สามก๊กยุคใหม่ (๑) ๑๕ ม.ค.๕๙

กระทู้สนทนา
สามก๊กยุคใหม่ (๑)

สามก๊กยุคใหม่

ศึกชิงเจ้ายุทธภพ สามก๊ก     

โดย adept  FriendFlock Bloggang

*หมายเหตุ* ชื่อตัวละคร เหตุการณ์และสถานที่ เกิดจากจินตนาการของผู้ประพันธ์ ผู้ปกครองโปรดให้คำแนะนำแก่ผู้อ่านที่เป็นผู้เยาว์

เขียนเมื่อ    : 5 ม.ค. 53 09:56:38

        ยามสาม ในคืนไร้จันทร์คืนหนึ่ง บนจุดสูงสุดบนหลังคาที่ว่าการเมืองกิจิ๋ว ซึ่งบัดนี้เป็นอิสระจากอาณัติขุนนางฮั่น มีร่างร่างหนึ่งยืนนิ่งไม่ไหวติง มันเป็นชายชราวัยหกสิบเศษ แต่ใบหน้ากลับอ่อนเยาว์คล้ายชายวัยสามสิบ รูปร่างผอมบางของมันถูกคลุมไว้ด้วยเครื่องแต่งกายที่คล้ายขุนศึกก็มิใช่ คล้ายนักพรตก็ไม่เชิง ศีรษะของมันโพกด้วยผ้าแพรสีเหลือง ที่มีสัญลักษณ์ไท่ผิง หยิน-หยาง ประดับบริเวณหน้าผาก มันไว้เคราห้าแฉกสีขาว ซึ่งขณะนี้กำลังโบกพริ้วไปกับกระแสลม คล้ายกระแสลมเย็นต้นฤดูตงเทียนที่ลดต่ำใกล้ระดับเยือกแข็งของน้ำ มิอาจกัดกร่อนผิวกายที่แบบบางของมันได้ มันเหม่อมองดวงดาวที่พร่างพรายดารดาษเต็มฟากฟ้า

        ดาราล้วนสุกสกาว แต่จิตใจชายชรากลับหม่นหมอง

        “ข้าทำถูกหรือไม่” มันรำพึงกับตัวเอง  พลางหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีก่อน ขณะที่มันเดินทางกลับบ้าน ภายหลังล้มเหลวจากการสอบเข้ารับราชการ เพราะมิอาจหาเงินมาสินบนผู้คุมสอบได้ มันพบว่าผู้ที่อ่านหนังสือไม่ออก หากแต่มีเงินให้สินบน ก็สามารถเป็นขุนนางระดับกลางได้ไม่ยาก ส่วนมันแม้ว่าจะสามารถอธิบายคำสอนทั้งหมดของท่านขงจื้อได้ เจนจัดในพิชัยยุทธของท่านซุนจื่อ และรู้ลึกซึ้งในหลักการปกครองของท่านหวูฉี กลับมิอาจเป็นได้แม้ข้าราชการระดับล่างสุด เมื่อรู้ซึ้งในความเน่าเฟะของระบบราชการแล้ว มันจึงมุ่งหน้าเดินทางกลับกิลกกุ๋น ตั้งใจจะทำนาหาฟืนเลี้ยงปากท้องไปจนตายกับ เตียวโป้ และเตียวเหลียง น้องชายทั้งสอง โดยไม่สนใจคิดรับราชการอีก

        บ่ายแก่วันหนึ่ง ขณะมันรอนแรมท่ามกลางหุบเขาใกล้เมืองกิลกกุ๋น อยู่ๆก็มีพายุฝนตกกระหน่ำขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ขลุ่ย มันวิ่งหลบฝนเข้าไปยังถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำกว้างเพียงสิบเชี๊ยะแต่ลึกสุดสายตา และไม่อับชื้น จากปากถ้ำมีทางทอดยาวลึกเข้าไป ในสุดปรากฏแสงสว่างนวลตา มันคิดว่าคงมีใครจุดไฟไว้ที่ก้นถ้ำ ความหนาวเย็นเสียดกระดูกจากเสื้อผ้าที่เปียกชื้น จึงทำให้มันเดินตามแสงสว่างเข้าไปเพื่อหวังผิงไฟคลายหนาว

