เนื่องในโอกาสฉลองเปิดตัวเมนูใหม่ ทาง Osaka Ohsho ได้ส่งคำเชิญให้เราไปลองชิมเมนูใหม่เก๋ๆพร้อมกับกระซิบว่าเมนูใหม่ที่ว่านี่ไม่เคยทำมาก่อน และรสชาติก็อร่อยเด็ดแน่นอน เขาว่ามาแบบนี้ เราจะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยได้อย่างไร คณะจอมยุทธ์นักกินอย่างเราก็รับคำท้าอย่างรวดเร็ว (กลัวเขาเปลี่ยนใจ) และก่อนที่ทางร้านจะเตรียมตัวได้ทัน พวกเราก็บุกถึงถิ่นแล้วเรียบร้อย! (ต่อให้เปลี่ยนใจตอนนี้ก็จะนั่งร้องไห้อยู่หน้าร้านนี่แหละ)
มาดูหน้าร้านกันก่อนฮะ สัญลักษณ์ของร้านหน้าตาแบบนี้ ถ้าเห็นแล้วล่ะก็ไม่มีพลาดแน่นอน
สาขาธนิยะหาง่ายมาก ยิ่งใครที่ใช้ชีวิตอยู่แถวๆนั้นคงนึกออก เพราะตัวร้านตั้งอยู่ในละแวกร้านอาหาร หน้าอาคารญาดา ลงมาจากบีทีเอสศาลาแดง ก็เดินเข้าซอยธนิยะมานิดนึง มองทางขวาก็จะเจอแล้วล่ะครับ
อะแฮ่ม แอบถ่ายอีกสักเล็กน้อย เหล่าเชฟกำลังขมักเขม้นทำอาหารกันอยู่เลยเชียว
วันนี้เราได้รับเกียรติจากคุณ Takeyatsu ซึ่งเป็น Head Chef และเป็นคนที่คิดค้นเมนูใหม่ที่เราจะกินวันนี้ มาแนะนำตัวร้านพร้อมทั้งแนะนำอาหารแต่ละเมนูด้วยตัวเองเลยล่ะครับ
ก่อนที่จะกินก็ต้องขอเล่าประวัติร้านกันก่อน ร้าน Osaka Ohsho นั้นโด่งดังมากในเรื่องของอาหารญี่ปุ่นสไตล์โอซาก้า กินแล้วเหมือนได้ไปโอซาก้าประมาณนั้นเลย หลักๆของอาหารสไตล์นี้ก็คือจะได้รับกลิ่นอายอาหารจีนมาค่อนข้างเยอะ จนเราสังเกตุได้จากเมนูหลักๆที่จะเป็นผัดผัก ข้าวผัด ออกจีนๆนิดนึง แต่ที่เป็นตัวชูโรงของ Osaka Ohsho ต้องยกให้เกี๊ยวซ่าครับ ความมั่นใจในรสชาตินี่สื่อออกมาทางสายตาเลยล่ะฮะ เชฟบอกว่าเขามั่นใจว่า Osaka Ohsho เป็น The World’s #1 เลยทีเดียว เพราะร้านในญี่ปุ่นเคยทำสถิติขายเกี๊ยวซ่าวันเดียว (
ขีดเส้นใต้หนักๆว่าวันเดียวเท่านั้นนะ)
ถึง
1 ล้ า น ชิ้ น น น น น น นน น (เครื่องหมายอัศเจรีย์ล้านตัว)
เรียกว่าถ้าใครที่ชอบเกี๊ยวซ่าแล้วยังไม่เคยได้ลองชิม ถือว่าพลาดแล้วล่ะครับ
และอย่างที่เกริ่นไว้ว่าไม่มีที่ไหนเคยทำแบบนี้แน่นอน ทำเอาเรากินไปถามไปแทบทุกจาน เริ่มด้วยออเดิร์ฟอย่าง “ส้มตำสูตรโอซาก้า”
.
.
.
