เมื่อช่วงต้นปี 2015 ที่ผ่านมา มีข่าวการต่างประเทศเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมสนใจเป็นพิเศษ นั่นคือข่าว “การคืนดีกันระหว่างสหรัฐอเมริกาและคิวบาหลังจากที่โกรธกันมากว่า 50 ปี” หลายคนอาจเห็นว่าเป็นแค่ข่าวทั่วไปและไม่ได้ให้ความสนใจสักเท่าไร แต่บังเอิญผมเคยได้ยินเรื่องราวความขัดแย้งของ 2 ประเทศนี้มาก่อน ซึ่งมันหวุดหวิดจะเป็น “สงครามโลกครั้งที่ 3” ผมจึงรู้สึกว่าข่าวนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่ายินดีในโลกของเรา
Thirteen Days 13 วัน ปฏิบัติการหายนะโลก เป็นหนังที่เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อ 50 กว่าปีก่อน ในช่วง 14-28 ตุลาคม ค.ศ. 1962 ซึ่งถูกเรียกว่า “วิกฤตการณ์คิวบา” โดยตัวหนังพูดถึงเหตุการณ์ได้ละเอียดมาก เรียกว่าแทบจะเล่าเป็นรายชั่วโมงทีเดียวว่าเกิดอะไรขึ้น และทุกตัวละครผู้เกี่ยวข้อง (ซึ่งมีตัวตนจริงๆ) เป็นอย่างไรบ้างในการตัดสินใจต่อเหตุการณ์ระดับโลกนี้
เรื่องราวโดยย่อๆ คือ เหตุการณ์ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการแข่งกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์(สงครามเย็น) ระหว่างค่ายประเทศเสรีนิยมนำโดย สหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนั้นมีประธานาธิบดีชื่อว่า จอห์น เอฟ. เคนเนดี กับ ค่ายประเทศสังคมนิยมนำโดย สหภาพโซเวียต ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีชื่อว่า นิกิตา ครุสชอฟ
ในตอนนั้นทั้ง 2 ประเทศต่างก็มีนิวเคลียร์กันมากมาย แต่ก็ไม่มีใครกล้ายิง เพราะต่างรู้กันดีว่าสงครามนิวเคลียร์นั้นไม่มีฝ่ายใดที่จะเป็นผู้ชนะ มีแต่จะตายกันทั้งโลก ทั้ง 2 ประเทศจึงใช้สงครามจิตวิทยาเข้าสู้กัน โดยสหรัฐได้ติดตั้งหัวรบไว้ที่ประเทศพันธมิตรที่ใกล้โซเวียตมากนั่นคือ ตุรกี ทางฝ่ายโซเวียตก็โต้กลับด้วยการเริ่มที่จะไปติดตั้งหัวรบที่ ประเทศคิวบา ศัตรูคนสำคัญของสหรัฐในตอนนั้น แต่เมื่อสหรัฐรู้ตัวกลับไม่ยอม จึงเกิดเหตุการณ์ “วิกฤตการณ์คิวบา” ขึ้นมา
แน่นอนว่าพออ่านข้อความด้านบนแล้ว เหมือนผมเอนเอียงไปเชียร์ประเทศใดประเทศหนึ่ง
แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้นแน่นอน เพียงแค่มองแบบตรงๆเท่านั้น ตัวหนังได้เล่าไว้อย่างละเอียด (ในมุมของสหรัฐ) ถึงความลำบากใจของคนที่ต้องตัดสินใจในตอนนั้น ซึ่งก็คือ ประธานาธิบดีเคนเนดี เพราะในเวลานั้นมีแต่คนเชียร์ว่าให้ยิงกันไปเลยโดยเฉพาะพวกนายพลทหารของสหรัฐ ส่วนสายพิราบ (รักสันติ) ก็ไม่มีปากมีเสียงอะไรได้มากนัก และอีกเรื่องที่น่าปวดหัวก็คือทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องมานั่งเดาใจกันในทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าอีกฝ่ายคิดยังไง จะยิงหรือรอให้ฝ่ายตรงข้ามยิงก่อน (ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ทำไมไม่โทรคุยกันไปเลย ศักดิ์ศรีจะเยอะกันทำไม)
