Kyushu ( 2nd trip )
ก่อนอื่นเลย ทำไมต้องคิวชู คิวชูคืออะไร อยู่ที่ไหนยังไง หลายคนอาจจะทำหน้างงๆ แต่นี่เป็นทริปที่2ของเราแล้วสำหรับที่นี่ อย่างแรกเลยที่เลือกไปคิวชูครั้งแรกเพราะอยู่ญี่ปุ่นมานานตะลอนๆไปทั่วแต่ยังไม่เคยลงไปทางเกาะใต้ซักที เลยค้างคาใจมาก ต้องไปให้ได้!!! สำหรับรอบสองเหตุผลที่กดจองตั๋วไปแบบสติหลุดลอยคือ ตั๋วซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง!!! กดแบบไม่คิด กดแบบสติหลุด กดไปทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะลางานได้ไหม แต่ถ้าไม่ได้กดอาจจะนอนไม่หลับไปทั้งปี (เวอร์สุด)
รีวิวรอบสองก่อนเพราะทริปนี้เพิ่งไปมาเมื่อต้นเดือนกันยาที่ผ่านมา (ดองมานาน) ต้นเดือนกันยายน ไปดูอะไรหรอ? ซากุระ....ก็ไม่มี ใบไม้ก็ยังไม่เปลี่ยนสี อากาศก็...ยังร้อนอยู่ วันที่ไปก็ยังไม่มีดอกไม้ไฟ เออแล้วไปทำไมตอนที่มันไม่มีอะไรล่ะฟร่ะ!? แหมก็บอกว่าตั๋วมันถูกสติสตังค์ไม่อยู่กะเนื้อกะตัวไงล่ะ !!!
ในเมื่อไฮไลท์ไม่มี งั้นเราจะโฟกัสเรื่องเดียวเลย กิน กิน กิน ใครไปญี่ปุ่นแน่นอนต้องไปโดนของเด็ดของดังเค้าให้ได้ ซูชิเอย ราเมง เนื้อย่าง บลาๆ เอาจริงๆคือเราเกิดมาเพื่อการกิน “กินอย่างEnjoyที่สุด”คือมิชชั่นในทริปนี้
เมื่อมีตั๋วในมือแล้วสิ่งที่เราต้องทำต่อมาคือ “แพลน”ค่ะ จะไปไหน ทำอะไรบ้าง ผู้ร่วมชะตากรรมที่ถูกถามเช้าเย็นว่าอยากไปไหนก็หนีไม่พ้นแฟนเราเอง (คือเอาจริงๆเราอินมาก เรื่องญี่ปุ่นขอให้บอก พูดได้เป็นวันๆ นางคงรำคาญไม่น้อย555) เมื่อได้แพลนมาเราก็คำนวนงบประมาณการใช้จ่ายว่าต่อคนควรแลกเงินไปมากแค่ไหน
ค่าใช้จ่าย
ค่าตั๋วเครื่องบิน Jetstar -5,500/คน (โปรซื้อ1แถม1)
ค่าโหลดกระเป๋าขากลับ-500 (ขาไปเราไม่โหลด ใช้กระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้วถือขึ้นเครื่องเลยค่ะ)
ค่าโรงแรม (ร.ร.2-3ดาว,เรียวกัง1คืน) รวม 4 คืน-3,070บาท/ต่อคน
ตั๋วรถไฟ JR Pass north kyushu3day- 2,340 (H.I.S. โปรงานท่องเที่ยว)
แลกเงิน เรา-40,000เยน แฟน-80,000เยน (เรท0.2680)
ประกันการเดินทาง – 510/คน (MSIG ได้บัตรกำนัลStar Buck 100 บาท)
