สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
จะเล่าประสบการณ์อันเจ็บปวดให้ฟัง
เมื่อวัยรุ่น (ตอนนั้นอยู่ต่างแดน) เรากินเจตามหลักวิชา macrobiotics คือกินอาหารธรรมชาติจืดๆแบบอาหารญี่ปุ่น เพราะแค่ต้องการหลีกเลี่ยงสารเคมี แล้วมันใช้รักษาโรคทำให้สุขภาพดีขึ้นได้จริงๆด้วย ไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ใช่เพราะสงสารสัตว์ ไม่ใช่เพราะอยากได้บุญ ตอนนั้นกินๆไปก็คบกับชาวญี่ปุ่นและฝรั่งที่กินแบบนี้และคิดแนวนี้ (ไม่ใช่กินเพราะสงสารสัตว์หรือกินตามหลักศาสนาหรือเพราะอยากได้บุญ)
ต่อมาเราไปคบกับคนไทยที่นับถือเจ้าแม่กวนอิม แล้วกินเจเพราะสงสารสัตว์ และอยากได้บุญ แล้วเชื่อว่ากินเจแล้วจะร่ำรวย กินเนื้อสัตว์แล้วจะยากจนประสบเคราะห์กรรม...แล้วพวกเขาเอาหนังสือกฎแห่งกรรมมาให้เราอ่าน อ่านๆไปเจอแต่เรื่องสยองขวัญว่ากรรมตามมาสนอง (เล่มนั้นเป็นคนไทยเขียน) แล้วพวกเขาก็เอาหนังสืออีกเล่มมาให้เราอ่าน ซึ่งมันเขียนโดยชาวจีนไต้หวัน (แปลจากจีนเป็นไทย) เล่าให้ฟังเรื่องนับถือเจ้าแม่กวนอิมกินเจแล้วรวย พอกินเนื้อวัวก็ยากจน ประสบเคราะห์กรรมเกือบตาย แล้วกลับมากินเจอีกก็รวยอีก กินเนื้อวัวอีกก็จนอีก กินเจอีกก็รวยอีก ปลาบๆๆๆๆ
^
ประสบการณ์กินเจแบบสงสารสัตว์ และหวังได้บุญ หวังร่ำรวย และเชื่อเรื่องวิญญาณสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตที่เราฆ่าจะตามมาทวงชีวิต ทำลายชีวิตเราจนย่อยยับ! เพราะพออ่านหนังสือกฎแห่งกรรม จิตไต้สำนึกเรามีแต่กลัวว่าเจ้ากรรมนายเวรจะตามมาทวงเอาชีวิตคืน จะมาทำให้เราประสบเคราะห์กรรม ตอนเราออกเจไปกินเนื้อวัวเพื่อสังสรรค์กับเพื่อนฝูง เราจะประสบเคราะห์กรรมต่างๆ เช่น ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน โดนโจรปล้นกลางดึก ค้าขายล้มละลาย โดนฟ้องศาล ฯลฯ
^
ด้วยความอยากรู้เราจึงพยายามฝืนกินเนื้อวัวเข้าไปเรื่อยๆ แล้วเคราะห์กรรมก็หนักขึ้นเรื่อยๆ จนเราแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ยากจนมากๆจนถึงขั้นล้มละลาย
ต่อมาเราอ่านหนังสือ The Secret ของ Rhona Byrne แล้วเรียนรู้เรื่อง the law of attraction (กฎแห่งแรงดึงดูด) เราจึงเริ่มที่จะเข้าใจว่าเคราะห์กรรมของเราไม่ได้เกิดจากการกินเนื้อวัวและไม่ได้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม หากแต่เกิดจากการที่เราเชื่อว่ากินเนื้อวัวแล้วจะต้องมีอันเป็นไป และเชื่อว่าการทำลายชีวิตสัตว์จะมีเจ้ากรรมนายเวรตามมาเล่นงานเราให้เราประสบเคราะห์กรรมหรือประสบภัยจนถึงตาย
^
เราจีงทำตัดสินใจอะไรที่กล้าบ้าบิ่นมากๆ นั่นก็คือ ฝึกกินเนื้อวัวใหม่ (เราชอบเนื้อวัวติดมันมากๆ555555) แล้วตั้งจิตให้สงบ เพ่งกระแสจิตคิดว่าการกินเนื้อวัวต้องทำให้เราประสบโชคลาภและสิ่งที่ดีงาม