ตอนที่เราได้ยินชื่อเมนูนี้ครั้งแรก เราก็มองตากันเลิกลั่ก สงสัยกันว่า เอ๊ คุณ Takeyatsu แกเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าน้า เราก็พอรู้มาบ้างว่าโอซาก้านี่เขานับเป็นต่างจังหวัดของญี่ปุ่นเขา แต่มันมาใกล้กับอุบลฯ อุดรฯบ้านเฮาตอนไหนกัน ไหงมีส้มตำสูตรโอซาก้าซะด้วย ไปได้อิทธิพลกันมาตอนไหนเนี่ยยย
เก็บความสงสัยเอาไว้จนกระทั่งยกมาเสิร์ฟ พบว่าหน้าตามันค่อนไปทางสลัดมากกว่าส้มตำที่เราคุ้นๆกัน มีการโรยปลาแห้งคัตซึโอะอีกเล็กน้อยให้ฟีลอาหารญี่ปุ่น นอกจากนั้น คุณ Takeyatsu ยังบอกให้ตักส้มตำมาโปะบนเกี๊ยวซ่า เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม
โชว์หน้าตาอีกด้าน (ยังไม่มีใครกล้ากินเท่าไหร่ ฮา)
ขณะที่ยังมีคำถามอยู่ในใจมากมาย (แอบเกี่ยงๆกัน) หน่วยกล้าตายก็จ้วงลงไปแล้วล่ะครับ
จ้วงเสร็จก็เอาเข้าปากเคี้ยวเอาๆ ทั้งโต๊ะได้แต่มองเขาเป็นตาเดียว เหมือนช่วงกลั้นหายใจก่อนที่พระเอกจะเลือกตัดสายระเบิด
(อะไรจะขนาดนั้น)
“เฮ้ย อร่อยว่ะพี่”
จากนั้นก็หมดช่วงเวลาเขินอาย ถูกละลายพฤกติกรรมกันเรียบร้อยล่ะครับ ประมาณห้านาทีหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีกเลย (เพราะกลัวกินไม่ทัน) จนกระทั่งส้มตำเจ้าปัญหาของเราหมดเกลี้ยงชาม จึงได้มานั่งวิเคราะห์กัน (แหม กว่าจะได้ทำงาน) พบว่าส้มตำสูตรนี้กินง่ายกว่าที่เราคุ้นเคยกันครับ เพราะรสชาติอ่อนกว่า และออกไปทางยำมากกว่า ทำให้เหมาะกับกินเพื่อตัดเลี่ยนจากอาหารญี่ปุ่นมากๆ การกินพร้อมเกี๊ยวซ่ายังทำให้ได้รสชาติที่ชัดมากขึ้น (ตามที่เชฟบอกและอย่างที่หน่วยกล้าตายของเราแสดงให้เห็น) เพราะรสเปรี้ยวๆเผ็ดๆช่วยเสริมให้ความหอมอร่อยของเกี๊ยวซ่าให้ชัดมากขึ้น
จากนั้นก็ไปต่อกันที่ “ชิบาสึเกะชาฮัง” เป็นข้าวผัดผักดองแบบจีนๆหน่อย ผัดได้หอม เม็ดข้าวสวย ไม่แฉะหรือแห้งไป พอดีๆ กินเปล่าๆก็ได้ กินกับกับข้าวก็อร่อยครับ
และแล้วก็มาถึงพระเอกของเราาา
“เกี๊ยวซ่าาาา” (อ้า อ้า อ้า ~ *ทำเสียงเอคโค่ประกอบด้วย*)
ในเมื่อเขาบอกว่านี่เป็นความภาคภูมิใจของเขา เราก็ต้องขอลองซักหน่อย