Pocket wifi – 573บาท (1,145บาท/5วัน)
ค่าโรงแรมถูกเพราะ เลือกวันที่ถูกที่สุด เช่นที่พักในเมืองนอนวันธรรมดา ที่พักแพงๆอย่างเรียวกังใช้pointในagodaแลกลดราคาเอา
แลกเงินเรทถูก เพราะเราแลกกับคนญี่ปุ่นในออฟฟิตได้เรทดีสุดๆ (super rich 0.285)
รวมค่าใช้จ่ายทริปนี้ 12,492+10,680(pocket money)=23,172บาท ต่อคน
สำหรับเราการไปเที่ยวอะไรที่ประหยัดได้เราจะพยายามหาทางประหยัด แต่ค่ากินและกิจกรรมต่างๆเราจะเต็มที่
แพลนคร่าวๆก่อนไป (สิ่งที่คิด)
แต่...ความจริงนั้น
ไฟลท์ตีสอง ไปถึงสนามบินตั้งแต่ห้าทุ่มครึ่ง พูดได้ว่าพร้อมมาก เช็คอินเข้าไปเดินเล่นถ่ายรูปกันสนุกสนาน ดูของในDuty free
ลั้นลา ลั้นลา
เรา : เออเธอเดี๋ยวพอเราไปถึงเราก็จะไปแลกตั๋วรถไฟ ฟะฟะ เฮ้ยอ้วน ตั๋วรถไฟอยู่ไหนอ่ะ อยู่ไหน!!! ทำไมลืมเรื่องนี้ไปเลย เฮ้ยนึกไม่ออก (ร้อนรนๆ)
ตอนนั้นหน้าเสียมาก คือตั๋วซื้อมาในราคาโปรแล้วแพลนทุกอย่างแล้ว จองทุกอย่างแล้ว แต่นึกไม่ออกว่าเอาตั๋วรถไฟไว้ไหน
รีบโทรหาพี่ชายให้ช่วยดูให้ โทรๆสิบกว่าสายไม่รับ เที่ยงคืนกว่าแล้ว ทำไงดี คือจะร้องไห้แบบถอดใจแล้วว่าต้องไปเสียตังค์อีกแน่ๆ สายสุดท้ายที่โทร ฮัลโหล นางรับในที่สุด โอ้วบร๊ะเจ้า
เรา : แกช่วยดูหน่อยว่าตั๋วอยู่ไหน ในตู้มีมั้ย ลิ้นชัก ชั้นวาง กระเป๋า
พี่ชาย : ไม่มีนะ เออหน้าตาเป็นไง
เรา : อธิบายๆ ในซองขาวๆมีมั้ย
พี่ชาย : เออ...เจอล่ะ
สวรรค์มาโปรดมาก! วินาทีนั้นน้ำตาแทบร่วง คือตั๋วสองคนรวมกัน สนนราคาเกือบ5,500บาท ชั้นรักพี่ชาย(เสียงเกาหลี)
พี่ที่แสนดีรีบบึ่งรถเอามาให้ที่สุวรรณภูมิ (ดีที่บ้านอยู่บางนา) เราก็รีบไปขอ ตม.ออกไปเอาตั๋วข้างนอกได้ ยังดีที่ไฟลท์ตีสอง และเราก็รู้ตัวเร็ว เฮ้อออออ เกือบไปแล้วสินะ เฮอะๆทริปนี้เริ่มด้วยฟามระทึกจีจีเลย TT
Day1
เครื่องลงปุ๊ปก็ไปล้างหน้าแปรงฟันกันก่อน นอนบนเครื่องมาทั้งคืนตื่นมาก็ต้องรีเฟรชตัวเองซะหน่อย ทีแรกตั้งใจว่าจะนั่งรถไฟเข้าไปในเมืองแต่เห็นมีตั๋วรถบัสขายแบบ one day pass เออถูกแฮะ เอาอันนี้แหละ ชิวๆ