สรุปสุดท้ายหนังจบแบบ Happy ending เพราะไม่อย่างนั้นโลกเราก็คงแหลกและไม่มีทุกวันนี้ สำหรับผมสิ่งที่เรียนรู้ได้จากประวัติศาสตร์เรื่องนี้ก็คือ โลกของเราโชคดีมากที่ตอนนั้นผู้นำทั้ง 2 ฝ่าย มีความรับผิดชอบและคิดถึงผลที่จะตามมา จึงได้ถอยกันคนละก้าว เพราะในความเป็นจริงเวลาเกิดสถานการณ์ขัดแย้งเช่นนี้ จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้อารมณ์คอยสนับสนุนอยู่ตลอดเวลาว่าให้ใช้ความรุนแรงเข้าตัดสิน (เพราะตัวเองไม่ใช่คนรับผิดชอบในการตัดสินใจ และไม่คิดถึงผลที่จะตามมา สะใจไว้ก่อน) และหากคนตัดสินใจไม่มีวุฒิภาวะพอ ตัดสินในตามเสียงเชียร์แล้ว ผลสุดท้ายก็มักจะจบไม่สวยสักราย
...... ไม่เชื่อลองหันกลับมาดูเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังเป็นกระแสใน Social network ในทุกวันนี้สิครับ ว่าคนส่วนใหญ่มีปฏิกิริยากันอย่างไร บางเรื่องราว ทั้งที่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงอะไรเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ดูคลิปหรืออ่านบทความผ่านๆ ซึ่งบางทีเป็นเรื่องราวที่ผู้ post ตั้งใจบิดเบือนเพื่อสร้างกระแสอยู่แล้ว แต่คนส่วนใหญ่ (รวมถึงตัวเรา) ก็ยังใช้อารมณ์ความรู้สึก comment(เชียร์) กันไปต่างๆ จนเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่(ที่ไร้สาระ)ไปได้ ...
บางทีความขัดแย้งส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นบนโลกตอนนี้ อาจไม่ได้เกิดจากผู้มีอำนาจปกครองเช่นในอดีตแล้วล่ะครับ แต่มันเกิดจากการไม่ได้ควบคุมด้านมืดในจิตใจของเราทุกคนต่างหาก
ฝากติดตามและติ-ชมด้วยนะครับ
www.facebook.com/rpggroups
http://rpggroups.wix.com/rpggroups
หวุดหวิด “สงครามโลกครั้งที่ 3” : Thirteen Days 13 วัน ปฏิบัติการหายนะโลก
Thirteen Days 13 วัน ปฏิบัติการหายนะโลก เป็นหนังที่เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อ 50 กว่าปีก่อน ในช่วง 14-28 ตุลาคม ค.ศ. 1962 ซึ่งถูกเรียกว่า “วิกฤตการณ์คิวบา” โดยตัวหนังพูดถึงเหตุการณ์ได้ละเอียดมาก เรียกว่าแทบจะเล่าเป็นรายชั่วโมงทีเดียวว่าเกิดอะไรขึ้น และทุกตัวละครผู้เกี่ยวข้อง (ซึ่งมีตัวตนจริงๆ) เป็นอย่างไรบ้างในการตัดสินใจต่อเหตุการณ์ระดับโลกนี้
เรื่องราวโดยย่อๆ คือ เหตุการณ์ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการแข่งกันสะสมอาวุธนิวเคลียร์(สงครามเย็น) ระหว่างค่ายประเทศเสรีนิยมนำโดย สหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนนั้นมีประธานาธิบดีชื่อว่า จอห์น เอฟ. เคนเนดี กับ ค่ายประเทศสังคมนิยมนำโดย สหภาพโซเวียต ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีชื่อว่า นิกิตา ครุสชอฟ