กินแล้วก็ต้องพยักหน้าหงึกๆขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เพราะเห็นด้วยว่าที่นี่เขาทำเกี๊ยวซ่าได้อร่อยจริงๆ ด้านบนก็นุ่มพอดี ไม่มีแป้งที่แข็งหรือเหนียวเลย ส่วนด้านล่างก็กรอบหอมกระทะมากๆ ในไส้ก็มีน้ำนิดๆพอชุ่มฉ่ำแบบเวลากัดไปแล้วรสชาติทะลักมา ให้อารมณ์กินอาหารฝีมืออากิยามะ จางเลยแหละ (เวอร์จริงๆ) น้ำจิ้มก็มีให้เลือกหลากหลายขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยครับ เพราะทางเชฟรู้ว่าคนไทยเบื่ออาหารรสกลางๆอ่อนๆแบบสไตล์ญี่ปุ่น จึงมีน้ำจิ้มให้เลือกถึง 6 อย่าง เลือกจิ้มกันได้ตามสบายเลย
(สำหรับคนชอบปรุง บนโต๊ะก็มีทั้งน้ำมันพริกเผา น้ำส้ม โชยุให้ลองปรับเปลี่ยนรสชาติได้ครับ อย่างท่านจอมยุทธ์ในรูป กว่าจะชักกระบี่มาคีบเกี๊ยวสักชิ้น ก็ปรุงไปประมาณครึ่งชั่วยามได้ฮะ) (แซวไม่กลัวซองขาวกันเลยทีเดียว)
และยังมีให้เลือกหลายไซส์ด้วยนะครับ ไซส์ตามรูปนี้นี่ตายไปเลยย จานขนาดนี้ผมว่าผู้ชายสามคนตัวใหญ่ๆ กินจนจุกได้เลย ผมไปกันแค่สองสามคน (น้องผู้หญิงด้วย) ผลคือ แทบกลิ้งขึ้นรถไฟฟ้าครับ ถ้าไปกินกันเองผมว่า คนละ 6 ชิ้นนี่ก็อิ่มกำลังดีแล้วล่ะฮะ
มาดูเมนูแบบกับข้าวที่เชฟเขาแนะนำกันบ้าง ก็มีทั้ง “เรบานิระ อิตาเมะ” เป็นผัดตับกับต้นหอมและถั่วงอก ซึ่งทำเครื่องในได้นุ่มมาก หอมมากกกก ไม่มีกลิ่นคาวเลย คนไม่ค่อยชอบกินเครื่องในโดนจานนี้ไปอาจจะเปลี่ยนใจได้เลย
ส่วนใครที่ชอบอยู่แล้ว หึหึ ตับนุ่มๆเด้งๆผัดกับซอสขลุกขลิกๆคลุกข้าวสักหน่อย โอ๊ย แค่คิดก็หิวอีกแล้วว
และสำหรับใครที่ไม่อยากกินมื้อหนักๆ อยากมานั่งกินอะไรนิดๆหน่อยๆ ทางร้านก็มีเมนูเกี๊ยวซ่ามันบดทอดซอสมะเขือเทศ ที่จะเป็นเกี๊ยวซ่าทอดกรอบ ข้างในเป็นไส้มันบดนิ่มๆ คลุกซอสมะเขือเทศ ดูเหมือนจะเป็นของว่าง แต่กินๆไปก็แอบจุกเหมือนกันครับ
เมนูอื่นๆที่น่าสนใจก็มีทั้ง
คุโระซึโดริ ซึ่งจะคล้ายๆกับผัดเปรี้ยวหวาน แต่เปลี่ยนเป็นซอสดำแทน ไก่ทอดกรอบๆกับซอสดำเปรี้ยวอมหวานนิดๆกับผักสดต่างๆ
ทั้ง ข้าวโพด เห็ดหอม ถั่วลันเตา รสกลางๆกินได้เพลินๆครับผม
เอบิชิลลี่ ซึ่งจะเป็นกุ้งทอดกรอบคลุกกับซอสเผ็ดคล้ายๆซอสเสฉวน จนซึมเข้าไปในตัวกุ้ง
เป็นอาหารแบบที่กินกับข้าวได้เข้ากันดีมากๆ เพลินจนลืมตัวได้เลยทีเดียว
ไก่ทอดคาราอาเกะ เป็นเนื้อไก่ส่วนสะโพกทอดมากรอบๆกินกับเบียร์เป็นกับแกล้มชั้นดีเลยล่ะครับ
ขณะที่เรากำลังเพลี่ยงพล้ำจนมุม เรียกว่าหนังท้องเริ่มตึง เชฟซึ่งตั้งใจไม่ให้เราหนีรอดไปไหนได้ ก็ยกเจ้านี่ออกมาครับ
มันก็เกี๊ยวซ่าเหมือนเดิมน่ะแหละ แต่ทำไมดูแปลกๆไป ดูมันกรอบๆกว่าปกติ แถมยังมีกลิ่นหวานๆหอมๆโชยขึ้นมาด้วย เอ มันแปลกๆ
เจ้าเป็นใครกันแน่ เผยตัวออกมาซิ!