จากสนามบินเข้าเมืองไม่ไกลค่ะ ถ้ารถไฟก็ประมาณ15นาที รถบัสก็ประมาณ25-30นาที เรามุ่งหน้าไปสถานีฮากาตะ(Hakata station) รถบัสลงได้สองฝั่งของสถานี เราเลือกลงด้านหน้าของสถานีค่ะ รร.ที่เราพักคืนแรกเดินจากสถานีฮากาตะประมาณ10นาที ตอนหาทางไปก็ได้พี่กู(google map)พาเดินวนๆเฉียดไปเฉียดมาไปประมาณเกือบครึ่งชม. ถือเป็นการวอร์มร่างกายได้ดีมากค่ะ #ปาดเหงื่อแพพ
มื้อแรก ต้องจัดราเมง ฮากาตะถือเป็นเมืองต้นตำรับราเมงเจ้านี้ เป็นเจ้าประจำ เจ้าในดวงใจ รสชาติถูกปากสุดแล้ว เปรียบเสมือนชายสี่หมี่เกี๊ยวที่มีหลายสาขาแต่ไม่ได้อยู่หน้าเซเว่น “Ichiran ramen” (ราเมงข้อสอบ)
อันนี้แบบ เบสิค
จัดเต็มต้องแบบนี้ เคล็ดลับทำยังไงให้สอบผ่านคือ ดิ่งกลางแล้วชีวิตจะดีค่ะ เชื่อเรา :p
ราเมงธรรมดา 980เยน ถ้าเพิ่มtopping ก็อย่างล่ะประมาณ 100-300เยน มื้อนี้สองคน 2,260 เยน
อิ่มแล้วก็นั่งรถบัสออกไปเที่ยวอย่างไร้จุดหมาย คันไหนมาก่อนก็โดดขึ้นแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็ชิวดีนะ นั่งรถชมเมืองถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
จน จน.... จนหลงค่ะ ก็พึ่งพาพี่กูอีกครั้ง จากเดิมที่เราจะไปcanal city ก็กลายเป็นไปศาลเจ้าแทนล่ะกัน เออดีเนอะ ฟรีสไตล์ 555
พักกินไอติมก่อน
ลุยกันต่อ
ตู้เซียมซี
ศาลเจ้าคุชิดะหรือที่ผู้คนรู้จักกันในนาม”เทพผู้พิทักแห่งฮากาตะ” (Kushida Shrine)
ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าเล็กๆแต่มีชื่อเสียง มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมาค่ะ(หล่อนหลงมาไม่ใช่หรอออออออ!!!!)
เดินไปเดินมาจนออกมาด้านหลังศาลเจ้า เจอขนมโมจิย่างของขึ้นชื่อ ต้องลองซะหน่อย
ด้วยความบังเอิญ อ้าวเฮ้ย canal city ยะ ยะ อยู่ตรงนั้น! แหมอะไรมันจะลงตัวขนาดนี้ “จริงๆเราแพลนไว้แล้วแหละเธอ” ยิ้มมุมปาก หันไปชมตัวเองกับแฟน
ที่อยากมาที่นี่เพราะมูมินคาเฟ่ค่ะ แฟนเรานางมาสายแบ๊ว รีเควสมาเลยว่าขอมาอันนี้
มูมินคาเฟ่มีอยู่สองแห่งในญี่ปุ่น เมืองโตเกียวและฟุกุโอกะ
เราว่าเมนูไม่มีอะไรมากมาย ราคาก็แพงเอาเรื่องเลย แถมรสชาติก็ธรรมด๊าธรรมดา น้องมูมินก็มีกลิ่นตุๆด้วยสิ รวมๆแล้วได้ถ่ายรูปมุ้งมิ้งคะแนนเลยขึ้นมาหน่อย ให้ 5/10 ล่ะกัน
มื้อนี้ 1,700 เยน o_O!
