ครั้งแรกกับโทอิก (TOEIC First Date)

รีวิว สอบโทอิกครั้งแรกค่ะ

สืบเนื่องจากจะไปสมัครงาน แล้วเขาต้องการคะแนนโทอิก เลยต้องรีบไปสอบค่ะ...นับเป็นครั้งแรกในชีวิต เลยตั้งใจว่าหากได้คะแนนเป็นที่พึงพอใจจะมา รีวิวในเพื่อนฟัง เผื่อจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้าง

บอกก่อนนะคะ จขกท. ไม่เคยเรียนภาษาแบบกวดวิชาใดๆ จขกท เกิดในสมัยที่ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่เริ่มสอนในชั้น ป.5 ไม่ใช่เรียนตั้งแต่อนุบาลแบบสมัยนี้ แบบเรียนสมัยนั้นเป็น English is fun ยังจำได้บทแรก เป็นศัพท์ bat rat cat

เราเลยเรียนภาษาแบบโบราณ (เด็กสมัยนี้คงเรียกว่ายังงั้น) คือ สนทนาแย่มาก เน้นการท่องคำศัพท์ ตอน ประถมคือ ป5-ป.6 นี่ ท่องศัพท์อย่างเดียว ตอนนั้น หากเขียนศัพท์ pineapple กับ chopsticks ได้ นี่ถือว่า เจ๋งมาก จขกท เรียนโรงเรียนประชาบาลนะคะ รร.วัด เลย พอจบ ประถม ก็ไปเรียน รร.มัธยมในพอขึ้นมัธยม ครูก็จะสอนเป็นแกรมม่าเนอะ คิดว่า คนที่เกิดสมัยเดียวกับ จขกท. คงจะนึกออกเลยแหละ ว่าการเรียนภาษาอังกฤษ สมัยก่อนมันเป็นยังไง

พอเข้ามหาวิทยาลัย วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานมันมีวิชาแบบฟังด้วย แบบเข้า sound lab ฟังจากเทป (เทปนะคะ ไม่ใช่ซีดี) จขกท นี้ นั่งเงียบไปเลย...เรียกว่า listening นี่คือ นิ่งไปเลย นิ่งแบบสนิท...เพราะอะไร จขกท มาวิเคราะห์ภายหลัง คิดว่า เป็นเพราะ พอฟังแล้ว จขกท จะคิดเป็นตัวอักษร แล้วค่อยแปลมาเป็น ภาษาไทย อีกที มันเลยช้าไม่ทันการณ์ เพราะเขาพูดประโยคถัดไปแล้ว ประโยคแรกเรายังแปลไม่เสร็จเลย (เผื่อ จขกท อธิบายแล้ว งง พออธิบายเพิ่มเติมว่า สมมติ หากได้ยินคำว่า “แคท” สมอง จขกท ยังไม่แปลว่า แมว นะคะ แต่ จขกท ได้ยินคำว่า “แคท” ก็จะคิดต่อไปว่า “แคท=cat” แล้วค่อยแปลว่า “cat แปลว่า แมว”)

แต่ไม่ได้หมายความว่า จขกท จะโทษการเรียนการสอนแบบสมัยก่อนนะคะ เพราะเพื่อน จขกท บางคน ก็ communicate ได้เก่งมาก ทั้งที่นั่งเรียนมาด้วยกัน แต่ที่ จขกท ได้มาจากการเรียนแบบนี้ คือ จขกท มี sense เรื่อง grammar มาก บอกไม่ถูกเหมือนกัน อย่างข้อสอบแนว error recognition นี่ จขกท ทำได้ดี ตลอด บางข้อไม่รู้หรอกว่าผิดยังไง รู้แต่ว่า ตรงนี้อ่ะผิดแน่ๆ หรือ อย่างพวกโจทย์เติมคำ แบบที่ต้องเลือกระหว่าง noun adjective adverb จขกท ก็ค่อนข้างไม่มีปัญหา แต่แปลกคือ พอโตแล้ว ศัพท์ไม่ค่อยเก่ง ท่องแล้วจำไม่ค่อยได้เหมือนก่อน อาจเพราะแก่แล้วก็ได้ อย่าง contribute/attribute/tribute เนี่ย ท่องกี่ทีก็จำไม่ได้ ต้องเปิดพจนานุกรมทุกที ... ตอนนี้ จขกท communicate พอได้ค่ะ คุยกะอาจารย์/เพื่อน ฝรั่งพอรู้เรื่อง แต่ก็เมื่อยมือหน่อย