^
มันเป็นกระบวนการที่ท้าทายมากๆ เพราะเราจะกินเนื้อวัวมากเป็นพิเศษ (กินเนื้อวัวทุกวัน) ในช่วงเทศกาลกินเจเมื่อชาวบ้านเชื่อว่าเง็กเซียนฮ่องเต้จะมาโปรดคนกินเจ ผลก็คือ เราเจอของแข็งแค่เบาะๆ เช่นคอมพิวเตอร์พัง โทรศัพท์พัง หรืออุปกรณ์อะไรบางอย่างพัง แต่ก็ไม่ถึงกับเดือดร้อนมากเหมือนเมื่อในอดีต...ตอนนี้เราเริ่มที่จะมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้วว่าเราน่าจะใช้ความรู้เรื่อง "กฎแห่งแรงดึงดูด" เพื่อสลายอาถรรพ์ของการกินเนื้อวัวได้
^
เราจึงคิดขึ้นมาได้ว่าเรายังมีความคิดในเชิงลบอยู่ พลังจิตเรายังไม่มากพอ ต่อมาเราจึงเพ่งกระแสจิตให้แรงกว่าเดิมโดยกล่อมจิตเราให้เชื่อว่าการกินเนื้อวัวและเนื้อสัตว์ต่างๆต้องทำให้เราประสบความสำเร็จร่ำรวยมหาศาลเหมือนมหาเศรษฐีฝรั่งที่กินเนื้อสัตว์ได้ ผลก็คือเรากลายเป็นกินเนื้อวัวและเนื้อสัตว์อื่นๆได้สบายๆ โดยไม่มีใชคร้ายใดๆเข้ามาเยือนอีกต่อไป
เราใช้กฎแห่งแรงดึงดูดสลายอาถรรพ์ของการกินเนื้อวัวได้สำเร็จในที่สุด!
และสิ่งที่มหัศจรรย์ที่เป็น paradox มากๆ ที่เพื่อนๆเราที่เชื่อว่ากินเจแล้วจะรวย ไม่ยอมเชื่อ นั่นก็คือว่า ในช่วงที่เราสลายอาถรรพ์ของการกินเนื้อวัวได้ เราบ้าอยากนมใหญ่เราเลยกินเนื้อสัตว์ติดไขมันเข้าไปอย่างต่อเนื่องเยอะมากๆ แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ นมเราใหญ่ขึ้นมา แต่พุงเราก็ใหญ่ตามขึ้นมาด้วย5555555 ตอนนี้เราพยายามออกกำลังมากๆเพื่อ burn ไขมันออกไป หน้าท้องยุบไปพอสมควรนะ แต่นมไม่ยุบ...ดีใจดีใจ...เย้ เย้ เย้...อิๆๆ...และที่เราท้าให้เพื่อนที่เชื่อว่ากินเจแล้วรวยดูก็คือ เราทักเพื่อนเราว่าผิวเธอน่ะแห้งและเหี่ยวมากๆดูแก่เร็วเกินกว่าวัยเมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ (เพราะขาดไขมันสัตว์นั่นเอง!) แต่ผิวพรรณเรากลับกระชับเต่งตึงไม่มีรอยเหี่ยวย่น (เมื่อตอนกินเจเคยผิวแห้งแตก) มีน้ำมีนวลก็เพราะไขมันสัตว์ที่กินเข้าไปนี่แหละ! (แต่กินไขมันสัตว์ตอนอายุมากๆแล้วต้องรู้วิธี burn มันนะ ม่ายงั้นเส้นเลือดตีบตันตายแน่ๆ) แล้วก็ท้าพิสูจน์กับเพื่อนเราด้วยว่าหลังจากเรากินเนื้อวัวได้แล้วเรากลายเป็นหาเงินได้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันก็เป็นจริงตามที่เราเชื่อแล้วทำได้จริงๆ
สรุปแล้วคุณจะโชคชะตาเป็นยังไง จิตคุณนั่นแหละดึงดูดมันมา
คิดในเชิงบวกคุณก็โชคดี
คิดในเชิงลบคุณก็โชคร้าย
คิดว่ากินเจแล้วจะรวยจะได้บุญ วันไหนไม่กินเจ จิตคุณก็วิตกจริต "คิดว่าทำบาป" คุณก็ประสบเคราะห์กรรม เพราะคุณคิดในเชิงลบ!