เดินเล่นต่อ
เมื่อเดินขึ้นๆลงๆอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง เราก็เริ่มหิว มื้อเย็นวันนี้ “ซูชิ” ร้านที่เราประทับใจตั้งแต่รอบที่แล้วที่มากินตามรีวิว คือสด อร่อย ราคาไม่แรง เสียอย่างเดียวคนเยอะมากไปถึงก็ต้องต่อคิวรอประมาน15-30นาทีแล้วแต่ปริมาณคนค่ะ คราวนี้เรามาลองกินมื้อเย็นกันบ้าง
ร้านเฮียวตันซูชิ Hyotan ひょうたん寿司
โอโทโร่
อุนิ
อิคุระ ล้นๆ
ขาปูทาระบะ ออนท็อปด้วย คานิมิโซะ(มันปู) Hotate หวานๆเด้งๆ
เรื่องกินพี่จริงจังนะ อร่อย ฟินเฟร่อออออออ 100/10 !!!!
มื้อนี้ 7,030 เยน ราวๆ 1,8xx บาทค่ะ ถือว่าคุ้มสุดๆ
อิ่มแล้วก็มาย่อยกันที่เกมเซ็นเตอร์ ได้น้องไก่ริรัคคุมะตัวน้อยๆมาหนึ่งตัว
สนนราคาที่ 900 บะ บา บาทๆ เฮ้ย 900บาทเลยนะไม่ใช่900เยน เดี๋ยวๆนี่วันแรก !!! TT
วันนี้จะจบลงไม่ได้ถ้าไม่มีของหวาน ดูปากณัชชานะค่ะ กินคาวไม่กินหวานสันด..ร
โรลครีมดี ชูครีมก็ดี โอ๊ยยยยยยย
แผนที่ : ที่พักคืนที่1 ให้4/5 สะอาด ใกล้สถานี ห้องแคบไปนิดนึง ราคานี้ไม่มีอาหารเช้าค่ะ
Hotel APA hotel hakata-ekimae : 2,020 บาท (agoda)
เดี๋ยวมาต่อนะคะ
[CR] รีวิว กินแหลกจนตัวแตกที่คิวชู #WheretoTabiTabi
Kyushu ( 2nd trip )
ก่อนอื่นเลย ทำไมต้องคิวชู คิวชูคืออะไร อยู่ที่ไหนยังไง หลายคนอาจจะทำหน้างงๆ แต่นี่เป็นทริปที่2ของเราแล้วสำหรับที่นี่ อย่างแรกเลยที่เลือกไปคิวชูครั้งแรกเพราะอยู่ญี่ปุ่นมานานตะลอนๆไปทั่วแต่ยังไม่เคยลงไปทางเกาะใต้ซักที เลยค้างคาใจมาก ต้องไปให้ได้!!! สำหรับรอบสองเหตุผลที่กดจองตั๋วไปแบบสติหลุดลอยคือ ตั๋วซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง!!! กดแบบไม่คิด กดแบบสติหลุด กดไปทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะลางานได้ไหม แต่ถ้าไม่ได้กดอาจจะนอนไม่หลับไปทั้งปี (เวอร์สุด)
รีวิวรอบสองก่อนเพราะทริปนี้เพิ่งไปมาเมื่อต้นเดือนกันยาที่ผ่านมา (ดองมานาน) ต้นเดือนกันยายน ไปดูอะไรหรอ? ซากุระ....ก็ไม่มี ใบไม้ก็ยังไม่เปลี่ยนสี อากาศก็...ยังร้อนอยู่ วันที่ไปก็ยังไม่มีดอกไม้ไฟ เออแล้วไปทำไมตอนที่มันไม่มีอะไรล่ะฟร่ะ!? แหมก็บอกว่าตั๋วมันถูกสติสตังค์ไม่อยู่กะเนื้อกะตัวไงล่ะ !!!