พอรู้ background ของ จขกท กันคร่าวๆ แล้วนะคะ ก็มาที่รีวิว โทอิกกันนะคะ

1. การสมัคร เริ่มจากการโทรไปจองที่นั่งสอบ 022607061 จขกท โทรวันอังคาร ได้สอบวันพฤหัส (ที่จริงวันพุธก็ว่าง แต่อย่างว่า ขอทำใจก่อนสักวันเถอะ) พี่จนท.ก็จะถามรายละเอียดเรา เช่น บัตรประชาชน ชื่อ นามสกุล ในเลือกว่า สอบวันไหน เวลาอะไร (มีสองรอบ รอบเช้ากับ รอบบ่าย) จขกท เลือก รอบบ่าย (13.00) สอบไปเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2558 ค่ะ

2. ลงทะเบียนวันสอบ ในวันสอบนี้ จนท.จะให้เรามาก่อนเวลา หนึ่งชั่วโมงค่ะ เพื่อจ่ายเงินหรือลงทะเบียนอะไรก็ว่าไป จขกท. สอบรอบ 13.00 ไปถึงก็ประมาณ 12.20 ตอนแรกนึกว่าสายแน่แล้ว ปรากฏว่าไม่ค่ะ ขั้นตอนต่างๆ ไม่เยอะมากแล้วคนก็ไม่เยอะ สัก 10 นาที ก็จัดการทุกอย่างเสร็จ

3. ค่าสมัครสอบ ตอนแรกดูในเว็บต่างๆ ก็เห็นว่า 1500 บาทค่ะ แต่พอไปถึงเลยได้รู้ว่า บางคนมีได้ลดด้วยนะคะ จากพวก เวาเชอร์ บางคนจ่ายแค่ 850 แต่มีอยู่คนหนึ่งทำเราอึ้งเลย ได้ยินตอนพี่ จนท. เก็บตังค์บอกราคากับเขาว่า 250 แต่ จขกท ก็ไม่ได้เข้าไปถามนะคะ ว่าได้เวาเชอร์อะไรมา...หากเพื่อนๆ คนใดได้ส่วนลดแบบนี้ เห็นเวาเชอร์แบบนี้ แนะนำให้รีบเก็บไว้เลยนะคะ มีประโยชน์มาก ช่วยทุ่นค่าสอบไปเยอะเหมือนกันนะคะ ส่วน จขกท สอบด้วยเงินตัวเอง ก็เลยต้องจ่ายเต็มค่ะ ที่ราคา 1500 บาท
อ่อ...บางคนก็เห็นสอบฟรีนะคะ เพราะค่าสอบบริษัทจ่ายให้ ศูนย์สอบเขาจะเก็บจากบริษัทโดยตรง โชคดีจัง...อิจฉา

4. ห้องสอบเปิดให้เข้าตอน 12.45 ผู้สอบก็เข้าไปต่อแถวกันเข้าห้องสอบค่ะ ศูนย์สอบจะไม่อนุญาตให้เข้าอะไรเข้าเลย ดินสอ ปากกา ก็ห้าม เพราะมีให้ ที่เอาเข้าได้ก็รู้สึกจะเป็นกระเป๋าสตางค์ ธนบัตร บัตรปชช. ใบเสร็จที่ศูนย์สอบออกให้ แล้วก็นาฬิกาแบบเข็มนะคะ แบบดิจิตอลห้าม ซึ่งทางศูนย์สอบจะมีที่ให้ฝากกระเป๋า เป็นชั้นวาง เอาไปวางไว้ได้เลย ไม่ต้องรับบัตรฝาก ไม่เสียค่าฝาก...