        ก้นถ้ำที่สว่างไสวนั้นปราศจากโคมหรือกองไฟใดๆ มันพบว่าแสงสว่างที่ว่าออกมาจากผู้เฒ่าท่านหนึ่ง ซึ่งนั่งหันหลังทำสมาธิ
ชิดผนังด้านในของถ้ำ

        ทันทีที่มันเดินเข้าไปในระยะเจ็ดก้าวจากตัวผู้เฒ่า ความหนาวเย็นทั่วกายก็หายไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่เปียกชื้น กลับระเหยแห้งกลายเป็นไอในทันใด ด้วยความตกใจกับการเปลี่ยนแปลงที่ปรากฏ มันจึงคุกเข่ากราบกรานโดยไม่รู้ตัว

        “ข้ารอเจ้าอยู่ เตียวก๊ก” ชายชราเอ่ยเสียงดังกังวาน โดยไม่หันหน้ามามอง

        “ท่านผู้เฒ่า ทราบชื่อข้าพเจ้าได้อย่างไร” เตียวก๊กเงยหน้าสอบถามด้วยความฉงน

        ผู้เฒ่าที่มีแสงรอบกายไม่ตอบ แต่ชี้นิ้วไปยังกองม้วนคัมภีร์ไม้ไผ่สามเล่มที่วางชิดผนังด้านขวา

        “นั่นคือคัมภีร์ไท่แผงเยาสุด หนึ่งในนั้นเป็นตำราสมุนไพรรักษาโรค อีกหนึ่งเป็นตำราดูฤกษ์บนล่าง และวิธีเสกวัตถุสิ่งของให้มีชีวิต ส่วนม้วนสุดท้ายคือเคล็ดวิชาควบคุมจิต ทั้งหมดเป็นของเจ้าแต่เดิม จงรับไป เจ้าจงรักษาศีล บำเพ็ญธรรมกับข้าอยู่ที่นี่  อีกห้าร้อยปีเจ้าจะบรรลุเป็นเซียนเช่นข้า”

        “แต่ข้ายังมีน้องชายอีกสอง ที่กำลังเฝ้ารอข้ากลับ ชาวบ้านยังทุกข์ยากจากการกดขี่ของทางการ ขุนนางมีแต่ผู้ขี้ฉ้อ ข้ามิอาจสงบใจบำเพ็ญธรรมได้” เตียวก๊กกล่าว

        ชายชราทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า ”ฟ้าลิขิตแล้ว เตียวก๊กเอ๋ย จงใช้คัมภีร์นี้เพื่อช่วยสรรพสัตว์ ให้พ้นจากทุกข์ยาก อย่าใช้เพื่ออำนาจหรือลาภสักการะ หากเจ้าไม่เชื่อ ภัยพิบัติไม่เพียงจะบังเกิดแต่ตัวเจ้าและพี่น้อง ชาวประชาทั้งแผ่นดินจะยิ่งทุกข์ยาก จากการกระทำของเจ้าเป็นเท่าทวีคูณ”

        ขาดคำ แสงจากกายของชายชรา ก็สว่างเจิดจ้าจนเตียวก๊กมิอาจเบิ่งตาลืมได้ แล้วฉับพลันแสงสว่างทั้งหลายก็หายไป ในถ้ำเหลือแต่ความมืดมิดแล้วหนาวเย็น เมื่อสายตาเตียวก๊กปรับได้กับความมืดแล้ว สิ่งที่หลงเหลือภายในถ้าคือคัมภีร์ไท่แผงเยาสุดสามม้วน

