คนเหนือ คนอีสาน คนยากคนจน คนส่วนใหญ่ทั่วไปเค้าไม่ใช่คนโง่ โอเค .. หากว่านายกฯทักษิณ ไม่ได้มีความใส่ใจ
จริงจัง ที่จะทำให้ประชาชนในประเทศยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นอย่างเห็นเป็นรูปธรรมจับต้องได้ เลือกตั้งครั้งต่อมา
เค้าคงไม่โง่ “ซ้ำซาก” ให้ถูกหลอกอีกเป็นแน่
ตัวอย่างก็มีให้เห็นว่ามีอีกพรรค ที่พยายามสร้างภาพว่าเป็นพรรคคนดีมี คุณธรรม จริยธรรม เลิศเลอ แต่ไม่เคยชนะการ
เลือกตั้ง ไม่เคยครองใจคนหมู่มากในภาคเหนือ ภาคอีสาน หรือ ภาคอื่น ยกเว้นภาคใต้ได้ เพียงเพราะแค่ใช้ลมปาก แต่ไม่
ได้ลงมือปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรม
................................. หากนายกฯทักษิณจะซื้อเสียงโดยใช้นโยบายประชานิยม ........................
................................. คิดว่าหลายคนก็คงอยาก “ขายเสียง” ให้นายกฯทักษิณ ค่ะ ............................
ขอบคุณภาพประกอบสวยๆจากเนตค่ะ
+ + + [เรื่องของทิศ] อีสาน <-------> ทักษิณ ( Pechnamnil AC ) + + +
หน้าแล้ง (ฤดูร้อน)จะว่าไป ถ้าพูดถึงฤดูร้อนหรือหน้าแล้งนี่ ภาคอีสานจะเผชิญกับภาวะแห้งแล้งที่ยาวนาน และ
หฤโหดที่สุด
เนื่องจากมีภูเขาใหญ่ทอดตัวเป็นกำแพงกั้นลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้แบ่งภาคอีสานออกจากภาคกลาง และอยู่ห่างจาก
ทะเลมากพอสมควร ทำให้ปริมาณน้ำฝนทางภาคอีสานมีน้อยถึงปานกลาง และดินทางภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นดินทราย
ไม่อุ้มน้ำ ประกอบกับชั้นใต้ดินมีเกลือหิน ดินจึงเค็มและไม่มีแร่ธาตุ จึงทำให้ภาคอีสานนั้นแห้งแล้งปลูกพืชไม่ค่อยได้ และ
อิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้อากาศแตกต่างกันมากระหว่างฤดูหนาวและฤดูร้อน หน้าหนาวอากาศ
หนาวจัด หน้าร้อนก็ร้อนจัด
เอ๋ ... ทะไมพูดไปพูดมาเหมือนกับว่า คนอีสานถูกธรรมชาติลงโทษยังไงไม่รู้เนาะ อิอิ
นั่นล่ะค่ะ จากเหตุผลที่ว่ามา ทำให้คนภาคอีสานดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างยากลำบากกว่าภาคอื่นๆ เนื่องจากลักษณะ
ภูมิศาสตร์ไม่เอื้ออำนวยให้ทำอาชีพเกษตรกรรม ในขณะที่ในอดีตนั้นประเทศเราเป็นประเทศที่ดำรงอยู่ได้ ด้วยพืชผล
ทางเกษตร ทั้งบริโภคภายในประเทศและส่งออกนำเงินเข้าประเทศเป็นหลัก
ย้อนหลังกลับไปประมาณ 60 ปี หลังประเทศปฏิวัติการปกครอง อย่าว่าแต่จะปลูกพืชเพื่อการค้าขายเลย แม้แต่จะปลูก
ข้าวเพื่อเลี้ยงตัวเองให้รอดในแต่ละปี คนอีสานยังทำได้ยากมาก จะคิดทำอะไรก็ต้องใช้เงินทุนมากมาย ความรู้และเทค
โนโลยี่ใหม่ๆก็ไม่มี
ในขณะที่การเมืองการปกครองในประเทศนั้น ยังไม่เสถียรภาพพอที่ผู้บริหารประเทศจะหันมาใส่ใจความเป็นอยู่หรือ
ปากท้องของประชาชนอย่างจริงจัง เพราะมัวแต่ทะเลาะแย่งชิงการเป็นผู้กุมอำนาจบริหารประเทศ ประชาชนถูกปล่อยปะ
ละเลยให้เคว้งคว้างไร้ทิศทาง หาอยู่หากินกันไปตามมีตามเกิด ทั้งๆที่ภาษีและเงินรายได้ที่หล่อเลี้ยงประเทศนั้น มาจาก