ในตอนนั้นทั้ง 2 ประเทศต่างก็มีนิวเคลียร์กันมากมาย แต่ก็ไม่มีใครกล้ายิง เพราะต่างรู้กันดีว่าสงครามนิวเคลียร์นั้นไม่มีฝ่ายใดที่จะเป็นผู้ชนะ มีแต่จะตายกันทั้งโลก ทั้ง 2 ประเทศจึงใช้สงครามจิตวิทยาเข้าสู้กัน โดยสหรัฐได้ติดตั้งหัวรบไว้ที่ประเทศพันธมิตรที่ใกล้โซเวียตมากนั่นคือ ตุรกี ทางฝ่ายโซเวียตก็โต้กลับด้วยการเริ่มที่จะไปติดตั้งหัวรบที่ ประเทศคิวบา ศัตรูคนสำคัญของสหรัฐในตอนนั้น แต่เมื่อสหรัฐรู้ตัวกลับไม่ยอม จึงเกิดเหตุการณ์ “วิกฤตการณ์คิวบา” ขึ้นมา
แน่นอนว่าพออ่านข้อความด้านบนแล้ว เหมือนผมเอนเอียงไปเชียร์ประเทศใดประเทศหนึ่ง
แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้นแน่นอน เพียงแค่มองแบบตรงๆเท่านั้น ตัวหนังได้เล่าไว้อย่างละเอียด (ในมุมของสหรัฐ) ถึงความลำบากใจของคนที่ต้องตัดสินใจในตอนนั้น ซึ่งก็คือ ประธานาธิบดีเคนเนดี เพราะในเวลานั้นมีแต่คนเชียร์ว่าให้ยิงกันไปเลยโดยเฉพาะพวกนายพลทหารของสหรัฐ ส่วนสายพิราบ (รักสันติ) ก็ไม่มีปากมีเสียงอะไรได้มากนัก และอีกเรื่องที่น่าปวดหัวก็คือทั้ง 2 ฝ่ายต่างต้องมานั่งเดาใจกันในทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าอีกฝ่ายคิดยังไง จะยิงหรือรอให้ฝ่ายตรงข้ามยิงก่อน (ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่า ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ทำไมไม่โทรคุยกันไปเลย ศักดิ์ศรีจะเยอะกันทำไม)
สรุปสุดท้ายหนังจบแบบ Happy ending เพราะไม่อย่างนั้นโลกเราก็คงแหลกและไม่มีทุกวันนี้ สำหรับผมสิ่งที่เรียนรู้ได้จากประวัติศาสตร์เรื่องนี้ก็คือ โลกของเราโชคดีมากที่ตอนนั้นผู้นำทั้ง 2 ฝ่าย มีความรับผิดชอบและคิดถึงผลที่จะตามมา จึงได้ถอยกันคนละก้าว เพราะในความเป็นจริงเวลาเกิดสถานการณ์ขัดแย้งเช่นนี้ จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้อารมณ์คอยสนับสนุนอยู่ตลอดเวลาว่าให้ใช้ความรุนแรงเข้าตัดสิน (เพราะตัวเองไม่ใช่คนรับผิดชอบในการตัดสินใจ และไม่คิดถึงผลที่จะตามมา สะใจไว้ก่อน) และหากคนตัดสินใจไม่มีวุฒิภาวะพอ ตัดสินในตามเสียงเชียร์แล้ว ผลสุดท้ายก็มักจะจบไม่สวยสักราย
...... ไม่เชื่อลองหันกลับมาดูเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังเป็นกระแสใน Social network ในทุกวันนี้สิครับ ว่าคนส่วนใหญ่มีปฏิกิริยากันอย่างไร บางเรื่องราว ทั้งที่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงอะไรเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ดูคลิปหรืออ่านบทความผ่านๆ ซึ่งบางทีเป็นเรื่องราวที่ผู้ post ตั้งใจบิดเบือนเพื่อสร้างกระแสอยู่แล้ว แต่คนส่วนใหญ่ (รวมถึงตัวเรา) ก็ยังใช้อารมณ์ความรู้สึก comment(เชียร์) กันไปต่างๆ จนเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่(ที่ไร้สาระ)ไปได้ ... บางทีความขัดแย้งส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นบนโลกตอนนี้ อาจไม่ได้เกิดจากผู้มีอำนาจปกครองเช่นในอดีตแล้วล่ะครับ แต่มันเกิดจากการไม่ได้ควบคุมด้านมืดในจิตใจของเราทุกคนต่างหาก
ฝากติดตามและติ-ชมด้วยนะครับ
www.facebook.com/rpggroups
http://rpggroups.wix.com/rpggroups