ในเมื่อไฮไลท์ไม่มี งั้นเราจะโฟกัสเรื่องเดียวเลย กิน กิน กิน ใครไปญี่ปุ่นแน่นอนต้องไปโดนของเด็ดของดังเค้าให้ได้ ซูชิเอย ราเมง เนื้อย่าง บลาๆ เอาจริงๆคือเราเกิดมาเพื่อการกิน “กินอย่างEnjoyที่สุด”คือมิชชั่นในทริปนี้
เมื่อมีตั๋วในมือแล้วสิ่งที่เราต้องทำต่อมาคือ “แพลน”ค่ะ จะไปไหน ทำอะไรบ้าง ผู้ร่วมชะตากรรมที่ถูกถามเช้าเย็นว่าอยากไปไหนก็หนีไม่พ้นแฟนเราเอง (คือเอาจริงๆเราอินมาก เรื่องญี่ปุ่นขอให้บอก พูดได้เป็นวันๆ นางคงรำคาญไม่น้อย555) เมื่อได้แพลนมาเราก็คำนวนงบประมาณการใช้จ่ายว่าต่อคนควรแลกเงินไปมากแค่ไหน
ค่าใช้จ่าย
ค่าตั๋วเครื่องบิน Jetstar -5,500/คน (โปรซื้อ1แถม1)
ค่าโหลดกระเป๋าขากลับ-500 (ขาไปเราไม่โหลด ใช้กระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้วถือขึ้นเครื่องเลยค่ะ)
ค่าโรงแรม (ร.ร.2-3ดาว,เรียวกัง1คืน) รวม 4 คืน-3,070บาท/ต่อคน
ตั๋วรถไฟ JR Pass north kyushu3day- 2,340 (H.I.S. โปรงานท่องเที่ยว)
แลกเงิน เรา-40,000เยน แฟน-80,000เยน (เรท0.2680)
ประกันการเดินทาง – 510/คน (MSIG ได้บัตรกำนัลStar Buck 100 บาท)
Pocket wifi – 573บาท (1,145บาท/5วัน)
ค่าโรงแรมถูกเพราะ เลือกวันที่ถูกที่สุด เช่นที่พักในเมืองนอนวันธรรมดา ที่พักแพงๆอย่างเรียวกังใช้pointในagodaแลกลดราคาเอา
แลกเงินเรทถูก เพราะเราแลกกับคนญี่ปุ่นในออฟฟิตได้เรทดีสุดๆ (super rich 0.285)
รวมค่าใช้จ่ายทริปนี้ 12,492+10,680(pocket money)=23,172บาท ต่อคน
สำหรับเราการไปเที่ยวอะไรที่ประหยัดได้เราจะพยายามหาทางประหยัด แต่ค่ากินและกิจกรรมต่างๆเราจะเต็มที่
แพลนคร่าวๆก่อนไป (สิ่งที่คิด)
แต่...ความจริงนั้น
ไฟลท์ตีสอง ไปถึงสนามบินตั้งแต่ห้าทุ่มครึ่ง พูดได้ว่าพร้อมมาก เช็คอินเข้าไปเดินเล่นถ่ายรูปกันสนุกสนาน ดูของในDuty free
ลั้นลา ลั้นลา
เรา : เออเธอเดี๋ยวพอเราไปถึงเราก็จะไปแลกตั๋วรถไฟ ฟะฟะ เฮ้ยอ้วน ตั๋วรถไฟอยู่ไหนอ่ะ อยู่ไหน!!! ทำไมลืมเรื่องนี้ไปเลย เฮ้ยนึกไม่ออก (ร้อนรนๆ)
ตอนนั้นหน้าเสียมาก คือตั๋วซื้อมาในราคาโปรแล้วแพลนทุกอย่างแล้ว จองทุกอย่างแล้ว แต่นึกไม่ออกว่าเอาตั๋วรถไฟไว้ไหน
รีบโทรหาพี่ชายให้ช่วยดูให้ โทรๆสิบกว่าสายไม่รับ เที่ยงคืนกว่าแล้ว ทำไงดี คือจะร้องไห้แบบถอดใจแล้วว่าต้องไปเสียตังค์อีกแน่ๆ สายสุดท้ายที่โทร ฮัลโหล นางรับในที่สุด โอ้วบร๊ะเจ้า