ถึงกับต้องให้ลงไม้ลงมือถึงจะรู้ว่ามันก็คือของหวานที่เชฟเค้าตั้งใจทำขึ้นมาโดยเฉพาะเลยครับ มันก็คือเกี๊ยวซ่าถั่วแดงทอด ทอดมากรอบๆราดน้ำผึ้ง ข้างในเป็นไส้ถั่วแดงกวนหวานๆ
ที่ต้องพูดถึงเยอะหน่อย เพราะอันนี้ถือเป็นเซอร์ไพร์สและไม้ตายของคุณเชฟเค้าเลยครับ
เพราะมันอร่อยมากกกกกกกกก
แบบมากกก มากกกกกกกกกกก กกกกกกก (พอ!)
เข้ากันแบบไม่รู้จะอธิบายยังไง ทั้งความกรอบ หอม หวานมันที่กลมกล่อมสุดยอด กินแล้วเพลินสุดๆ
(อ่ะ ป้อนให้อีกคำนึง แต่คำเดียวพอนะ ห้ามแย่งแล้วนะ)
กินอิ่มแล้วก็เดินชมบรรยากาศซักหน่อย (ตอนเข้ามาหิวหน้ามืด ไม่สนใจวิวเลย) พบว่าเป็นร้านขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่คับแคบ
เหมาะสำหรับมาฝากท้องได้ในช่วงกลางวัน และสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มเล็กๆได้ในช่วงหัวค่ำ
มีเครื่องดื่มอย่างเบียร์และสาเกบริการ ส่วนอาหารก็เชื่อมือได้เลยล่ะครับ
(ตอนนี้มีโปรโมชั่น ซื้อเกี๊ยวซ่า 1 ชุด แถม 1 ชุด ในช่วงเวลาบ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็น ด้วยนะครับ)
มีมุมการ์ตูนญี่ปุ่นด้วย เพลงที่เปิดในร้านก็เป็น Jpop แบบ Namie Amuro, AKB48
ใครที่อินๆกับวัฒนธรรม J-pop หน่อยนี่คงอยู่ได้ทั้งวัน
เจ้าวาฬน้อย เป็นกราฟฟิคน่ารักๆที่มีอยู่ทั้งร้าน ซึ่งทำให้บรรยากาศร่าเริง เหมาะแก่การสังสรรค์จริงๆฮะ
ผลการประลอง: คณะของเราก็พ่ายแพ้เกือบหมดรูป เพราะความหลากหลายของอาหาร ทั้ง ของว่าง สลัด กับแกล้มหรืออาหารจานหลัก โดยเฉพาะเกี๊ยวซ่าแบบที่ว่า World’s #1 Gyoza ไม่มีอะไรที่ทำให้ผิดหวังเลย เรื่องมาตรฐานแบบการผัดข้าวได้ขึ้นเม็ด เกี๊ยวซ่าสุกพอดี ผักสดกรอบหรือเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกพอดี อร่อยมากครับ
ถ่ายทอดวรยุทธ์: สำหรับคนที่ติดรสจัดๆหรือคาดหวังอาหารสไตล์จีนแท้ๆก็อาจจะต้องเตรียมใจไว้นิดนึง เพราะบอกอยู่แล้วว่านี่เป็นอาหารจีนสไตล์ญี่ปุ่น หรือโอซาก้าสไตล์นั่นเอง จึงอาจจะไม่ได้รสจัดเหมือนแบบดั้งเดิม ส่วนคนที่ชอบราเมน อาจจะผิดหวังสักหน่อย เพราะเป็นเมนูเดียวที่ต้องบอกว่ารสชาติธรรมดา กลางๆเลยล่ะครับ