ภาคการเกษตรของประชาชนเป็นหลัก
จขกท. เป็นคนอีสาน ย้อนหลังกลับไปเมื่อประมาณ 30 ปี ตอนที่ จขกท. ยังเป็นเด็ก (อ้าว ๆ คำนวณอายุ จขกท. กันใหญ่
.... เพิ่ง 19 จร้า) จำได้ว่า พอถึงหน้าร้อนแบบนี้ หลังโรงเรียนเลิกต้องรีบกลับบ้าน เพราะมีหน้าที่ต้องไปตักน้ำจากบ่อน้ำ
สาธารณะของหมู่บ้าน (บ่อสร้าง) ที่มีน้ำซึมออกมาขังอยู่ก้นบ่อเพียงน้อยนิด ดังนั้นต้องรีบตาเหลือกลานเพื่อจะได้แย่งน้ำ
จากคนอื่นได้ทัน ตักขึ้นมาใส่ตุ่มใหญ่ๆเอาไว้ใช้ กิน อาบ ของสมาชิกในบ้านในแต่ละวัน ถ้ามัวแต่ชักช้า จะเหลือแต่น้ำขุ่น
ขลักที่ก้นบ่อไว้ให้ ต้องรออีกหลายชั่วโมงกว่าน้ำจะซึมออกมาจากตาน้ำและตกตะกอนใสให้เราตักขึ้นมาใช้ได้อีกครั้ง จึง
ไม่แปลกใจที่บางที ตอนกลางคืน สาม สี่ทุ่มแล้ว ยังได้ยินเสียงคนหาบน้ำเดินผ่านหน้าบ้านเป็นประจำ โชคดีที่ จขกท.บ้าน
อยู่ใกล้กับบ่อเพียงไม่กี่สิบเมตร จึงสามารถตักน้ำได้เร็วกว่าคนอื่น แม้ จขกท. จะเป็นเด็กอายุแค่ 7 ขวบแต่ก็มีความว่องไว
ยังกะลิงเลยทีเดียว (ลิงที่ไหนจะน่ารักแบ่บนี้ฟะ .... เออนั่นสิ )
ถ้าจะพูดถึงความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นของคนอีสานนั้น มีเรื่องชีวิตรันทดมากมายเลยทีเดียว เด็กเล็กเด็กน้อยตามชนบท
อย่าง จขกท. นั้น จะได้กินขนมนมเนยกับใครเค้าแต่ละครั้งนั้นช่างลำบาก ได้ลูกอมมาเม็ดเดียว ยังต้องกัดแบ่งครึ่งกะ
น้องชายเลย บ่อยครั้งที่ จขกท. ต้องขโมยกินน้ำอ้อยก้อน (กากน้ำตาลที่ปั้นเป็นก้อน) ที่แม่ซื้อไว้เพื่อเอาไว้กินกะข้าวเหนียว
ในวันที่เราเบื่อน้ำพริกปลาร้า และหากับข้าวกินไม่ได้ เมื่อถูกจับได้ก็โดนดุ ทำให้สำนึกได้ว่า เราจะเห็นแก่ตัวไม่ได้ เพราะนี่
คือ อาหารของคนทั้งบ้านในยามขาดแคลน
ในวันเสาร์ อาทิตย์ หรือตอนปิดเทอม จขกท. พี่ชาย น้องชาย ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานในไร่ในนา พ่อปลูกแตงโม ฟักทอง
ทานตะวัน พวกเราก็ต้องช่วยพ่อแม่ปลูก ดายหญ้ามันสำปะหลัง เลี้ยงควาย อะไรต่างๆทำได้หมดทุกอย่างเท่าที่เด็กคน
หนึ่งจะทำได้ และรู้สึกภูมิใจ ดีใจมากที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่
ส่วนอาหารการกิน ก็หาเอาจากผืนป่าหรือท้องไร่ท้องนา วางเบ็ดหาปลา ขุดกบ เขียด ปู หอย ที่จำศีลอยู่ในนาขึ้นมาต้ม
แกง หรือป่นเป็นน้ำพริก จิ้มผักป่า ผักเม็ก ผักหวาน ผักสะเดา ผักติ้ว ผักกระโดน ก็เป็นการประหยัดได้ไม่ต้องซื้อหาให้
เปลืองตังค์
ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะฉายหนังชีวิตจริงๆของคนอีสาน สะท้อนให้เห็นถึงการฝ่าฟันดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด คนอีสาน
แทบทุกบ้านล้วนต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะความลำบากยากจนมาโดยตลอด ด้วยความขยัน ประหยัด อดทน การมีความหวัง
การไม่ท้อถอย ไม่ยอมอยู่เฉยแล้วเรียกร้องให้คนอื่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
จนมาถึงยุคสมัยของนายกฯทักษิณ ชินวัตร ด้วยเพราะความเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ประกอบกับมีความรู้ความ