@@@@@

        สายลมสี่หอบพัดผ่านกายของมัน ทำให้สติของมันกลับสู่โลกปัจจุบัน ปรากฏสามบุรุษ หนึ่งสตรีในชุดรัดกุมเข้ม ล้วนโพกผ้าสีเหลืองที่มีสัญลักษณ์ไท่ผิงเฉกเช่นเดียวกับมัน คุกเข่าคารวะอยู่เบื้องหน้า

        “สถานการณ์ในเกงจิ๋วเป็นเช่นไร” เตียวก๊กถามโดยไม่ก้มหน้าไปมองบุคคลทั้งสี่

        แท้ที่จริงบุคคลทั้งสี่ล้วนแต่เป็นบริวารระดับสูงของมัน จากซ้ายเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่มีผมสีดอกเลาเฉพาะที่จอนข้างหู มันมีฉายาเสือขาว ถัดมาเป็นบุรุษวัยดึกร่างโปร่งบาง สายตาปราดเปรียวว่องไว มันใช้นามอินทรีย์แดง ถัดมาเป็นบุรุษหนุ่มที่ระบายลวดลายประหลาดบนใบหน้าด้วยสีเขียว มันคือมังกรเขียว และสุดท้ายเป็นสตรีนางเดียวรูปร่างรัดรึง ประกายตาชวนให้เกิดราคะ นางคือกิเลนม่วง พวกมันเป็นสี่ในแปดผู้พิทักษ์ของพรรคนิกายไท่ผิง(โพกผ้าเหลือง)  

        เสือขาวเอ่ยขึ้นว่า ”เรียนประมุข สามสำนักในเกงจิ๋วต่างร่วมมือกับเล่าเปียว ต่อต้านพรรคเรา หากแต่ท่านเจ้าพระยามนุษย์(เตียวเหลียง) เตรียมแผนป้องกันเหตุไม่คาดฝันไว้แต่แรก ฝ่ายเราสูญเสียเพียงเล็กน้อย แต่ยังมิอาจยึดที่ทำการของเล่าเปียวได้”

            “ที่ว่าสูญเสียเพียงเล็กน้อยนั้น เท่าใด” เตียวก๊กเลิกคิ้วถาม

        “ฝ่ายเราบาดเจ็บสองร้อย สู่สุขคติสสามสิบสอง แต่ทหารฮั่นบาดเจ็บล้มตายเกือบหนึ่งพัน ท่านประมุข”

        “แล้วทางเตียวโป้ล่ะเป็นเช่นใด” เตียวก๊กถาม

        “ฮองฮูสงและจูฮีนำทัพใหญ่ โจมตีที่เองฉวน แต่ถูกท่านเจ้าพระยาดิน(เตียวโป้) ไล่ตามตีจนแตกพ่ายสามครั้ง ทัพฮั่นแตกหนีหางจุกก้นกลับลั่วหยางไปแล้ว ท่านประมุข” เสียงแหบพร่าแฝงความภูมิใจออกจากปากอินทรีย์แดง

        คงบาดเจ็บล้มตายอีกหลายพัน เตียวก๊กรำพึงในใจพร้อมกับหัวคิ้วที่ถูกขมวดเข้าหากัน ยามนั้นมันหวนคิดคำนึงถึงประโยคสุดท้ายของผู้เฒ่าในถ้ำ “...ภัยพิบัติไม่เพียงจะบังเกิดแต่ตัวเจ้าและพี่น้อง ชาวประชาทั้งแผ่นดินจะยิ่งทุกข์ยาก จากการกระทำของเจ้าเป็นเท่าทวีคูณ”

        “ท่านประมุขใยต้องวิตก  ขณะนี้แปดมณฑลอยู่ในความควบคุมของพวกเรา ชาวบ้านหลายสิบหมื่นต่างยินดีขันอาสาร่วมรบ ทัพฮั่นมีแต่แม่ทัพอ่อนแอ เหล่าทหารเลวขาดเสบียงนับวันมีแต่จะหนีทัพ ไม่นานฟ้าครามจักสิ้นสุด ท่านประมุขจะได้ครองบังลังค์” เสียงชดช้อยเจือราคะจริต จากกิเลนม่วงดังขึ้น

