ขี่ Versys มาเกือบปีแล้ว ที่ผ่านมาก็ไปกันมาหลายที่ ได้เรียนรู้กันเยอะ และยังมีเรื่องให้เรียนรู้อีกเยอะ
เคยขี่ Honda SF400 มาก่อนแล้ว ขี่ไปทำงานไปกลับ บ้าน-โรงเรียน ทุกวันอยู่ประมาณหกปี ระยะทางวันละร้อยห้าสิบกิโล คันนั้นมันเป็น naked ที่เน้นขี่ในเมือง ไม่มีที่เก็บของ , shock ab ไม่ได้ยาว, ไม่มีที่บังลม, นั่งตัวตรงๆไม่ได้ก้มเยอะ ที่สำคัญมันถูกออกแบบให้ขี่ในเมือง "บนถนน" เป็นหลัก
ภาพที่จำได้ไม่ลืมเลย คือเมื่อสิบปีก่อนขี่ SF ไปสะเมิง แล้วก็เลยลองขี่ขึ้นไปทางจะไปวัดจันทน์ จากที่เป็นทางลาดยางดำๆปกติ อยู่ๆกำลังเห็นทางขึ้นเขาข้างหน้า ทางลาดยางก็หมด กลายเป็นทางดินตั้งแต่ตรงนั้น และเป็นสภาพที่เละเทะจนต้องยอมกลับรถ ภาพตรงหน้าตอนนั้นมันตะเตือนไต รอบตัวมีแต่ต้นไม้ อากาศชื้น แต่ไปต่อไม่ได้ ยอมแพ้ และรู้ว่ารถเรามีข้อจำกัด
จริงๆตอนใช้ SF นั่นก็ขี่ไปทางที่ไม่ใช่ on-road อยู่บ่อยๆ เพราะบางครั้งไปเยี่ยมบ้านนักเรียน ตอนขี่ไปก็เป็นถนนดำปกติ พอจะเลี้ยวเข้าถนนบ้านนักเรียน ถนนก็เปลี่ยนเป็นลูกรังบ้าง ดินบ้าง ก็ต้องค่อยๆหยอดๆกันไป แต่รู้สึก "มันไม่ใช่นะ" แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือคำตอบ
หรืออย่างตอนขี่ไปสะเมิงสมัยนั้น ทางบางช่วงก็เป็นอิฐตัวหนอน เป็นคลื่น บางครั้งได้ยินเสียง shock ab กระแทกสุดก็มี ฟังแล้วปวดใจ
สมัยนั้นรถมอเตอร์ไซค์ไม่ได้มีให้เลือกมากเหมือนตอนนี้ ตอนนั้นก็ต้องยอมไปใช้รถ invoice เพราะรถนำเข้าก็ราคาแพงมากๆ หรือรถที่ขายตามศูนย์ก็เป็นเพียงรถขนาดเล็กๆ แค่ร้อยกว่าซีซี ความหลากหลายของประเภทรถก็ยังไม่มาก
พอมาถึงปีที่แล้ว ตอนจะซื้อมอเตอร์ไซค์อีกคัน เลยรู้ความต้องการของตัวเองแล้ว โจทย์คือ
หนึ่ง ต้องไปไหนๆได้โดยไม่ต้องกังวลกับทางข้างหน้า "มากเกินไป" ว่ารถจะเข้าไปได้มั้ย ถึงจะขรุขระบ้างก็ไปได้ ถนนเสียก็ไปได้ ดินก็ไปได้ ถ้าไม่ได้เละเทะมาก ไม่นับการไปได้แบบดันทุรังไป ซึ่งอันนั้นไม่ว่ารถอะไรก็ไปได้ทั้งนั้นอยู่แล้ว ก็เลยมองมาที่ adventure