ก่อนเข้าห้อง จนท ก็จะเอาที่ตรวจแบบที่ตรวจโลหะมาตรวจๆ (ไม่รู้เรียกแบบนี้หรือเปล่า แต่เป็นไอ้ที่ตรวจแบบที่ตรวจตอนเข้ารับปริญญาอ่ะค่ะ) เช็คกระเป๋าแจ็คเก็ต กระเป๋าเสื้อว่ามีอะไรแปลกปลอมหรือเปล่า หากใส่สร้อยคอ จนท. ก็จะให้โชว์สร้อยให้เห็น (จขกท. ก็ใส่ค่ะ เป็น สร้อยพระ) พอตรวจเสร็จ จนท. ก็จะตรวจบัตร ปชช. กับใบเสร็จศูนย์สอบ (เป็นสองสิ่งที่ต้องเอาเข้าไปในห้องสอบ สำคัญมาก) แล้วก็จะบอกเราว่าให้เราไปนั่งตรงไหน

ห้องสอบเป็นโต๊ะคู่ นั่งสองคน แต่กั้นคอกระหว่างกัน ประมาณด้วยสายตา น่าจะต้องละ 40 คน มีปากกาดินสอ ยางลบ วางไว้ให้ พร้อมกับกระดาษสีฟ้าหนึ่งแผ่น แล้วก็คำแนะนำในการสอบเป็นแผ่นพับ

5. ช่วงสอบ ก่อนเริ่มสอบ จนท. จะเปิดซีดีบอกคำแนะนำในการสอบให้ฟัง ซึ่งก็คือข้อมูลใน แผ่นพับนั่นแหละ ฟังไปเพลินๆ (เป็นภาษาไทย) หรือถ้ารู้แล้วไม่ต้องฟังก็ได้เหมือนกัน (อาจจะสวดมนต์ไป) พอจบ จนท. ก็แจกใบคำตอบในเรากรอก ข้อมูล รายละเอียดเยอะมากๆ แต่จะมี จนท. แนะนำ ไปทีละข้อเลย ไม่ต้องกังวล ทำตามคำแนะนำของ จนท. เพราะเขาบอกละเอียดว่าช่องนี้ต้องใช้ดินสอหรือปากกา ต้องกรอกอะไร ฟังพี่ จนท. รับรองไม่งง ไม่หลง
กระดาษคำตอบจะมี 2 หน้า หน้าแรก เป็น 100 ข้อของการฟัง หน้าหลังเป็น 100 ข้อของการอ่าน

6. มาถึงข้อสอบ พาร์ทฟัง เรียงตามลำดับเป็น
6.1 รูปภาพ 10 ข้อ ในข้อสอบ เราจะเห็นแต่รูปภาพซึ่งเป็นโจทย์ ส่วนคำตอบเราต้องฟังเอาจากเทปเอาเองว่าจะเลือกคำตอบไหน (ไม่มีในข้อสอบนะ ต้องฟังเอา) คำตอบจะมีให้เลือก 4 ข้อ คือ a,b,c,d... ไม่ยากนะ ง่ายสุดในข้อสุด (จขกท ว่า)

6.2 response to question 30 ข้อ ในส่วนนี้ เราจะไม่เห็นทั้งโจทย์และคำตอบ ต้องฟังเอาจากเทปทั้งสองอย่าง แต่จะเป็นคำถามสั้นๆ ประมาณว่า ถ้าคำถามถามว่าอย่างนี้ เราควรเลือกคำตอบไหน มี 3 ตัวเลือกค่ะ งงไหม ยกตัวอย่างแล้วกัน เช่น
ถาม ใครเป็นคนจัดการประชุมสัปดาห์ที่แล้ว
ตัวเลือก a) แผนก customer service
    b) ไม่รู้สิ ฉันจะไปปารีสอาทิตย์หน้า
    c) คงไม่ได้ รถเขายังอยู่ที่อู่
เราก็ต้องเลือก ข้อ a จะประมาณนี้ล่ะคะ
* trick ของ จขกท คือ จับคำเริ่มต้นประโยคให้ได้ อย่างพวก question word – what where when why how อะไรพวกนี้น่ะค่ะ ถ้าจับได้จะช่วยได้เยอะ