ทำอย่างที่ George Ohsawa (ชาวญี่ปุ่นผู้เผยแพร่ macrobiotics ทั่วโลก) สอนดีกว่า เขาสอนว่า
A free man can eat anything.
มนุษย์ผู้เป็นอิสระแล้วจะกินอะไรก็ย่อมได้
ยกตัวอย่างเช่นเรากินเนื้อสัตว์ติดมัน แต่เรารู้วิธีออกกำลัง ฝึกเดินลมปราณ ละลายไขมันไปใช้ประโยชน์จนผิวพรรณเราชุ่มฉ่ำมีน้ำมีนวลเพราะเนื้อสัตว์ แต่คนที่ไม่รู้วิธี burn ไขมัน ถ้ากินแบบเราเขาก็ตายเอาได้ง่ายๆ
เหมือนที่สุภาษิตฝรั่งกล่าวไว้ว่า
One man's meat is another man's poison.
อะไรบางอย่างมันดีสำหรับคนๆหนึ่งแต่มันเลวร้ายสำหรับคนอีกคนหนึ่ง
^
รู้สึกว่ามันจะใกล้เคียงกันสุภาษิตไทยที่ว่า "ลางเนื้อชอบลางยา" ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า
สรุปแล้วตอนนี้เรากลายเป็นมนุษย์ผู้เป็นอิสระแล้ว จะกินอะไรเราก็กินได้ และโชคชะตาของเราก็ไม่ได้เลวร้ายลงเพราะเราเลิกกินเจแต่อย่างใด แต่กลับดีขึ้นเรื่อยๆ
^
นี่คือคำบอกเล่าจากเราผู้เคยกินเจมานานกว่า 10 ปี โดยทั้งกินเพื่อสุขภาพและกินเพราะสงสารสัตว์เพราะไม่อยากทำบาป แต่อยู่ดีๆเรากลับกลายเป็นค้นพบความลับที่เป็น paradox ว่า "เนื้อสัตว์ก็ให้ประโยชน์แก่ร่างกายได้ (ไขมันสัตว์ทำให้ผิวพรรณชุ่มฉ่ำกระชับมีน้ำมีนวลปราศจากริ้วรอยเหี่ยวย่น)" เราก็เลยกินอาหารธรรมชาติตามหลักวิชา macrobiotics เหมือนเดิม นั่นก็คือคือกินพวกข้าวกล้อง organic หรือ whole grains (ธัญพืชที่ไม่ได้ขัดขาว (ไม่เอารำออก)) แบบ organic กับผัก organic...ใช้เครื่องปรุงธรรมชาติ...ปลอดน้ำตาลฟอกสี ปลอดชูรส ปลอดสารปรุงแต่งหรือสารกันบูด...แล้วก็กินผลิตภัณฑ์จากสัตว์ต่างๆอย่างอื่นเพื่มเติม (เพื่อออกเจ) อย่างเช่นพวกปลาหรือสัตว์ทะเลที่จับจากทะเลจริงๆไม่ใช่ที่คนเลี้ยง แล้วก็กินเนื้อสัตว์อื่นๆด้วย ซึ่งถ้ากินเนื้อหมูกับเนื้อไก่กับไข่ไก่ เราพอจะเลือกผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษยี่ห้อ S Pure (หรือยี่ห้ออื่นๆ) ได้ (ซึ่งเขารับประกันว่าหมูกับไก่เลี้ยงโดยปราศจากการใช้ antibiotics (ยาปฏิชีวนะ) กับ growth hormones (ฮอร์โมนเร่งโต)) แต่เผอิญเราชอบกินเนื้อวัวมากเป็นชีวิตจิตใจ และถึงหาเนื้อวัวปลอดสารพิษไม่ได้เราก็ทำใจกล้าๆกินมันเข้าไป...อร่อยดี555...อ้อเราเริ่มกินผลิตภัณฑ์นมเนยอีกด้วย (เพราะต้องการให้นมตัวเองใหญ่ขึ้น555)...ซึ่งเมื่อสมัยกินเจเราไม่เคยกินมันเลย
