ลองอ่านเองคิดเองละกันนะครับ
คำชี้แจง
เรื่อง การถือครองที่ดินของพระราชภาวนาวิสุทธิ์
กรณีการถือครองที่ดินของพระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัด พระธรรมกาย
ที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในปัจจุบัน คณะทำงานจัดการที่ดินขอเรียนชี้แจงถึงที่มาและความเป็นไปของเรื่องราวกรณีที่ดินดังกล่าว
ดังนี้
๑. ที่ดินที่อยู่ในความถือครองของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) มีทั้งสิ้น ๑๖ จังหวัด ๑๗ แห่ง
เนื้อที่ประมาณ ๑,๗๔๙ ไร่
๒. ที่ดินดังกล่าวทั้งหมดญาติโยมผู้บริจาคได้โอนถวาย หรือซื้อถวายแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นการส่วนตัว
เพราะมีความเคารพเลื่อมใสในปฏิปทาของท่าน มิใช่เป็นการเอาที่ดินของวัดมาเป็นของ ส่วนตัว
หรือนำเงินบริจาคของวัดมาซื้อที่ดินดังที่เป็นข่าว หรือมีการกล่าวหาพยายามให้เป็นแต่อย่างใด
๓. แม้ญาติโยมจะถวายที่ดินดังกล่าวแก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็นการส่วนตัว
แต่ท่านเองก็ มิได้มีวัตถุประสงค์จะนำที่ดินดังกล่าวไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวแต่อย่างใด
หากตั้งใจจะนำมาทำ ประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา
เมื่อมีทุนและบุคลากรพร้อมก็จะได้พัฒนาจัดสร้างเป็นวัด ธุดงคสถาน สถานที่ ปฏิบัติธรรม สถาบันการศึกษาของสงฆ์
ตามความเหมาะสมของพื้นที่แต่ละแห่ง และโอนกรรมสิทธิ์ให้วัด มูลนิธิ
หรือนิติบุคคลทางการศึกษาที่จะได้จัดตั้งขึ้นมาใหม่ต่อไป
ที่ดินส่วนใหญ่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ท่านยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไปว่าเป็นอย่างไร
และขณะนี้ท่านก็ มอบอำนาจสิทธิ์ขาดในการจัดการกับที่ดินดังกล่าวทั้งหมด ให้กับคณะทำงานจัดการที่ดินเพื่อดำเนินการ
๔. จากการที่มีการนำเสนอทางสื่อมวลชนบางฉบับ มีเนื้อความในทำนองทำให้ประชาชนเข้าใจผิด
คิดว่าพระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้ยักยอกเอาที่ดินของวัดไป หรือนำเงินบริจาคของวัดไปซื้อที่ดินเหล่านี้
คณะกรรมการวัดพระธรรมกายขอเรียนชี้แจงว่า คำกล่าวหานั้นร้ายแรงและไม่เป็นความจริง
๕. เมื่อเรื่องลุกลามบานปลายมากขึ้น ได้มีผู้ใหญ่ประสานมาขอให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์เสียสละ
โดยบริจาคที่ดินดังกล่าวให้แก่วัดพระธรรมกายเสียเพื่อตัดปัญหา
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ก็ได้ตอบตกลง และ ทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ในการยกที่ดินให้วัด
แต่ขอให้ปรึกษาญาติโยมผู้ถวายที่ดินด้วย และได้ มอบหนังสือแก่อธิบดีกรมศาสนา
นำกราบเรียนเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อทราบ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒
๖. ในวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ก็ได้มอบฉันทะให้กรมการศาสนา
ช่วยดำเนินการโอนที่ดินชุดแรกจำนวน ๑๓๙ ไร่ บริจาคให้แก่วัดพระธรรมกาย
และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่าง ดำเนินการ
แต่ขณะนี้ ผู้บริจาคบางท่านยังไม่ประสงค์จะให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์บริจาคที่ดินดัง กล่าว ให้วัดพระธรรมกาย
เพราะจะทำให้ไม่บรรลุตามเจตนาเดิม
๗. เหตุที่ไม่สามารถโอนที่ดินบริจาคแก่วัดพระธรรมกายทีเดียวหมดทุกแปลงได้ เป็นเพราะ เหตุ ๓ ประการ คือ
ก. ต้องปรึกษาขอความเห็นชอบจากเจ้าภาพที่บริจาคก่อน และที่บางแปลงมีเจ้าภาพหลายราย ร่วมบุญกันซื้อถวายจึงต้องใช้เวลา
เจ้าภาพหลายรายก็ยืนยันในเจตจำนงเดิมของตน ที่ต้องการถวายที่ดิน แก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์
มิได้ต้องการถวายที่ดินแก่วัดพระธรรมกาย เพราะเหตุหลายประการ เช่น
หาก ถวายที่ดินเป็นธรณีสงฆ์แก่วัดพระธรรมกายแล้ว หากต้องการนำที่ดินนั้นไปสร้างวัดใหม่ ก็ไม่สามารถทำได้
เพราะจะกลายเป็นวัดซ้อนวัด ซึ่งพระธรรมวินัยห้ามกระทำ
หรือหากจะนำที่นั้นไปจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ด้านสถาบันการศึกษาก็ไม่สามารถทำได้
ข. มีบางท่านบอกว่า เมื่อที่ดินขณะนี้มีชื่อ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ก็สามารถโอน ได้เลย
ไม่จำเป็นต้องไปถามเจ้าของเดิมผู้บริจาคแต่อย่างใด แต่จริงๆ แล้วเรื่องทางศาสนา เป็นเรื่องของศรัทธา
พระภิกษุมีหน้าที่ประคองรักษาศรัทธาประชาชนด้วย จะอ้างสิทธิ์ตามกฎหมายดำเนินการไปตาม อำเถอใจ
โดยไม่สนใจความคิดเห็นของญาติโยมผู้บริจาคที่ดินมานั้นไม่ได้ เพราะไม่เพียงเป็นการทำลาย ศรัทธา
ยังเป็นการไม่รักษาน้ำใจผู้บริจาค ซึ่งล้วนมีเจตนารมณ์สอดคล้องกัน
ค. นักกฎหมายและญาติโยมหลายท่านได้ท้วงติงมาด้วยความปรารถนาดีว่า
ในการโอนกรรมสิทธิ์ ที่ดินนั้น ขอให้ใช้ความรอบคอบระมัดระวัง และควรทำความเข้าใจข้อกฎหมายให้ดีด้วย
จะมุ่งแต่ ตัดสินปัญหาลดความกดดันกระแสสังคม กระแสสื่อ เพียงประการเดียวไม่ได้
เพราะมีผู้ที่คอยจ้อง จะหาความผิดขุดหลุมพรางไว้ล่อแล้ว เช่น
หากโอนที่ให้วัดโดยประหยัดค่าโอนเพียงแปลงละ ๗๕ บาท อย่างที่มีการออกข่าวตอนแรก
ก็จะตกเข้าในหลุมพรางทันที เพราะการโอนแบบนั้น จะทำได้ในกรณีที่ที่ดิน นั้นเป็นของวัดอยู่แล้ว
เจ้าอาวาสเพียงแต่เป็นผู้ถือครองแทน แล้วต้องการโอนที่ดินคืนให้วัดซึ่งเป็นเจ้าของเดิม
ดังนั้นถ้าพระราชภาวนาวิสุทธิ์โอนแบบนี้ ก็จะถูกกล่าวหาว่ายักยอกที่วัด จึงสมเหตุสมผลกับข้อกล่าวหา ปาราชิก
ที่คนบางกลุ่มพยายามให้เป็น
แต่ถ้าจะโอนโดยวิธีการปกติ ก็ต้องเสียค่าโอนประมาณ ๘ ล้านบาท
ซึ่งเป็นภาระการเงินอันหนัก และก็มีผู้จ้องโจมตีอยู่เช่นเดียวกัน
ดังที่ นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ได้กล่าวโจมตีไว้ชัดเจนในรายการของ #####