6.3 เป็นการฟังบทสนทนาของคนสองคน 30 ข้อ ( 1 บทสนทนา ต่อ 3 ข้อ) เราจะเห็นทั้งคำถามและตัวเลือกในข้อสอบ มี 4 ตัวเลือกนะคะ… ในเทปให้ฟังบทสนทนา พอจบบทสนทนา เทปก็จะอ่านโจทย์ และตัวเลือกในเราเลือกตอบ ซึ่งตรงนี้ เราไม่ต้องฟังตามเทปก็ได้ เพราะโจทย์และตัวเลือกก็ถูกพิมพ์ไว้ในกระดาษคำถามของเราอยู่แล้ว อ่านเองง่ายกว่า
* trick ของ จขกท คือ อ่านคำถามคำตอบทั้งสามข้อ ก่อนบทสนทนาจะเริ่ม มันจะมีช่วง gap ระหว่างแต่ละบทสนทนาอยู่เหมือนกันนะคะ ไม่มากและก็ไม่เป็นทางการเหมือนของ ไอเอล (ไอเอล พาร์ทฟังจะให้เวลาอ่านโจทย์ก่อน 30 วินาที หรือ 1 นาที) แต่ก็พออ่านทัน ฝึกอ่านให้เร็ว ถ้าอ่านทันจะช่วยได้มาก เพราะเราจะรู้ว่าโจทย์มันจะถามอะไร เราจะได้ตั้งใจฟังคำตอบได้ดียิ่งขึ้น...ย้ำนะคะ อ่านทัน ช่วยได้จริง เจ้คอนเฟิร์ม
พอทำบทสนทนาแรกเสร็จก็ไปอ่านโจทย์ของบทสนทนาต่อไปได้เลย อย่าเสียเวลา ไม่ต้องฟังโจทย์กับตัวเลือกบทสนทนาที่เทปอ่านให้ฟัง เพราะเราอ่านเอาเองจากกระดาษคำถามจะเร็วกว่าและเข้าใจกว่าด้วย

6.4 เป็นการฟังประกาศ อาจเป็น ประกาศสนามบิน รายงานข่าว ทั้งหมด 30 ข้อ (1 ประกาศ ต่อ 3 ข้อ) เราจะเห็นทั้งคำถามและตัวเลือกในข้อสอบ มี 4 ตัวเลือกนะคะ
*trick เหมือนฟังบทสนทนาเลยค่ะ อ่านโจทย์กับตัวเลือกให้ทัน

จบแล้วค่ะ พาร์ทฟัง มาเริ่ม พาร์ทอ่านกันเลยนะคะ

7. พาร์ทอ่าน ทุกข้อ มี 4 ตัวเลือก ทั้งหมด 100 ข้อ (75 นาที)
7.1 โดยส่วนตัว จขกท คิดว่า เป็นการ test grammar + vocab จำนวน 40 ข้อ โจทย์จะเป็นแนว ในเราเลือกตัวเลือกจาก 4 ตัวเลือก มาเติมตรงที่โจทย์เว้นว่างให้ถูก เช่น

Q1: The company’s CEO has implemented the company’s ________ procedures for employees in accordance with the Law.
(A) disciplinary
(B) disciplined
(C) disciplining
(D) discipline
แนวนี้จะคล้ายๆ ต้องการ test grammar

หรือ อีกแนว คล้ายจะ test vocab
Q2: The department’s secretariat will be at your ________ should you need any help.
(A) convenience
(B) disposal
(C) jurisdiction
(D) specifications

*trick ของ จขกท คือ ดู choice ซึ่งมันพอจะไกด์เราได้ ว่าเขาต้องการ test อะไรเรา ถ้าเป็น แนว แกรมม่า ซึ่ง จขกท ค่อนข้างจะโอเคกับแนวนี้ จขกท จะไม่เสียเวลามาก ไม่อ่านละเอียด ไม่แปล แต่กวาดตาดู เช่น ข้อ Q1 พอกวาดตาเห็นช่องว่าง ตรงนั้น อ่านโจทย์คร่าวๆ ก็จะรู้ว่า เขาต้องการ adj มา ขยาย procedures ก็ตอบข้อ a เลย ไม่ต้องแปล อาจจะไม่ต้องสนใจด้วยซ้ำว่า ceo จะ implement อะไร หรือ implement มันแปลว่าอะไร ไม่ต้องรู้ก็ได้ แต่พอมาข้อ Q2 เราเห็นแล้วว่าโจทย์แบบนี้ test vocab ซึ่งเราไม่เก่ง ก็อ่านดีๆ หน่อย ให้เข้าใจว่าโจทย์มันบอกว่า department’s secretariat ต้องการจะทำอะไร ซึ่งโดยส่วนตัว จขกท ว่า มันยากนะ เรื่อง vocab เนี่ย ซึ่งข้อที่ จขกท ไม่ถนัด trick ของ จขกท ก็คือ ตัด choice ที่เราคิดว่า ผิดแน่ๆ ออกไป แล้วมั่วอันที่คิดว่าใช่ไปเลย อย่าเสียเวลา เอาเวลาไปทำที่เราชัวร์ดีกว่าเนาะ