เชี่ยวชาญด้านการตลาด จึงได้คิดหาวิธีที่จะครองฐานเสียงของคนยากคนจน คนรากหญ้า โดยเฉพาะคนอีสาน ที่มี
ประชากรที่เป็นฐานเสียงจำนวนมากไว้ ด้วยการเข้าให้ถึง “ปัญหาและความต้องการ” รวมถึง “อุปนิสัยใจคอ” ที่แท้จริง
ของคนอีสาน ที่จะส่งผลระยะยาวต่อความนิยม ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยที่คนอย่างนายกฯทักษิณ จะตีโจทย์นี้แตก
แทบจะทันทีที่เริ่มคิด
อะไรคือปัญหาที่คนอีสานการให้รัฐบาลช่วยแก้ไข
อะไรคือความต้องการที่คนอีสานอยากได้แต่ถูกปล่อยปะละเลยจากผู้มีอำนาจสั่งการ
เมื่อคนอีสานได้รับการตอบสนองในสิ่งที่ต้องการแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรในอนาคต
ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ก็คือ ทุกคนต้องการที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีความอยู่ดีกินดี มีสุขภาพแข็งแรง
ดังนั้น เราจึงได้เห็นสารพัดนโยบาย สารพัดโครงการ ที่ออกมาตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของคนยากคนจน
คนรากหญ้าที่ด้อยโอกาส ในยุคสมัยรัฐบาลของนายกฯทักษิณ กองทุนหมู่บ้านเอย จำนำข้าวเอย บ้านเอื้ออาทรเอย
โอท็อปเอย สามสิบบาทเอย บลา ๆๆ ๆๆ (คงไม่ต้องเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนหรอกเนาะ )
นั่นแน่ บรรดาฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อนายกฯทักษิณ กำลังจะบอกว่า นายกฯทักษิณ ซื้อเสียงด้วยนโยบายประชานิยมล่ะซี้
การที่จะเป็นรัฐบาลที่จะครองใจประชาชนได้นั้น ต้องมีความจริงใจต่อประชาชนนั่นล่ะ ถึงจะครองใจเค้าได้ ถ้าหาก
นายกฯทักษิณไม่ใช้นโยบายต่างๆที่ฝ่ายตรงข้ามเรียกว่า ประชานิยม มาบริหารประเทศให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ประเทศกำลังเริ่มพัฒนาก้าวไกลในระดับทวีปในช่วงนั้น จะสามารถครองใจคนเหนือ คนอีสาน ได้อย่างไร ชื่อก็บอกอยู่
แล้วว่า “ประชานิยม” ถ้าประชา”ไม่” นิยม แล้ว จะให้แมวที่ไหนไปนิยมล่ะคะ
คนเหนือ คนอีสาน คนยากคนจน คนส่วนใหญ่ทั่วไปเค้าไม่ใช่คนโง่ โอเค .. หากว่านายกฯทักษิณ ไม่ได้มีความใส่ใจ
จริงจัง ที่จะทำให้ประชาชนในประเทศยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นอย่างเห็นเป็นรูปธรรมจับต้องได้ เลือกตั้งครั้งต่อมา
เค้าคงไม่โง่ “ซ้ำซาก” ให้ถูกหลอกอีกเป็นแน่
ตัวอย่างก็มีให้เห็นว่ามีอีกพรรค ที่พยายามสร้างภาพว่าเป็นพรรคคนดีมี คุณธรรม จริยธรรม เลิศเลอ แต่ไม่เคยชนะการ
เลือกตั้ง ไม่เคยครองใจคนหมู่มากในภาคเหนือ ภาคอีสาน หรือ ภาคอื่น ยกเว้นภาคใต้ได้ เพียงเพราะแค่ใช้ลมปาก แต่ไม่
ได้ลงมือปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรม
................................. หากนายกฯทักษิณจะซื้อเสียงโดยใช้นโยบายประชานิยม ........................
................................. คิดว่าหลายคนก็คงอยาก “ขายเสียง” ให้นายกฯทักษิณ ค่ะ ............................