เรา : แกช่วยดูหน่อยว่าตั๋วอยู่ไหน ในตู้มีมั้ย ลิ้นชัก ชั้นวาง กระเป๋า
พี่ชาย : ไม่มีนะ เออหน้าตาเป็นไง
เรา : อธิบายๆ ในซองขาวๆมีมั้ย
พี่ชาย : เออ...เจอล่ะ
สวรรค์มาโปรดมาก! วินาทีนั้นน้ำตาแทบร่วง คือตั๋วสองคนรวมกัน สนนราคาเกือบ5,500บาท ชั้นรักพี่ชาย(เสียงเกาหลี)
พี่ที่แสนดีรีบบึ่งรถเอามาให้ที่สุวรรณภูมิ (ดีที่บ้านอยู่บางนา) เราก็รีบไปขอ ตม.ออกไปเอาตั๋วข้างนอกได้ ยังดีที่ไฟลท์ตีสอง และเราก็รู้ตัวเร็ว เฮ้อออออ เกือบไปแล้วสินะ เฮอะๆทริปนี้เริ่มด้วยฟามระทึกจีจีเลย TT
Day1
เครื่องลงปุ๊ปก็ไปล้างหน้าแปรงฟันกันก่อน นอนบนเครื่องมาทั้งคืนตื่นมาก็ต้องรีเฟรชตัวเองซะหน่อย ทีแรกตั้งใจว่าจะนั่งรถไฟเข้าไปในเมืองแต่เห็นมีตั๋วรถบัสขายแบบ one day pass เออถูกแฮะ เอาอันนี้แหละ ชิวๆ
จากสนามบินเข้าเมืองไม่ไกลค่ะ ถ้ารถไฟก็ประมาณ15นาที รถบัสก็ประมาณ25-30นาที เรามุ่งหน้าไปสถานีฮากาตะ(Hakata station) รถบัสลงได้สองฝั่งของสถานี เราเลือกลงด้านหน้าของสถานีค่ะ รร.ที่เราพักคืนแรกเดินจากสถานีฮากาตะประมาณ10นาที ตอนหาทางไปก็ได้พี่กู(google map)พาเดินวนๆเฉียดไปเฉียดมาไปประมาณเกือบครึ่งชม. ถือเป็นการวอร์มร่างกายได้ดีมากค่ะ #ปาดเหงื่อแพพ
มื้อแรก ต้องจัดราเมง ฮากาตะถือเป็นเมืองต้นตำรับราเมงเจ้านี้ เป็นเจ้าประจำ เจ้าในดวงใจ รสชาติถูกปากสุดแล้ว เปรียบเสมือนชายสี่หมี่เกี๊ยวที่มีหลายสาขาแต่ไม่ได้อยู่หน้าเซเว่น “Ichiran ramen” (ราเมงข้อสอบ)
อันนี้แบบ เบสิค
จัดเต็มต้องแบบนี้ เคล็ดลับทำยังไงให้สอบผ่านคือ ดิ่งกลางแล้วชีวิตจะดีค่ะ เชื่อเรา :p
ราเมงธรรมดา 980เยน ถ้าเพิ่มtopping ก็อย่างล่ะประมาณ 100-300เยน มื้อนี้สองคน 2,260 เยน
อิ่มแล้วก็นั่งรถบัสออกไปเที่ยวอย่างไร้จุดหมาย คันไหนมาก่อนก็โดดขึ้นแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็ชิวดีนะ นั่งรถชมเมืองถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
จน จน.... จนหลงค่ะ ก็พึ่งพาพี่กูอีกครั้ง จากเดิมที่เราจะไปcanal city ก็กลายเป็นไปศาลเจ้าแทนล่ะกัน เออดีเนอะ ฟรีสไตล์ 555
พักกินไอติมก่อน
ลุยกันต่อ
ตู้เซียมซี
ศาลเจ้าคุชิดะหรือที่ผู้คนรู้จักกันในนาม”เทพผู้พิทักแห่งฮากาตะ” (Kushida Shrine)
ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าเล็กๆแต่มีชื่อเสียง มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมาค่ะ(หล่อนหลงมาไม่ใช่หรอออออออ!!!!)