เมื่อคืนวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า
ถ้าไม่ใช่ที่ดินของวัด แล้วพระราชภาวนาวิสุทธิ์ จะไปโอนให้วัดทำไม
การโอนที่ดินให้วัดก็เท่ากับยอมรับโดยปริยายว่า ที่ดินนั้นเป็นของวัดแต่ เดิม
จึงถือว่าพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
การกล่าวเช่นนี้ ไม่เป็นธรรมแก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นอย่างยิ่ง
๘. ในสายตาของชาววัดพระธรรมกายต่อเรื่องการถือครองที่ดินของพระราชภาวนาวิสุทธิ์นั้น เห็นว่า
ต่อให้โอนที่ดินทั้งหมดบริจาคแก่วัดพระธรรมกาย เรื่องก็ยังคงไม่จบ จะมีการหาเรื่องอื่นประเด็นอื่นขึ้นมา โจมตีกันต่อไป
ซึ่งหากมีผู้ใดสามารถให้คำรับรองได้ว่า
ถ้าโอนที่ถวายแก่วัดทั้งหมดแล้ว เรื่องจะจบแน่นอน
คณะทำงานจัดการที่ดินก็เชื่อมั่นว่า จะสามารถดำเนินการประสานงานกับญาติโยมผู้บริจาคที่ดินให้ยินยอม
อนุญาตให้โอนกรรมสิทธิ์มอบแก่วัดพระธรรมกายได้โดยเร็ว
เพราะจากที่ได้พูดคุยกับเจ้าภาพหลายท่าน ล้วน มีความเห็นครงกันว่า
แม้การถวายที่ให้วัดจะผิดเจตนาเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ยากลำบาก แก่การนำมาใช้ประโยชน์ตามความตั้งใจ
แต่ถ้าทำให้เรื่องวุ่นวายร้ายแรงต่างๆ จบลงได้เสียที ทุก คนก็ยินดี
แต่ถ้าโอนให้วัดแล้วเรื่องก็ยังไม่จบ มีการหาเรื่องอื่นๆ มาเล่นงานอีกต่อไปเรื่อยๆ ก็ ไม่รู้จะโอนให้วัดไปทำไม
ในฐานะเจ้าของที่ดั้งเดิม จึ
งขอยืนยันเจตนารมณ์เดิมที่ต้องการถวายแก่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์เท่านั้น
คณะกรรมการวัดพระธรรมกายเชื่อมั่นว่า
ข้อกล่าวหาที่มีต่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์ทั้งหมด
เมื่อได้ ดำเนินการสอบสวนและพิจารณาไปตามกระบวนการทางกฎหมายศาลสงฆ์
แม้จะใช้เวลาบ้าง แต่สุดท้าย ความจริงทั้งหมดก็จะปรากฎ
ขอเพียงให้มีการไต่สวนพิจารณาอธิกรณ์ที่มีผู้กล่าวหา
ให้เป็นไปตาม กระบวนการทางกฎหมาย พระราชบัญญัติสงฆ์ กฎมหาเถรสมาคม อย่างโปร่งใส
โดยมีให้มี การใช้อำนาจเถื่อนหรือกระแสใดๆ คุกคาม กดดันกระบวนการยุติธรรม
จึงเจริญพรมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
คณะทำงานจัดการที่ดิน
๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๒
อ่านเอง คิดเองไม่ชี้นำแล้วกันครับ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หลวงพ่อธัมมชโย ท่านผิดข้อหาอะไรเหรอครับสำหรับปัญหาเรื่องที่ดินนี้ แทนที่ฝ่ายที่ไม่ชอบจะมาพิสูจน์ว่าข้อความที่ทางวัดกล่าวมานั้นจริงไม่จริง ซึ่งเป็นต้นเรื่อง กลับไปโจมตีตรงปลายเรื่องเรื่องพระลิขิตสังฆราช ถ้ามันถูกตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วก็จะไปดูปลายเรื่องทำไมเหรอครับ บอกตรงๆโจมตีอีก100ปีก็ไม่ชนะ คุณไปพิสูจน์ต้นเรื่องสิครับว่ามันไม่จริง