เมื่อวัยรุ่น (ตอนนั้นอยู่ต่างแดน) เรากินเจตามหลักวิชา macrobiotics คือกินอาหารธรรมชาติจืดๆแบบอาหารญี่ปุ่น เพราะแค่ต้องการหลีกเลี่ยงสารเคมี แล้วมันใช้รักษาโรคทำให้สุขภาพดีขึ้นได้จริงๆด้วย ไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ใช่เพราะสงสารสัตว์ ไม่ใช่เพราะอยากได้บุญ ตอนนั้นกินๆไปก็คบกับชาวญี่ปุ่นและฝรั่งที่กินแบบนี้และคิดแนวนี้ (ไม่ใช่กินเพราะสงสารสัตว์หรือกินตามหลักศาสนาหรือเพราะอยากได้บุญ)
ต่อมาเราไปคบกับคนไทยที่นับถือเจ้าแม่กวนอิม แล้วกินเจเพราะสงสารสัตว์ และอยากได้บุญ แล้วเชื่อว่ากินเจแล้วจะร่ำรวย กินเนื้อสัตว์แล้วจะยากจนประสบเคราะห์กรรม...แล้วพวกเขาเอาหนังสือกฎแห่งกรรมมาให้เราอ่าน อ่านๆไปเจอแต่เรื่องสยองขวัญว่ากรรมตามมาสนอง (เล่มนั้นเป็นคนไทยเขียน) แล้วพวกเขาก็เอาหนังสืออีกเล่มมาให้เราอ่าน ซึ่งมันเขียนโดยชาวจีนไต้หวัน (แปลจากจีนเป็นไทย) เล่าให้ฟังเรื่องนับถือเจ้าแม่กวนอิมกินเจแล้วรวย พอกินเนื้อวัวก็ยากจน ประสบเคราะห์กรรมเกือบตาย แล้วกลับมากินเจอีกก็รวยอีก กินเนื้อวัวอีกก็จนอีก กินเจอีกก็รวยอีก ปลาบๆๆๆๆ
^
ประสบการณ์กินเจแบบสงสารสัตว์ และหวังได้บุญ หวังร่ำรวย และเชื่อเรื่องวิญญาณสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตที่เราฆ่าจะตามมาทวงชีวิต ทำลายชีวิตเราจนย่อยยับ! เพราะพออ่านหนังสือกฎแห่งกรรม จิตไต้สำนึกเรามีแต่กลัวว่าเจ้ากรรมนายเวรจะตามมาทวงเอาชีวิตคืน จะมาทำให้เราประสบเคราะห์กรรม ตอนเราออกเจไปกินเนื้อวัวเพื่อสังสรรค์กับเพื่อนฝูง เราจะประสบเคราะห์กรรมต่างๆ เช่น ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน โดนโจรปล้นกลางดึก ค้าขายล้มละลาย โดนฟ้องศาล ฯลฯ
^
ด้วยความอยากรู้เราจึงพยายามฝืนกินเนื้อวัวเข้าไปเรื่อยๆ แล้วเคราะห์กรรมก็หนักขึ้นเรื่อยๆ จนเราแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ยากจนมากๆจนถึงขั้นล้มละลาย
ต่อมาเราอ่านหนังสือ The Secret ของ Rhona Byrne แล้วเรียนรู้เรื่อง the law of attraction (กฎแห่งแรงดึงดูด) เราจึงเริ่มที่จะเข้าใจว่าเคราะห์กรรมของเราไม่ได้เกิดจากการกินเนื้อวัวและไม่ได้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม หากแต่เกิดจากการที่เราเชื่อว่ากินเนื้อวัวแล้วจะต้องมีอันเป็นไป และเชื่อว่าการทำลายชีวิตสัตว์จะมีเจ้ากรรมนายเวรตามมาเล่นงานเราให้เราประสบเคราะห์กรรมหรือประสบภัยจนถึงตาย
^
เราจีงทำตัดสินใจอะไรที่กล้าบ้าบิ่นมากๆ นั่นก็คือ ฝึกกินเนื้อวัวใหม่ (เราชอบเนื้อวัวติดมันมากๆ555555) แล้วตั้งจิตให้สงบ เพ่งกระแสจิตคิดว่าการกินเนื้อวัวต้องทำให้เราประสบโชคลาภและสิ่งที่ดีงาม
^