สอง ต้องมีที่ใส่ของ เพราะมีประสบการณ์มาแล้วว่า ขี่มอเตอร์ไซค์แล้วไม่มีที่ใส่ของนี่มันทำให้ชีวิตยากขึ้นมาโดยไม่ควรเลยจริงๆ การใช้ชีวิตประจำวันง่ายๆอย่างขี่รถไปซื้อก๋วยเตี๋ยวก็กลายเป็นว่าต้องแบกเป้ซะแล้ว หรือขี่รถไปห้างแล้วไม่มีที่เก็บหมวกกันน็อคก็ต้องหิ้วเดินไปทั่ว ก็ไม่หนุกเหมือนกัน มันทำให้การใช้มอเตอร์ไซค์ไม่ compatible with life ด้วยเหตุผลนี้ก็เลยตัดทรง sport ไป ทั้งๆที่ชอบเสียงเครื่องสี่สูบมากกว่าอะไร
สาม มอเตอร์ไซค์คันนี้จะเป็นคันเดียวที่ใช้งาน เพราะจะไม่ซื้อคันอื่นอีก อย่างน้อยก็ในระยะเวลาสั้นๆนี้ เพราะฉะนั้นมันก็เลยต้องใช้งานได้สบายในเมือง เที่ยวไกลๆได้ไม่เหนื่อย ไม่ต้องหมอบ และคนซ้อนนั่งได้อย่างไม่ลำบาก (เหตุผลนี้ก็เลยตัดรถ sport ไปหมด)
สี่ ตั้งงบไว้ไม่เกินสามแสน ค่าอุปกรณ์อื่นๆอีกประมาณห้าหมื่น
ห้า ไม่เอาทรง naked แล้ว เพราะขี่มาแล้วก็รู้ว่าเวลาขี่ไปเที่ยวไกลๆนานๆ ลมมันตีเข้าตัวเยอะ ขี่แล้วเหนื่อยโดยไม่จำเป็น (ถึงไม่ได้เหนื่อยมาก แต่มันก็ต้องสู้กับลมประมาณนึง) ถึงจะติดใจเสียงสี่สูบ แต่ก็ต้องยอมตัดใจ
ด้วยโจทย์ที่ตั้งไว้นั่น คำตอบก็ลงมาที่รถ adventure touring ซึ่งเท่าที่มองเห็น ด้วยความรู้เกี่ยวกับรถตอนนั้น,เวลาในการตัดสินใจเลือก,งบประมาณในกระเป๋า ตอนนั้นตัวเลือกในมือก็มี Honda CB500x, Kawasaki Versys650, Suzuki Vstorm650 แน่นอน BMW GS หรือแบรนด์อื่นๆราคาเกินสี่ห้าแสน ต้องมีอยู่ในหัวอยู่แล้ว แต่อันนั้นมันเกินงบไปเยอะ เลยไม่ต้องเอามาพูดถึงเลยดีกว่า
สำหรับ Honda CB500x ได้ไปลองคร่อมที่ศูนย์เชียงใหม่ รู้สึกว่ามันยัง "ใหญ่" ไม่พอสำหรับตัวเอง ทั้งมิติของรถและขนาดเครื่อง เพื่อนที่ขี่รถมาด้วยกันบอกว่า "ห้าร้อยไม่พอมือพี่หรอก" ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าหกร้อยห้าสิบมันประมาณไหน แต่ก็รู้สึกว่า ก็จริง .. ราคาต่ำกว่าตัวอื่น นี่ก็เป็นข้อดีมาก จะมีเงินพอซื้ออุปกรณ์ได้อีกสบายๆ แต่พอมาถามตัวเองว่า ซื้อ 500x แล้วจะจบมั้ย? คิดว่า ขี่ๆไปก็จะคอยแต่รู้สึกว่า รถมันเล็กไปๆอยู่นั่น สงสัยจะขี่ไม่สนุก ก็เลยคิดว่าอย่าดีกว่า ก็เลยตัดตัวเลือกนี้ไป
ตัวเลือกที่สอง Suzuki Vstorm650 ตอนนั้นยังชอบหน้าตาของรถ adventure ที่ทำไฟกลมๆอย่าง GS หรือ Versys ตัวก่อนปี 2015 ก็เลยไม่ชอบจริงๆกับไฟแหลมๆแบบตาสองข้างของ Vstorm แล้วด้วยความเห็นส่วนตัวอีกว่า "ตาแบบ Vstorm ไม่สวย" ก็เลยตัดตัวเลือกนี้ออก อีกอย่างคือราคาที่จะบวกขึ้นไปอีกจากงบที่ตั้งไว้ ก็เลยตัดออกแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก
ตัวเลือกสุดท้าย Kawasaki Versys650 ตัวนี้เกินงบที่ตั้งไว้นิดหน่อย แต่ก็ยังพอมีเหลือให้ซื้ออุปกรณ์ได้ แต่ที่รับไม่ได้เลยตอนนั้นคือหน้าแหลมๆแบบนี้ เพราะอย่างที่บอกว่ายังชอบไฟกลมบนล่างแบบรุ่นก่อนอยู่ แต่ทำไงได้เค้าเปลี่ยนโฉมไปแล้วนี่
วันที่ไปซื้อ เจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ยังเข็นรถปีก่อนที่เป็นตัวโชว์มาให้ดู บอกว่ายังเหลืออยู่คันนึง แต่ราคาไม่ได้ลดลง ชั่งใจอยู่พักนึงเลยว่าเอาไงดี แต่ก็คิดว่าซื้อรถปีใหม่ ก็คงได้เทคโนโลยีใหม่ ได้ความใหม่ ขี่ๆไปก็คงชอบมันเอง (มั้ง) ก็เลยไม่เอาตัวเก่าที่เหลือนั่น
ตอนแรกที่จะซื้อ จิ้มสีเขียวไป เพราะดูมัน "เฟี้ยว" ดี พนักงานเดินหายเข้าไปในโกดัง พอดีกับที่มีรถลูกค้าคนอื่นเข้ามา service เป็นสีเขียวแบบที่กำลังจะซื้อ ดูๆไปแล้วก็ไม่โดนซะเอง คิดง่ายๆแค่ว่า ถ้าเกิดขี่รถเขียวแล้วเกิดอยากใส่เสื้อแดง มันจะดูตลกหรือเปล่าวะ เลยวิ่งไปบอกคุณพนักงานว่า "เปลี่ยนเป็นสีดำดีกว่าครับ" ก็เลยได้สีดำมาอย่างที่เห็น
--หนึ่งปี กับ Versys--
ขี่ Versys มาเกือบปีแล้ว ที่ผ่านมาก็ไปกันมาหลายที่ ได้เรียนรู้กันเยอะ และยังมีเรื่องให้เรียนรู้อีกเยอะ
เคยขี่ Honda SF400 มาก่อนแล้ว ขี่ไปทำงานไปกลับ บ้าน-โรงเรียน ทุกวันอยู่ประมาณหกปี ระยะทางวันละร้อยห้าสิบกิโล คันนั้นมันเป็น naked ที่เน้นขี่ในเมือง ไม่มีที่เก็บของ , shock ab ไม่ได้ยาว, ไม่มีที่บังลม, นั่งตัวตรงๆไม่ได้ก้มเยอะ ที่สำคัญมันถูกออกแบบให้ขี่ในเมือง "บนถนน" เป็นหลัก
ภาพที่จำได้ไม่ลืมเลย คือเมื่อสิบปีก่อนขี่ SF ไปสะเมิง แล้วก็เลยลองขี่ขึ้นไปทางจะไปวัดจันทน์ จากที่เป็นทางลาดยางดำๆปกติ อยู่ๆกำลังเห็นทางขึ้นเขาข้างหน้า ทางลาดยางก็หมด กลายเป็นทางดินตั้งแต่ตรงนั้น และเป็นสภาพที่เละเทะจนต้องยอมกลับรถ ภาพตรงหน้าตอนนั้นมันตะเตือนไต รอบตัวมีแต่ต้นไม้ อากาศชื้น แต่ไปต่อไม่ได้ ยอมแพ้ และรู้ว่ารถเรามีข้อจำกัด
จริงๆตอนใช้ SF นั่นก็ขี่ไปทางที่ไม่ใช่ on-road อยู่บ่อยๆ เพราะบางครั้งไปเยี่ยมบ้านนักเรียน ตอนขี่ไปก็เป็นถนนดำปกติ พอจะเลี้ยวเข้าถนนบ้านนักเรียน ถนนก็เปลี่ยนเป็นลูกรังบ้าง ดินบ้าง ก็ต้องค่อยๆหยอดๆกันไป แต่รู้สึก "มันไม่ใช่นะ" แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือคำตอบ
หรืออย่างตอนขี่ไปสะเมิงสมัยนั้น ทางบางช่วงก็เป็นอิฐตัวหนอน เป็นคลื่น บางครั้งได้ยินเสียง shock ab กระแทกสุดก็มี ฟังแล้วปวดใจ
สมัยนั้นรถมอเตอร์ไซค์ไม่ได้มีให้เลือกมากเหมือนตอนนี้ ตอนนั้นก็ต้องยอมไปใช้รถ invoice เพราะรถนำเข้าก็ราคาแพงมากๆ หรือรถที่ขายตามศูนย์ก็เป็นเพียงรถขนาดเล็กๆ แค่ร้อยกว่าซีซี ความหลากหลายของประเภทรถก็ยังไม่มาก
พอมาถึงปีที่แล้ว ตอนจะซื้อมอเตอร์ไซค์อีกคัน เลยรู้ความต้องการของตัวเองแล้ว โจทย์คือ
หนึ่ง ต้องไปไหนๆได้โดยไม่ต้องกังวลกับทางข้างหน้า "มากเกินไป" ว่ารถจะเข้าไปได้มั้ย ถึงจะขรุขระบ้างก็ไปได้ ถนนเสียก็ไปได้ ดินก็ไปได้ ถ้าไม่ได้เละเทะมาก ไม่นับการไปได้แบบดันทุรังไป ซึ่งอันนั้นไม่ว่ารถอะไรก็ไปได้ทั้งนั้นอยู่แล้ว ก็เลยมองมาที่ adventure
สอง ต้องมีที่ใส่ของ เพราะมีประสบการณ์มาแล้วว่า ขี่มอเตอร์ไซค์แล้วไม่มีที่ใส่ของนี่มันทำให้ชีวิตยากขึ้นมาโดยไม่ควรเลยจริงๆ การใช้ชีวิตประจำวันง่ายๆอย่างขี่รถไปซื้อก๋วยเตี๋ยวก็กลายเป็นว่าต้องแบกเป้ซะแล้ว หรือขี่รถไปห้างแล้วไม่มีที่เก็บหมวกกันน็อคก็ต้องหิ้วเดินไปทั่ว ก็ไม่หนุกเหมือนกัน มันทำให้การใช้มอเตอร์ไซค์ไม่ compatible with life ด้วยเหตุผลนี้ก็เลยตัดทรง sport ไป ทั้งๆที่ชอบเสียงเครื่องสี่สูบมากกว่าอะไร
สาม มอเตอร์ไซค์คันนี้จะเป็นคันเดียวที่ใช้งาน เพราะจะไม่ซื้อคันอื่นอีก อย่างน้อยก็ในระยะเวลาสั้นๆนี้ เพราะฉะนั้นมันก็เลยต้องใช้งานได้สบายในเมือง เที่ยวไกลๆได้ไม่เหนื่อย ไม่ต้องหมอบ และคนซ้อนนั่งได้อย่างไม่ลำบาก (เหตุผลนี้ก็เลยตัดรถ sport ไปหมด)
สี่ ตั้งงบไว้ไม่เกินสามแสน ค่าอุปกรณ์อื่นๆอีกประมาณห้าหมื่น
ห้า ไม่เอาทรง naked แล้ว เพราะขี่มาแล้วก็รู้ว่าเวลาขี่ไปเที่ยวไกลๆนานๆ ลมมันตีเข้าตัวเยอะ ขี่แล้วเหนื่อยโดยไม่จำเป็น (ถึงไม่ได้เหนื่อยมาก แต่มันก็ต้องสู้กับลมประมาณนึง) ถึงจะติดใจเสียงสี่สูบ แต่ก็ต้องยอมตัดใจ
ด้วยโจทย์ที่ตั้งไว้นั่น คำตอบก็ลงมาที่รถ adventure touring ซึ่งเท่าที่มองเห็น ด้วยความรู้เกี่ยวกับรถตอนนั้น,เวลาในการตัดสินใจเลือก,งบประมาณในกระเป๋า ตอนนั้นตัวเลือกในมือก็มี Honda CB500x, Kawasaki Versys650, Suzuki Vstorm650 แน่นอน BMW GS หรือแบรนด์อื่นๆราคาเกินสี่ห้าแสน ต้องมีอยู่ในหัวอยู่แล้ว แต่อันนั้นมันเกินงบไปเยอะ เลยไม่ต้องเอามาพูดถึงเลยดีกว่า