ข้อชี้แจงทางฝั่งวัดพระธรรมกายเรื่องปัญหาที่ดินวัด (อยากให้คนเปิดใจอ่านให้จบ)
คำชี้แจง
เรื่อง การถือครองที่ดินของพระราชภาวนาวิสุทธิ์
กรณีการถือครองที่ดินของพระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัด พระธรรมกาย
ที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในปัจจุบัน คณะทำงานจัดการที่ดินขอเรียนชี้แจงถึงที่มาและความเป็นไปของเรื่องราวกรณีที่ดินดังกล่าว
ดังนี้
๑. ที่ดินที่อยู่ในความถือครองของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) มีทั้งสิ้น ๑๖ จังหวัด ๑๗ แห่ง
เนื้อที่ประมาณ ๑,๗๔๙ ไร่
๒. ที่ดินดังกล่าวทั้งหมดญาติโยมผู้บริจาคได้โอนถวาย หรือซื้อถวายแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นการส่วนตัว
เพราะมีความเคารพเลื่อมใสในปฏิปทาของท่าน มิใช่เป็นการเอาที่ดินของวัดมาเป็นของ ส่วนตัว
หรือนำเงินบริจาคของวัดมาซื้อที่ดินดังที่เป็นข่าว หรือมีการกล่าวหาพยายามให้เป็นแต่อย่างใด
๓. แม้ญาติโยมจะถวายที่ดินดังกล่าวแก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็นการส่วนตัว
แต่ท่านเองก็ มิได้มีวัตถุประสงค์จะนำที่ดินดังกล่าวไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวแต่อย่างใด
หากตั้งใจจะนำมาทำ ประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา
เมื่อมีทุนและบุคลากรพร้อมก็จะได้พัฒนาจัดสร้างเป็นวัด ธุดงคสถาน สถานที่ ปฏิบัติธรรม สถาบันการศึกษาของสงฆ์
ตามความเหมาะสมของพื้นที่แต่ละแห่ง และโอนกรรมสิทธิ์ให้วัด มูลนิธิ
หรือนิติบุคคลทางการศึกษาที่จะได้จัดตั้งขึ้นมาใหม่ต่อไป
ที่ดินส่วนใหญ่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ท่านยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไปว่าเป็นอย่างไร
และขณะนี้ท่านก็ มอบอำนาจสิทธิ์ขาดในการจัดการกับที่ดินดังกล่าวทั้งหมด ให้กับคณะทำงานจัดการที่ดินเพื่อดำเนินการ
๔. จากการที่มีการนำเสนอทางสื่อมวลชนบางฉบับ มีเนื้อความในทำนองทำให้ประชาชนเข้าใจผิด
คิดว่าพระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้ยักยอกเอาที่ดินของวัดไป หรือนำเงินบริจาคของวัดไปซื้อที่ดินเหล่านี้
คณะกรรมการวัดพระธรรมกายขอเรียนชี้แจงว่า คำกล่าวหานั้นร้ายแรงและไม่เป็นความจริง
๕. เมื่อเรื่องลุกลามบานปลายมากขึ้น ได้มีผู้ใหญ่ประสานมาขอให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์เสียสละ
โดยบริจาคที่ดินดังกล่าวให้แก่วัดพระธรรมกายเสียเพื่อตัดปัญหา
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ก็ได้ตอบตกลง และ ทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ในการยกที่ดินให้วัด
แต่ขอให้ปรึกษาญาติโยมผู้ถวายที่ดินด้วย และได้ มอบหนังสือแก่อธิบดีกรมศาสนา
นำกราบเรียนเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อทราบ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒
๖. ในวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ก็ได้มอบฉันทะให้กรมการศาสนา
ช่วยดำเนินการโอนที่ดินชุดแรกจำนวน ๑๓๙ ไร่ บริจาคให้แก่วัดพระธรรมกาย
และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่าง ดำเนินการ
แต่ขณะนี้ ผู้บริจาคบางท่านยังไม่ประสงค์จะให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์บริจาคที่ดินดัง กล่าว ให้วัดพระธรรมกาย
เพราะจะทำให้ไม่บรรลุตามเจตนาเดิม
๗. เหตุที่ไม่สามารถโอนที่ดินบริจาคแก่วัดพระธรรมกายทีเดียวหมดทุกแปลงได้ เป็นเพราะ เหตุ ๓ ประการ คือ
ก. ต้องปรึกษาขอความเห็นชอบจากเจ้าภาพที่บริจาคก่อน และที่บางแปลงมีเจ้าภาพหลายราย ร่วมบุญกันซื้อถวายจึงต้องใช้เวลา
เจ้าภาพหลายรายก็ยืนยันในเจตจำนงเดิมของตน ที่ต้องการถวายที่ดิน แก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์
มิได้ต้องการถวายที่ดินแก่วัดพระธรรมกาย เพราะเหตุหลายประการ เช่น
หาก ถวายที่ดินเป็นธรณีสงฆ์แก่วัดพระธรรมกายแล้ว หากต้องการนำที่ดินนั้นไปสร้างวัดใหม่ ก็ไม่สามารถทำได้
เพราะจะกลายเป็นวัดซ้อนวัด ซึ่งพระธรรมวินัยห้ามกระทำ
หรือหากจะนำที่นั้นไปจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ด้านสถาบันการศึกษาก็ไม่สามารถทำได้
ข. มีบางท่านบอกว่า เมื่อที่ดินขณะนี้มีชื่อ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ก็สามารถโอน ได้เลย
ไม่จำเป็นต้องไปถามเจ้าของเดิมผู้บริจาคแต่อย่างใด แต่จริงๆ แล้วเรื่องทางศาสนา เป็นเรื่องของศรัทธา
พระภิกษุมีหน้าที่ประคองรักษาศรัทธาประชาชนด้วย จะอ้างสิทธิ์ตามกฎหมายดำเนินการไปตาม อำเถอใจ
โดยไม่สนใจความคิดเห็นของญาติโยมผู้บริจาคที่ดินมานั้นไม่ได้ เพราะไม่เพียงเป็นการทำลาย ศรัทธา
ยังเป็นการไม่รักษาน้ำใจผู้บริจาค ซึ่งล้วนมีเจตนารมณ์สอดคล้องกัน
ค. นักกฎหมายและญาติโยมหลายท่านได้ท้วงติงมาด้วยความปรารถนาดีว่า
ในการโอนกรรมสิทธิ์ ที่ดินนั้น ขอให้ใช้ความรอบคอบระมัดระวัง และควรทำความเข้าใจข้อกฎหมายให้ดีด้วย
จะมุ่งแต่ ตัดสินปัญหาลดความกดดันกระแสสังคม กระแสสื่อ เพียงประการเดียวไม่ได้
เพราะมีผู้ที่คอยจ้อง จะหาความผิดขุดหลุมพรางไว้ล่อแล้ว เช่น
หากโอนที่ให้วัดโดยประหยัดค่าโอนเพียงแปลงละ ๗๕ บาท อย่างที่มีการออกข่าวตอนแรก
ก็จะตกเข้าในหลุมพรางทันที เพราะการโอนแบบนั้น จะทำได้ในกรณีที่ที่ดิน นั้นเป็นของวัดอยู่แล้ว
เจ้าอาวาสเพียงแต่เป็นผู้ถือครองแทน แล้วต้องการโอนที่ดินคืนให้วัดซึ่งเป็นเจ้าของเดิม
ดังนั้นถ้าพระราชภาวนาวิสุทธิ์โอนแบบนี้ ก็จะถูกกล่าวหาว่ายักยอกที่วัด จึงสมเหตุสมผลกับข้อกล่าวหา ปาราชิก
ที่คนบางกลุ่มพยายามให้เป็น
แต่ถ้าจะโอนโดยวิธีการปกติ ก็ต้องเสียค่าโอนประมาณ ๘ ล้านบาท
ซึ่งเป็นภาระการเงินอันหนัก และก็มีผู้จ้องโจมตีอยู่เช่นเดียวกัน