เหมาะกับใคร: พนักงานออฟฟิศที่กำลังหาอะไรที่มันไม่จำเจกินในช่วงพักกลางวัน และเพื่อนกลุ่มเล็กๆที่อยากจะหาที่สังสรรค์ใกล้ๆที่ทำงานหรือย่านที่พักอาศัย ที่เดินทางได้สะดวก พร้อมกับอาหารที่ไว้ใจได้และบรรยากาศน่ารักๆล่ะครับ
ค่าเสียหาย: กลางๆสำหรับร้านในละแวกนี้ครับ ไม่มากไป กินมื้อเที่ยงพอไหวอยู่ครับ
จอมยุทธ์อ้วน: รายงาน
[SR] [SR] Osaka Ohsho: นั่งรถไฟฟ้า ไปเที่ยวโอซาก้าแบบรวบรัด ประลองยุทธ์ความอร่อยที่ธนิยะพลาซ่า
มาดูหน้าร้านกันก่อนฮะ สัญลักษณ์ของร้านหน้าตาแบบนี้ ถ้าเห็นแล้วล่ะก็ไม่มีพลาดแน่นอน
สาขาธนิยะหาง่ายมาก ยิ่งใครที่ใช้ชีวิตอยู่แถวๆนั้นคงนึกออก เพราะตัวร้านตั้งอยู่ในละแวกร้านอาหาร หน้าอาคารญาดา ลงมาจากบีทีเอสศาลาแดง ก็เดินเข้าซอยธนิยะมานิดนึง มองทางขวาก็จะเจอแล้วล่ะครับ
อะแฮ่ม แอบถ่ายอีกสักเล็กน้อย เหล่าเชฟกำลังขมักเขม้นทำอาหารกันอยู่เลยเชียว
วันนี้เราได้รับเกียรติจากคุณ Takeyatsu ซึ่งเป็น Head Chef และเป็นคนที่คิดค้นเมนูใหม่ที่เราจะกินวันนี้ มาแนะนำตัวร้านพร้อมทั้งแนะนำอาหารแต่ละเมนูด้วยตัวเองเลยล่ะครับ
ก่อนที่จะกินก็ต้องขอเล่าประวัติร้านกันก่อน ร้าน Osaka Ohsho นั้นโด่งดังมากในเรื่องของอาหารญี่ปุ่นสไตล์โอซาก้า กินแล้วเหมือนได้ไปโอซาก้าประมาณนั้นเลย หลักๆของอาหารสไตล์นี้ก็คือจะได้รับกลิ่นอายอาหารจีนมาค่อนข้างเยอะ จนเราสังเกตุได้จากเมนูหลักๆที่จะเป็นผัดผัก ข้าวผัด ออกจีนๆนิดนึง แต่ที่เป็นตัวชูโรงของ Osaka Ohsho ต้องยกให้เกี๊ยวซ่าครับ ความมั่นใจในรสชาตินี่สื่อออกมาทางสายตาเลยล่ะฮะ เชฟบอกว่าเขามั่นใจว่า Osaka Ohsho เป็น The World’s #1 เลยทีเดียว เพราะร้านในญี่ปุ่นเคยทำสถิติขายเกี๊ยวซ่าวันเดียว (ขีดเส้นใต้หนักๆว่าวันเดียวเท่านั้นนะ)
ถึง 1 ล้ า น ชิ้ น น น น น น นน น (เครื่องหมายอัศเจรีย์ล้านตัว)
เรียกว่าถ้าใครที่ชอบเกี๊ยวซ่าแล้วยังไม่เคยได้ลองชิม ถือว่าพลาดแล้วล่ะครับ
และอย่างที่เกริ่นไว้ว่าไม่มีที่ไหนเคยทำแบบนี้แน่นอน ทำเอาเรากินไปถามไปแทบทุกจาน เริ่มด้วยออเดิร์ฟอย่าง “ส้มตำสูตรโอซาก้า” . . . ตอนที่เราได้ยินชื่อเมนูนี้ครั้งแรก เราก็มองตากันเลิกลั่ก สงสัยกันว่า เอ๊ คุณ Takeyatsu แกเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าน้า เราก็พอรู้มาบ้างว่าโอซาก้านี่เขานับเป็นต่างจังหวัดของญี่ปุ่นเขา แต่มันมาใกล้กับอุบลฯ อุดรฯบ้านเฮาตอนไหนกัน ไหงมีส้มตำสูตรโอซาก้าซะด้วย ไปได้อิทธิพลกันมาตอนไหนเนี่ยยย