มันเป็นกระบวนการที่ท้าทายมากๆ เพราะเราจะกินเนื้อวัวมากเป็นพิเศษ (กินเนื้อวัวทุกวัน) ในช่วงเทศกาลกินเจเมื่อชาวบ้านเชื่อว่าเง็กเซียนฮ่องเต้จะมาโปรดคนกินเจ ผลก็คือ เราเจอของแข็งแค่เบาะๆ เช่นคอมพิวเตอร์พัง โทรศัพท์พัง หรืออุปกรณ์อะไรบางอย่างพัง แต่ก็ไม่ถึงกับเดือดร้อนมากเหมือนเมื่อในอดีต...ตอนนี้เราเริ่มที่จะมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้วว่าเราน่าจะใช้ความรู้เรื่อง "กฎแห่งแรงดึงดูด" เพื่อสลายอาถรรพ์ของการกินเนื้อวัวได้
^
เราจึงคิดขึ้นมาได้ว่าเรายังมีความคิดในเชิงลบอยู่ พลังจิตเรายังไม่มากพอ ต่อมาเราจึงเพ่งกระแสจิตให้แรงกว่าเดิมโดยกล่อมจิตเราให้เชื่อว่าการกินเนื้อวัวและเนื้อสัตว์ต่างๆต้องทำให้เราประสบความสำเร็จร่ำรวยมหาศาลเหมือนมหาเศรษฐีฝรั่งที่กินเนื้อสัตว์ได้ ผลก็คือเรากลายเป็นกินเนื้อวัวและเนื้อสัตว์อื่นๆได้สบายๆ โดยไม่มีใชคร้ายใดๆเข้ามาเยือนอีกต่อไป
เราใช้กฎแห่งแรงดึงดูดสลายอาถรรพ์ของการกินเนื้อวัวได้สำเร็จในที่สุด!
และสิ่งที่มหัศจรรย์ที่เป็น paradox มากๆ ที่เพื่อนๆเราที่เชื่อว่ากินเจแล้วจะรวย ไม่ยอมเชื่อ นั่นก็คือว่า ในช่วงที่เราสลายอาถรรพ์ของการกินเนื้อวัวได้ เราบ้าอยากนมใหญ่เราเลยกินเนื้อสัตว์ติดไขมันเข้าไปอย่างต่อเนื่องเยอะมากๆ แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ นมเราใหญ่ขึ้นมา แต่พุงเราก็ใหญ่ตามขึ้นมาด้วย5555555 ตอนนี้เราพยายามออกกำลังมากๆเพื่อ burn ไขมันออกไป หน้าท้องยุบไปพอสมควรนะ แต่นมไม่ยุบ...ดีใจดีใจ...เย้ เย้ เย้...อิๆๆ...และที่เราท้าให้เพื่อนที่เชื่อว่ากินเจแล้วรวยดูก็คือ เราทักเพื่อนเราว่าผิวเธอน่ะแห้งและเหี่ยวมากๆดูแก่เร็วเกินกว่าวัยเมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ (เพราะขาดไขมันสัตว์นั่นเอง!) แต่ผิวพรรณเรากลับกระชับเต่งตึงไม่มีรอยเหี่ยวย่น (เมื่อตอนกินเจเคยผิวแห้งแตก) มีน้ำมีนวลก็เพราะไขมันสัตว์ที่กินเข้าไปนี่แหละ! (แต่กินไขมันสัตว์ตอนอายุมากๆแล้วต้องรู้วิธี burn มันนะ ม่ายงั้นเส้นเลือดตีบตันตายแน่ๆ) แล้วก็ท้าพิสูจน์กับเพื่อนเราด้วยว่าหลังจากเรากินเนื้อวัวได้แล้วเรากลายเป็นหาเงินได้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันก็เป็นจริงตามที่เราเชื่อแล้วทำได้จริงๆ
สรุปแล้วคุณจะโชคชะตาเป็นยังไง จิตคุณนั่นแหละดึงดูดมันมา
คิดในเชิงบวกคุณก็โชคดี
คิดในเชิงลบคุณก็โชคร้าย
คิดว่ากินเจแล้วจะรวยจะได้บุญ วันไหนไม่กินเจ จิตคุณก็วิตกจริต "คิดว่าทำบาป" คุณก็ประสบเคราะห์กรรม เพราะคุณคิดในเชิงลบ!
ทำอย่างที่ George Ohsawa (ชาวญี่ปุ่นผู้เผยแพร่ macrobiotics ทั่วโลก) สอนดีกว่า เขาสอนว่า
A free man can eat anything.