        “ใช่...ฟ้าครามสิ้นแล้ว ฟ้าเหลืองแทนที่ ๆ ๆ” เสียงประสานจากบุคคลทั้งสี่ดังขึ้นพร้อมกัน สามรอบ

        “พวกเจ้าอย่าประมาท ทัพฮั่นอ่อนแอก็จริง แต่ชาวยุทธส่วนมากยังเชื่อมั่นในคนแซ่เล่า หลายสำนักต่างขันอาสาปราบปรามพวกเรา และเรียกพวกเราว่าพรรคมาร” เตียวก๊กส่ายศีรษะตักเตือน

        กิเลนม่วง ส่งเสียงเจื้อยแจ้วตวาดเพ้ย กล่าวว่า “มารดามัน มีแต่พรรคเราที่ปล้นขุนนางชั่ว นำเงินทองมาแจกจ่ายชาวบ้าน ท่านประมุขช่วยรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วยโดยไม่เคยคิดค่ารักษา ชาวประชานับถือทั้งแผ่นดิน พวกมันดีแต่เก็บค่าคุ้มครอง เปิดบ่อนส่งส่วยให้ทางการ ไม่ก็ดีแต่เป็นนักพรตคอยสวดมนต์เรี่ยรายเงินทองจากชาวบ้าน ยังมีหน้ามาเรียกพวกเราว่าพรรคมาร...ชิ”

        “ข้าว่า พวกมันเพียงอาศัยแซ่เล่าเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เท่านั้น อย่างโฮจิ๋น แต่เดิมมันเป็นเพียงเจ้าสำนักเปาเปียว คุ้มกันสินค้าแถบลั่วหยาง มันอาศัยชายกระโปรงน้องสาวที่เป็นฮองเฮาเลื่อนฐานะเป็นขุนนาง และพยายามวิ่งเต้นพรรคใหญ่น้อย สนับสนุนมันเป็นเจ้ายุทธภพ” เสือขาวสนับสนุนกิเลนม่วง

        “เช่นเดียวกับแซ่อ้วน พวกมันอาศัยตำแหน่งขุนนางของบรรพบุรุษ  ตั้งพรรคจิ้งจอกอุดร คุมสัมปทานการค้าเกลือแถบมณฑลภาคเหนือ โก่งราคาตามใจรีดไถชาวบ้าน” อินทรีย์แดงวิจารณ์เสริม

        “ส่วนโจโก๋ อาศัยตำแหน่งไท่เว่ยก่อนเกษียณของมัน สนับสนุนโจโฉลูกชายเข้ารับราชการ ไม่ทราบว่าพวกมันหวังกอบโกยผลประโยชน์อันใด” นางกิเลนม่วงจีบปากเจี้อยแจ้ว

        “ตอนนี้ทั้งแซ่อ้วนและแซ่โจต่างสนับสนุน โฮจิ๋นขึ้นเป็นเจ้ายุทธภพเพื่อต่อต้านเรา...” เตียวก๊กกล่าวเสริม แต่ทันใดนั้นมันรู้สึกถึงรังสีอำมหิต พร้อมประกายกระบี่สีเขียวจางเจ็ดสายแผ่พุ่งเข้ามา!

        เพียงสะกิดปลายเท้า ร่างของมันก็ถอยพ้นรัศมีคมกระบี่ไปร่วมสามวา  ประกายกระบี่ไม่ลดละ จากเจ็ดกลายเป็นยี่สิบเอ็ดสาย จี้ใส่จุดตายทั้งศีรษะและลำตัวของเตียวก๊กทันที!!