เก็บความสงสัยเอาไว้จนกระทั่งยกมาเสิร์ฟ พบว่าหน้าตามันค่อนไปทางสลัดมากกว่าส้มตำที่เราคุ้นๆกัน มีการโรยปลาแห้งคัตซึโอะอีกเล็กน้อยให้ฟีลอาหารญี่ปุ่น นอกจากนั้น คุณ Takeyatsu ยังบอกให้ตักส้มตำมาโปะบนเกี๊ยวซ่า เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม
โชว์หน้าตาอีกด้าน (ยังไม่มีใครกล้ากินเท่าไหร่ ฮา)
ขณะที่ยังมีคำถามอยู่ในใจมากมาย (แอบเกี่ยงๆกัน) หน่วยกล้าตายก็จ้วงลงไปแล้วล่ะครับ
จ้วงเสร็จก็เอาเข้าปากเคี้ยวเอาๆ ทั้งโต๊ะได้แต่มองเขาเป็นตาเดียว เหมือนช่วงกลั้นหายใจก่อนที่พระเอกจะเลือกตัดสายระเบิด
(อะไรจะขนาดนั้น)
“เฮ้ย อร่อยว่ะพี่”
จากนั้นก็หมดช่วงเวลาเขินอาย ถูกละลายพฤกติกรรมกันเรียบร้อยล่ะครับ ประมาณห้านาทีหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีกเลย (เพราะกลัวกินไม่ทัน) จนกระทั่งส้มตำเจ้าปัญหาของเราหมดเกลี้ยงชาม จึงได้มานั่งวิเคราะห์กัน (แหม กว่าจะได้ทำงาน) พบว่าส้มตำสูตรนี้กินง่ายกว่าที่เราคุ้นเคยกันครับ เพราะรสชาติอ่อนกว่า และออกไปทางยำมากกว่า ทำให้เหมาะกับกินเพื่อตัดเลี่ยนจากอาหารญี่ปุ่นมากๆ การกินพร้อมเกี๊ยวซ่ายังทำให้ได้รสชาติที่ชัดมากขึ้น (ตามที่เชฟบอกและอย่างที่หน่วยกล้าตายของเราแสดงให้เห็น) เพราะรสเปรี้ยวๆเผ็ดๆช่วยเสริมให้ความหอมอร่อยของเกี๊ยวซ่าให้ชัดมากขึ้น
จากนั้นก็ไปต่อกันที่ “ชิบาสึเกะชาฮัง” เป็นข้าวผัดผักดองแบบจีนๆหน่อย ผัดได้หอม เม็ดข้าวสวย ไม่แฉะหรือแห้งไป พอดีๆ กินเปล่าๆก็ได้ กินกับกับข้าวก็อร่อยครับ
และแล้วก็มาถึงพระเอกของเราาา “เกี๊ยวซ่าาาา” (อ้า อ้า อ้า ~ *ทำเสียงเอคโค่ประกอบด้วย*)
ในเมื่อเขาบอกว่านี่เป็นความภาคภูมิใจของเขา เราก็ต้องขอลองซักหน่อย
กินแล้วก็ต้องพยักหน้าหงึกๆขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เพราะเห็นด้วยว่าที่นี่เขาทำเกี๊ยวซ่าได้อร่อยจริงๆ ด้านบนก็นุ่มพอดี ไม่มีแป้งที่แข็งหรือเหนียวเลย ส่วนด้านล่างก็กรอบหอมกระทะมากๆ ในไส้ก็มีน้ำนิดๆพอชุ่มฉ่ำแบบเวลากัดไปแล้วรสชาติทะลักมา ให้อารมณ์กินอาหารฝีมืออากิยามะ จางเลยแหละ (เวอร์จริงๆ) น้ำจิ้มก็มีให้เลือกหลากหลายขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยครับ เพราะทางเชฟรู้ว่าคนไทยเบื่ออาหารรสกลางๆอ่อนๆแบบสไตล์ญี่ปุ่น จึงมีน้ำจิ้มให้เลือกถึง 6 อย่าง เลือกจิ้มกันได้ตามสบายเลย