7.2 ให้หา missing word มาเติมใน text เช่น e mail หรือ จดหมาย มีทั้งหมด 12 ข้อ โจทย์แบบนี้ก็คือ จะให้ (สมมตินะ) อ่านจดหมาย แล้วก็จะ blank ตรงที่จะถามไว้ แล้วให้ เราเลือกตัวเลือกมาใส่ให้ถูกต้อง โดยที่ จดหมาย 1 ฉบับ ต่อ โจทย์ 3 ข้อ (คือ blank 3 ที่)
*trick ของ จขกท คือ เหมือนกับ 7.1 คือ ดู choice ถ้ามัน test grammar ก็อ่านเฉพาะประโยคที่ blank ไม่ต้องอ่านประโยคก่อนหน้าหรือประโยคหลังจากนั้นก็ได้ แต่ถ้ามันถาม vocab ก็อาจต้องอ่านประโยคก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้น เพราะเราต้องรู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไรอยู่

7.3 อ่าน text ซึ่งอาจเป็น จดหมาย นิตยสาร ประกาศขายบ้าน โน้ตช่วยจำ อีเมล  ทั้งหมด 28 ข้อ
อ่าน 1 text ต่อ คำถามประมาณ 3-4 ข้อ อันนี้ทุกคนน่าจะคุ้นเคยดี เป็นข้อสอบแบบ reading ทั่วไป คือให้อ่าน passage แล้วมาตอบ
*trick ของ จขกท คือ อ่าน คำถามและตัวเลือกทั้งหมดก่อนค่ะ แล้วค่อนอ่าน text เพื่อหาคำตอบ แล้วก็ต้องอ่านอย่างรวดเร็วนะคะ

7.4 มีทั้งหมด 20 ข้อ เป็นการอ่าน text โต้ตอบ 2 text งงหรือเปล่าคะ ยกตัวอย่างให้ เช่น อันแรก เป็น text ประกาศขายบ้าน แล้วอีกอันก็เป็น e mail ที่คนที่สนใจส่งไปหาคนประกาศขายบ้านเพื่อถามรายละเอียดหรือนัดดูบ้านก็ว่ากันไป อ่าน 2 text โต้ตอบต่อคำถาม 5 ข้อ

*trick ของ จขกท คือ เหมือน 7.3 ค่ะ และ จขกท ก็เลือกทำ 7.4 ก่อน 7.3 เพราะจำนวนข้อย่อยต่อข้อใหญ่เยอะกว่า ข้อสอบในส่วน 7.3 กับ 7.4 จะไม่ยากนะคะ แต่มันจะเยอะ อ่านเร็วได้เปรียบ หลายคนที่ทำไม่ได้เพราะอ่านไม่ทันนะคะ ไม่ใช่เพราะยาก จขกท เป็นคนหนึ่งที่อ่านไม่เร็วแบบเทพ แต่ก็ไม่ได้ช้ามาก เลยเลือกมาทำ 7.4 ก่อน เพราะคิดว่า 7.3 มันเยอะ อาจจะ 7-8 text ถ้าสุดท้ายอ่านไม่ทันจริงๆ ก็คงพลาดไป อ่ะ ตีว่า 2 text คงราวๆ 6 ข้อ...ยังพอไหว แต่ถ้าพลาด 2 ข้อใหญ่ของ 7.4 นี่คือพลาด 10 ข้อเลยนะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่