เดินไปเดินมาจนออกมาด้านหลังศาลเจ้า เจอขนมโมจิย่างของขึ้นชื่อ ต้องลองซะหน่อย
ด้วยความบังเอิญ อ้าวเฮ้ย canal city ยะ ยะ อยู่ตรงนั้น! แหมอะไรมันจะลงตัวขนาดนี้ “จริงๆเราแพลนไว้แล้วแหละเธอ” ยิ้มมุมปาก หันไปชมตัวเองกับแฟน
ที่อยากมาที่นี่เพราะมูมินคาเฟ่ค่ะ แฟนเรานางมาสายแบ๊ว รีเควสมาเลยว่าขอมาอันนี้
มูมินคาเฟ่มีอยู่สองแห่งในญี่ปุ่น เมืองโตเกียวและฟุกุโอกะ
เราว่าเมนูไม่มีอะไรมากมาย ราคาก็แพงเอาเรื่องเลย แถมรสชาติก็ธรรมด๊าธรรมดา น้องมูมินก็มีกลิ่นตุๆด้วยสิ รวมๆแล้วได้ถ่ายรูปมุ้งมิ้งคะแนนเลยขึ้นมาหน่อย ให้ 5/10 ล่ะกัน
มื้อนี้ 1,700 เยน o_O!
เดินเล่นต่อ
เมื่อเดินขึ้นๆลงๆอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง เราก็เริ่มหิว มื้อเย็นวันนี้ “ซูชิ” ร้านที่เราประทับใจตั้งแต่รอบที่แล้วที่มากินตามรีวิว คือสด อร่อย ราคาไม่แรง เสียอย่างเดียวคนเยอะมากไปถึงก็ต้องต่อคิวรอประมาน15-30นาทีแล้วแต่ปริมาณคนค่ะ คราวนี้เรามาลองกินมื้อเย็นกันบ้าง
ร้านเฮียวตันซูชิ Hyotan ひょうたん寿司
โอโทโร่
อุนิ
อิคุระ ล้นๆ
ขาปูทาระบะ ออนท็อปด้วย คานิมิโซะ(มันปู) Hotate หวานๆเด้งๆ
เรื่องกินพี่จริงจังนะ อร่อย ฟินเฟร่อออออออ 100/10 !!!!
มื้อนี้ 7,030 เยน ราวๆ 1,8xx บาทค่ะ ถือว่าคุ้มสุดๆ
อิ่มแล้วก็มาย่อยกันที่เกมเซ็นเตอร์ ได้น้องไก่ริรัคคุมะตัวน้อยๆมาหนึ่งตัว
สนนราคาที่ 900 บะ บา บาทๆ เฮ้ย 900บาทเลยนะไม่ใช่900เยน เดี๋ยวๆนี่วันแรก !!! TT
วันนี้จะจบลงไม่ได้ถ้าไม่มีของหวาน ดูปากณัชชานะค่ะ กินคาวไม่กินหวานสันด..ร
โรลครีมดี ชูครีมก็ดี โอ๊ยยยยยยย
แผนที่ : ที่พักคืนที่1 ให้4/5 สะอาด ใกล้สถานี ห้องแคบไปนิดนึง ราคานี้ไม่มีอาหารเช้าค่ะ
Hotel APA hotel hakata-ekimae : 2,020 บาท (agoda)
เดี๋ยวมาต่อนะคะ