ดังที่ นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ได้กล่าวโจมตีไว้ชัดเจนในรายการของ #####
เมื่อคืนวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า
ถ้าไม่ใช่ที่ดินของวัด แล้วพระราชภาวนาวิสุทธิ์ จะไปโอนให้วัดทำไม
การโอนที่ดินให้วัดก็เท่ากับยอมรับโดยปริยายว่า ที่ดินนั้นเป็นของวัดแต่ เดิม
จึงถือว่าพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
การกล่าวเช่นนี้ ไม่เป็นธรรมแก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นอย่างยิ่ง
๘. ในสายตาของชาววัดพระธรรมกายต่อเรื่องการถือครองที่ดินของพระราชภาวนาวิสุทธิ์นั้น เห็นว่า
ต่อให้โอนที่ดินทั้งหมดบริจาคแก่วัดพระธรรมกาย เรื่องก็ยังคงไม่จบ จะมีการหาเรื่องอื่นประเด็นอื่นขึ้นมา โจมตีกันต่อไป
ซึ่งหากมีผู้ใดสามารถให้คำรับรองได้ว่า
ถ้าโอนที่ถวายแก่วัดทั้งหมดแล้ว เรื่องจะจบแน่นอน
คณะทำงานจัดการที่ดินก็เชื่อมั่นว่า จะสามารถดำเนินการประสานงานกับญาติโยมผู้บริจาคที่ดินให้ยินยอม
อนุญาตให้โอนกรรมสิทธิ์มอบแก่วัดพระธรรมกายได้โดยเร็ว
เพราะจากที่ได้พูดคุยกับเจ้าภาพหลายท่าน ล้วน มีความเห็นครงกันว่า
แม้การถวายที่ให้วัดจะผิดเจตนาเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ยากลำบาก แก่การนำมาใช้ประโยชน์ตามความตั้งใจ
แต่ถ้าทำให้เรื่องวุ่นวายร้ายแรงต่างๆ จบลงได้เสียที ทุก คนก็ยินดี
แต่ถ้าโอนให้วัดแล้วเรื่องก็ยังไม่จบ มีการหาเรื่องอื่นๆ มาเล่นงานอีกต่อไปเรื่อยๆ ก็ ไม่รู้จะโอนให้วัดไปทำไม
ในฐานะเจ้าของที่ดั้งเดิม จึ
งขอยืนยันเจตนารมณ์เดิมที่ต้องการถวายแก่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์เท่านั้น
คณะกรรมการวัดพระธรรมกายเชื่อมั่นว่า
ข้อกล่าวหาที่มีต่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์ทั้งหมด
เมื่อได้ ดำเนินการสอบสวนและพิจารณาไปตามกระบวนการทางกฎหมายศาลสงฆ์
แม้จะใช้เวลาบ้าง แต่สุดท้าย ความจริงทั้งหมดก็จะปรากฎ
ขอเพียงให้มีการไต่สวนพิจารณาอธิกรณ์ที่มีผู้กล่าวหา
ให้เป็นไปตาม กระบวนการทางกฎหมาย พระราชบัญญัติสงฆ์ กฎมหาเถรสมาคม อย่างโปร่งใส
โดยมีให้มี การใช้อำนาจเถื่อนหรือกระแสใดๆ คุกคาม กดดันกระบวนการยุติธรรม
จึงเจริญพรมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
คณะทำงานจัดการที่ดิน
๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๒
อ่านเอง คิดเองไม่ชี้นำแล้วกันครับ ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หลวงพ่อธัมมชโย ท่านผิดข้อหาอะไรเหรอครับสำหรับปัญหาเรื่องที่ดินนี้ แทนที่ฝ่ายที่ไม่ชอบจะมาพิสูจน์ว่าข้อความที่ทางวัดกล่าวมานั้นจริงไม่จริง ซึ่งเป็นต้นเรื่อง กลับไปโจมตีตรงปลายเรื่องเรื่องพระลิขิตสังฆราช ถ้ามันถูกตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วก็จะไปดูปลายเรื่องทำไมเหรอครับ บอกตรงๆโจมตีอีก100ปีก็ไม่ชนะ คุณไปพิสูจน์ต้นเรื่องสิครับว่ามันไม่จริง