(สำหรับคนชอบปรุง บนโต๊ะก็มีทั้งน้ำมันพริกเผา น้ำส้ม โชยุให้ลองปรับเปลี่ยนรสชาติได้ครับ อย่างท่านจอมยุทธ์ในรูป กว่าจะชักกระบี่มาคีบเกี๊ยวสักชิ้น ก็ปรุงไปประมาณครึ่งชั่วยามได้ฮะ) (แซวไม่กลัวซองขาวกันเลยทีเดียว)
และยังมีให้เลือกหลายไซส์ด้วยนะครับ ไซส์ตามรูปนี้นี่ตายไปเลยย จานขนาดนี้ผมว่าผู้ชายสามคนตัวใหญ่ๆ กินจนจุกได้เลย ผมไปกันแค่สองสามคน (น้องผู้หญิงด้วย) ผลคือ แทบกลิ้งขึ้นรถไฟฟ้าครับ ถ้าไปกินกันเองผมว่า คนละ 6 ชิ้นนี่ก็อิ่มกำลังดีแล้วล่ะฮะ
มาดูเมนูแบบกับข้าวที่เชฟเขาแนะนำกันบ้าง ก็มีทั้ง “เรบานิระ อิตาเมะ” เป็นผัดตับกับต้นหอมและถั่วงอก ซึ่งทำเครื่องในได้นุ่มมาก หอมมากกกก ไม่มีกลิ่นคาวเลย คนไม่ค่อยชอบกินเครื่องในโดนจานนี้ไปอาจจะเปลี่ยนใจได้เลย
ส่วนใครที่ชอบอยู่แล้ว หึหึ ตับนุ่มๆเด้งๆผัดกับซอสขลุกขลิกๆคลุกข้าวสักหน่อย โอ๊ย แค่คิดก็หิวอีกแล้วว
และสำหรับใครที่ไม่อยากกินมื้อหนักๆ อยากมานั่งกินอะไรนิดๆหน่อยๆ ทางร้านก็มีเมนูเกี๊ยวซ่ามันบดทอดซอสมะเขือเทศ ที่จะเป็นเกี๊ยวซ่าทอดกรอบ ข้างในเป็นไส้มันบดนิ่มๆ คลุกซอสมะเขือเทศ ดูเหมือนจะเป็นของว่าง แต่กินๆไปก็แอบจุกเหมือนกันครับ
เมนูอื่นๆที่น่าสนใจก็มีทั้ง
คุโระซึโดริ ซึ่งจะคล้ายๆกับผัดเปรี้ยวหวาน แต่เปลี่ยนเป็นซอสดำแทน ไก่ทอดกรอบๆกับซอสดำเปรี้ยวอมหวานนิดๆกับผักสดต่างๆ
ทั้ง ข้าวโพด เห็ดหอม ถั่วลันเตา รสกลางๆกินได้เพลินๆครับผม
เอบิชิลลี่ ซึ่งจะเป็นกุ้งทอดกรอบคลุกกับซอสเผ็ดคล้ายๆซอสเสฉวน จนซึมเข้าไปในตัวกุ้ง
เป็นอาหารแบบที่กินกับข้าวได้เข้ากันดีมากๆ เพลินจนลืมตัวได้เลยทีเดียว
ไก่ทอดคาราอาเกะ เป็นเนื้อไก่ส่วนสะโพกทอดมากรอบๆกินกับเบียร์เป็นกับแกล้มชั้นดีเลยล่ะครับ
ขณะที่เรากำลังเพลี่ยงพล้ำจนมุม เรียกว่าหนังท้องเริ่มตึง เชฟซึ่งตั้งใจไม่ให้เราหนีรอดไปไหนได้ ก็ยกเจ้านี่ออกมาครับ
มันก็เกี๊ยวซ่าเหมือนเดิมน่ะแหละ แต่ทำไมดูแปลกๆไป ดูมันกรอบๆกว่าปกติ แถมยังมีกลิ่นหวานๆหอมๆโชยขึ้นมาด้วย เอ มันแปลกๆ
เจ้าเป็นใครกันแน่ เผยตัวออกมาซิ!