        เตียวก๊กความจริงคิดปัดประกายกระบี่ ด้วยลมปราณเพียงห้าส่วนอย่าว่าแต่กระบี่เพียงเล่มเดียว ต่อให้ดาบสันหนาเจ็ดเล่ม ก็ถูกมันสะบั้นเป็นสามส่วนได้ในหนึ่งกระบวนท่า หากแต่ประกายกระบี่สีเขียวจางแฝงไอเย็นยะเยือก ให้ความรู้สึกไม่ธรรมดา มันจึงเปลี่ยนใจ ฝืนสะกิดเท้าอีกครั้ง บนกระเบื้องแผ่นสุดท้ายของหลังคาลอยคว้างไปกลางอากาศ ถอยพ้นรังสีกระบี่ไปอีกครั้งหนึ่ง

        คมกระบี่แปรเปลี่ยนอีกครั้ง กลายเป็นสี่สิบเก้าสายครอบคลุมบนล่าง ซ้ายขวารอบตัวของเตียวก๊ก!
หมดพื้นที่เหยียบยืนเพื่อเปลี่ยนท่าร่างแล้ว หรือครานี้มันมิอาจหลบรังสีกระบี่ชุดนี้ได้ สันหลังเตียวก๊กเย็นวาบ มันถอนใจเอ่ยคำ “กระบี่ที่ดี” ก่อนจะใช้ปลายแขนเสื้อปัดรังสีกระบี่ทั้งสี่สิบแปดสาย!!

                จวบจนกระบวนที่สาม เตียวก๊กจึงสามารถเห็นร่างผู้ที่ลอบจู่โจมมันชัดเจน ที่แท้มันคือมังกรเขียว!!

                 “ลมปราณอันยอดเยี่ยม” มังกรเขียวกัดฟันคำราม เมื่อพบว่ารังสีกระบี่ที่คมกล้าของมัน ถูกทำลายได้ในกระบวนท่าเดียว มันสะบัดข้อมือซ้ายครึ่งรอบ รังสีกระบี่สายสุดท้าย พลันแตกออกคล้ายดอกไม้ไฟ ส่งประกายกระบี่แปดสิบเอ็ดสายพุ่งใส่เตียวก๊กอีกครา !!!
            
                  “จบกัน” เตียวก๊กคำนึง เมื่อรู้สึกว่าปลายกระบี่ห่างอกอีกสองนิ้ว แต่มันรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยียบ เกาะกุมหัวใจจากรังสีกระบี่ที่แผ่พุ่งมา จนมันต้องรวบรวมลมปราณที่เหลือต้านทานคุ้มครองหัวใจ
                  
                   ฉับพลันประกายกระบี่กลับหายไป พร้อมกับสายตาของเตียวก๊ก เหลือบเห็นท่าร่างของอินทรีย์แดงจู่โจมส่วนบนของร่างมังกรเขียว วินาทีเดียวกับกงเล็บของเสือขาวที่พุ่งโจมตีส่วนล่างของผู้ที่กำลังจะแทงกระบี่ใส่มัน

                    มันม้วนกายลงสู่พื้น จังหวะเดียวกับเงาร่างกิเลนม่วงเข้ามาขวางกั้นคุ้มครองมัน จากการต่อสู้ของบุรุษที่เหลือทั้งสาม กิเลนม่วงส่งเสียงไปยังเสือขาวและอินทรีย์แดงว่า “มันไม่ใช่มังกรเขียว มังกรเขียวถนัดขวา ส่วนคนร้ายใช้กระบี่มือซ้าย”

                    ที่แท้ ก่อนจังหวะสุดท้ายที่ปลายกระบี่ของมังกรเขียวตัวปลอม จะสัมผัสหน้าอกเตียวก๊กประมุขพรรคไท่ผิง มันต้องฝืนกระบวนท่าร่าง กลับย้อนมาป้องกันมันจากการจู่โจมของเสือขาว และอินทรีย์แดง

                     มังกรเขียวสะบัดข้อมืออีกครั้ง รังสีกระบี่รูปดอกไม้ไฟสามดอก แตกประกายเป็นดอกละยี่สิบเอ็ดสาย สกัดกั้นการโจมตีทั้งด้านบนและด้านล่างของตัวมัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่