มนุษย์ผู้เป็นอิสระแล้วจะกินอะไรก็ย่อมได้
ยกตัวอย่างเช่นเรากินเนื้อสัตว์ติดมัน แต่เรารู้วิธีออกกำลัง ฝึกเดินลมปราณ ละลายไขมันไปใช้ประโยชน์จนผิวพรรณเราชุ่มฉ่ำมีน้ำมีนวลเพราะเนื้อสัตว์ แต่คนที่ไม่รู้วิธี burn ไขมัน ถ้ากินแบบเราเขาก็ตายเอาได้ง่ายๆ
เหมือนที่สุภาษิตฝรั่งกล่าวไว้ว่า
One man's meat is another man's poison.
อะไรบางอย่างมันดีสำหรับคนๆหนึ่งแต่มันเลวร้ายสำหรับคนอีกคนหนึ่ง
^
รู้สึกว่ามันจะใกล้เคียงกันสุภาษิตไทยที่ว่า "ลางเนื้อชอบลางยา" ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า
สรุปแล้วตอนนี้เรากลายเป็นมนุษย์ผู้เป็นอิสระแล้ว จะกินอะไรเราก็กินได้ และโชคชะตาของเราก็ไม่ได้เลวร้ายลงเพราะเราเลิกกินเจแต่อย่างใด แต่กลับดีขึ้นเรื่อยๆ
^
นี่คือคำบอกเล่าจากเราผู้เคยกินเจมานานกว่า 10 ปี โดยทั้งกินเพื่อสุขภาพและกินเพราะสงสารสัตว์เพราะไม่อยากทำบาป แต่อยู่ดีๆเรากลับกลายเป็นค้นพบความลับที่เป็น paradox ว่า "เนื้อสัตว์ก็ให้ประโยชน์แก่ร่างกายได้ (ไขมันสัตว์ทำให้ผิวพรรณชุ่มฉ่ำกระชับมีน้ำมีนวลปราศจากริ้วรอยเหี่ยวย่น)" เราก็เลยกินอาหารธรรมชาติตามหลักวิชา macrobiotics เหมือนเดิม นั่นก็คือคือกินพวกข้าวกล้อง organic หรือ whole grains (ธัญพืชที่ไม่ได้ขัดขาว (ไม่เอารำออก)) แบบ organic กับผัก organic...ใช้เครื่องปรุงธรรมชาติ...ปลอดน้ำตาลฟอกสี ปลอดชูรส ปลอดสารปรุงแต่งหรือสารกันบูด...แล้วก็กินผลิตภัณฑ์จากสัตว์ต่างๆอย่างอื่นเพื่มเติม (เพื่อออกเจ) อย่างเช่นพวกปลาหรือสัตว์ทะเลที่จับจากทะเลจริงๆไม่ใช่ที่คนเลี้ยง แล้วก็กินเนื้อสัตว์อื่นๆด้วย ซึ่งถ้ากินเนื้อหมูกับเนื้อไก่กับไข่ไก่ เราพอจะเลือกผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษยี่ห้อ S Pure (หรือยี่ห้ออื่นๆ) ได้ (ซึ่งเขารับประกันว่าหมูกับไก่เลี้ยงโดยปราศจากการใช้ antibiotics (ยาปฏิชีวนะ) กับ growth hormones (ฮอร์โมนเร่งโต)) แต่เผอิญเราชอบกินเนื้อวัวมากเป็นชีวิตจิตใจ และถึงหาเนื้อวัวปลอดสารพิษไม่ได้เราก็ทำใจกล้าๆกินมันเข้าไป...อร่อยดี555...อ้อเราเริ่มกินผลิตภัณฑ์นมเนยอีกด้วย (เพราะต้องการให้นมตัวเองใหญ่ขึ้น555)...ซึ่งเมื่อสมัยกินเจเราไม่เคยกินมันเลย
แสดงความคิดเห็น
กินมังสวิรัติดีกับสุขภาพ แล้วชีวิตเปลี่ยนจริงๆ หรือ?
เลยอยากรู้ว่าใครที่กินอาหารวีแกน แล้วชีวิตบ้าง ช่วยมาแชร์ประสบการณ์ และให้ความรู้หน่อยค่ะ เพราะเราสนใจอยากเปลี่ยนไปกินมังสวิรัติบ้างเหมือนกัน แต่ก็ยังตัดเนื้อสัตว์ไม่ได้สักที T.T