ถึงกับต้องให้ลงไม้ลงมือถึงจะรู้ว่ามันก็คือของหวานที่เชฟเค้าตั้งใจทำขึ้นมาโดยเฉพาะเลยครับ มันก็คือเกี๊ยวซ่าถั่วแดงทอด ทอดมากรอบๆราดน้ำผึ้ง ข้างในเป็นไส้ถั่วแดงกวนหวานๆ
ที่ต้องพูดถึงเยอะหน่อย เพราะอันนี้ถือเป็นเซอร์ไพร์สและไม้ตายของคุณเชฟเค้าเลยครับ เพราะมันอร่อยมากกกกกกกกก
แบบมากกก มากกกกกกกกกกก กกกกกกก (พอ!)
เข้ากันแบบไม่รู้จะอธิบายยังไง ทั้งความกรอบ หอม หวานมันที่กลมกล่อมสุดยอด กินแล้วเพลินสุดๆ
(อ่ะ ป้อนให้อีกคำนึง แต่คำเดียวพอนะ ห้ามแย่งแล้วนะ)
กินอิ่มแล้วก็เดินชมบรรยากาศซักหน่อย (ตอนเข้ามาหิวหน้ามืด ไม่สนใจวิวเลย) พบว่าเป็นร้านขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่คับแคบ
เหมาะสำหรับมาฝากท้องได้ในช่วงกลางวัน และสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มเล็กๆได้ในช่วงหัวค่ำ
มีเครื่องดื่มอย่างเบียร์และสาเกบริการ ส่วนอาหารก็เชื่อมือได้เลยล่ะครับ
(ตอนนี้มีโปรโมชั่น ซื้อเกี๊ยวซ่า 1 ชุด แถม 1 ชุด ในช่วงเวลาบ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็น ด้วยนะครับ)
มีมุมการ์ตูนญี่ปุ่นด้วย เพลงที่เปิดในร้านก็เป็น Jpop แบบ Namie Amuro, AKB48
ใครที่อินๆกับวัฒนธรรม J-pop หน่อยนี่คงอยู่ได้ทั้งวัน
เจ้าวาฬน้อย เป็นกราฟฟิคน่ารักๆที่มีอยู่ทั้งร้าน ซึ่งทำให้บรรยากาศร่าเริง เหมาะแก่การสังสรรค์จริงๆฮะ
ผลการประลอง: คณะของเราก็พ่ายแพ้เกือบหมดรูป เพราะความหลากหลายของอาหาร ทั้ง ของว่าง สลัด กับแกล้มหรืออาหารจานหลัก โดยเฉพาะเกี๊ยวซ่าแบบที่ว่า World’s #1 Gyoza ไม่มีอะไรที่ทำให้ผิดหวังเลย เรื่องมาตรฐานแบบการผัดข้าวได้ขึ้นเม็ด เกี๊ยวซ่าสุกพอดี ผักสดกรอบหรือเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกพอดี อร่อยมากครับ
ถ่ายทอดวรยุทธ์: สำหรับคนที่ติดรสจัดๆหรือคาดหวังอาหารสไตล์จีนแท้ๆก็อาจจะต้องเตรียมใจไว้นิดนึง เพราะบอกอยู่แล้วว่านี่เป็นอาหารจีนสไตล์ญี่ปุ่น หรือโอซาก้าสไตล์นั่นเอง จึงอาจจะไม่ได้รสจัดเหมือนแบบดั้งเดิม ส่วนคนที่ชอบราเมน อาจจะผิดหวังสักหน่อย เพราะเป็นเมนูเดียวที่ต้องบอกว่ารสชาติธรรมดา กลางๆเลยล่ะครับ
เหมาะกับใคร: พนักงานออฟฟิศที่กำลังหาอะไรที่มันไม่จำเจกินในช่วงพักกลางวัน และเพื่อนกลุ่มเล็กๆที่อยากจะหาที่สังสรรค์ใกล้ๆที่ทำงานหรือย่านที่พักอาศัย ที่เดินทางได้สะดวก พร้อมกับอาหารที่ไว้ใจได้และบรรยากาศน่ารักๆล่ะครับ
ค่าเสียหาย: กลางๆสำหรับร้านในละแวกนี้ครับ ไม่มากไป กินมื้อเที่ยงพอไหวอยู่ครับ
จอมยุทธ์อ้วน: รายงาน
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น