สำหรับ Honda CB500x ได้ไปลองคร่อมที่ศูนย์เชียงใหม่ รู้สึกว่ามันยัง "ใหญ่" ไม่พอสำหรับตัวเอง ทั้งมิติของรถและขนาดเครื่อง เพื่อนที่ขี่รถมาด้วยกันบอกว่า "ห้าร้อยไม่พอมือพี่หรอก" ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าหกร้อยห้าสิบมันประมาณไหน แต่ก็รู้สึกว่า ก็จริง .. ราคาต่ำกว่าตัวอื่น นี่ก็เป็นข้อดีมาก จะมีเงินพอซื้ออุปกรณ์ได้อีกสบายๆ แต่พอมาถามตัวเองว่า ซื้อ 500x แล้วจะจบมั้ย? คิดว่า ขี่ๆไปก็จะคอยแต่รู้สึกว่า รถมันเล็กไปๆอยู่นั่น สงสัยจะขี่ไม่สนุก ก็เลยคิดว่าอย่าดีกว่า ก็เลยตัดตัวเลือกนี้ไป
ตัวเลือกที่สอง Suzuki Vstorm650 ตอนนั้นยังชอบหน้าตาของรถ adventure ที่ทำไฟกลมๆอย่าง GS หรือ Versys ตัวก่อนปี 2015 ก็เลยไม่ชอบจริงๆกับไฟแหลมๆแบบตาสองข้างของ Vstorm แล้วด้วยความเห็นส่วนตัวอีกว่า "ตาแบบ Vstorm ไม่สวย" ก็เลยตัดตัวเลือกนี้ออก อีกอย่างคือราคาที่จะบวกขึ้นไปอีกจากงบที่ตั้งไว้ ก็เลยตัดออกแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก
ตัวเลือกสุดท้าย Kawasaki Versys650 ตัวนี้เกินงบที่ตั้งไว้นิดหน่อย แต่ก็ยังพอมีเหลือให้ซื้ออุปกรณ์ได้ แต่ที่รับไม่ได้เลยตอนนั้นคือหน้าแหลมๆแบบนี้ เพราะอย่างที่บอกว่ายังชอบไฟกลมบนล่างแบบรุ่นก่อนอยู่ แต่ทำไงได้เค้าเปลี่ยนโฉมไปแล้วนี่
วันที่ไปซื้อ เจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ยังเข็นรถปีก่อนที่เป็นตัวโชว์มาให้ดู บอกว่ายังเหลืออยู่คันนึง แต่ราคาไม่ได้ลดลง ชั่งใจอยู่พักนึงเลยว่าเอาไงดี แต่ก็คิดว่าซื้อรถปีใหม่ ก็คงได้เทคโนโลยีใหม่ ได้ความใหม่ ขี่ๆไปก็คงชอบมันเอง (มั้ง) ก็เลยไม่เอาตัวเก่าที่เหลือนั่น
ตอนแรกที่จะซื้อ จิ้มสีเขียวไป เพราะดูมัน "เฟี้ยว" ดี พนักงานเดินหายเข้าไปในโกดัง พอดีกับที่มีรถลูกค้าคนอื่นเข้ามา service เป็นสีเขียวแบบที่กำลังจะซื้อ ดูๆไปแล้วก็ไม่โดนซะเอง คิดง่ายๆแค่ว่า ถ้าเกิดขี่รถเขียวแล้วเกิดอยากใส่เสื้อแดง มันจะดูตลกหรือเปล่าวะ เลยวิ่งไปบอกคุณพนักงานว่า "เปลี่ยนเป็นสีดำดีกว่าครับ" ก็เลยได้สีดำมาอย่างที่เห็น