เควนติน ทารันติโน่ คือใคร ?
เควนติน ทารันติโน่ คือผู้กำกับหนังที่มีความแปลก ดิบ ตลก แล้วก็มีความเก๋า ผสมผสานอยู่ในรูปแบบการนำเสนอในตัวภาพยนตร์ของเขา และด้วยเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องที่ไม่เหมือนใคร รวมไปถึงบทพูดจากตัวละครที่ไม่ค่อยปกติ คนก็เลยมักยกย่องเควนตินว่า เขาคือผู้กำกับหนังคัลท์
หนังคัลท์ :
หนังที่เอกลักษณ์ที่ชัดเจนและมีคนชอบเฉพาะกลุ่ม ไม่ได้หมายความว่าดีหรือไม่ดี ดังหรือไม่ดัง แต่จะมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ชื่นชอบ ติดตาม และดูดซับให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จนกลายเป็น subculture และ cult following ตามลำดับ คำว่า “หนังคัลท์” หรือ “Cult Movie” หรือ “Cult Classic” มีการใช้แทนด้วยคำว่า “ภาพยนตร์เกินวิสัย” ในภาษาไทยแต่ก็ไม่เป็นที่นิยมเท่าใดนัก > ตัดภาพไปที่ย่อหน้าถัดไป
คราวนี้กลับมาต่อกันที่เรื่องเดิมที่ “ความสนุก” ของภาพยนตร์ของเควนติน อย่างที่บอกไปเมื่อย่อหน้าที่แล้วว่า หนังแนวนี้จะสนุกเฉพาะกับคนบางกลุ่ม แต่ข้อดีของหนังเควนตินก็คือ ตัวเควนตินนั้นจะเป็นคนเขียนบทเอง ซึ่งบทหนังของเควนตินแต่ละครั้ง จะเต็มไปด้วยตัวละครประหลาดๆ ในสถานการณ์ประหลาด สถานที่ประหลาด และบทพูดที่คิดไม่ถึงว่าว่าตัวละครเหล่านี้มันโต้เถียงกันด้วยบทสนทนาอย่างนี้ได้ยังไง ซึ่งไม่ใช่ไม่ดี แต่ดีมาก มีความซับซ้อนและกวนประสาทปนอยู่ในนั้น หนังเควนเควนตินจึงสามารถสรุปได้ง่ายๆว่าเป็นหนังที่ กวนตีน และมี ความเก๋า ที่ผสมอยู่อย่างลงตัว เป็นความกวนตีนปนตลกร้าย ที่ไม่ได้ทำให้เรารำคาญ แต่เป็นความกวนทีนที่แสยะยิ้มใส่เราและพร้อมที่จะต่อยเราจนขากรรไกรหลุดได้ นั่นล่ะคือหนังของเควนติน
งง ใช่มั้ย ?
งั้น ... ช่างมัน
ความกวนทีนของ The Hateful Eight คือเริ่มเรื่องมาก็ประกาศบอกแล้วว่านี่คือหนังลำดับที่ 8 ของเควนติน ซึ่งถ้านับจริงๆก็จะไม่ใช่ลำดับที่ 8 ซะทีเดียว (จะกลายเป็นลำดับที่ 10) แต่ถ้าไม่นับหนังสั้น หนังทีวี หรือหนังที่ไปร่วมแจมกำกับรวมกับคนอื่น บวกกับนับ Kill Bill ทั้ง 2 ภาครวมเป็น 1 เรื่อง The Hateful Eight ก็คงจะเป็นหนังลำดับที่ 8 ที่เควนตินแถไถจะให้เป็นยังงั้นพอดิบพอดี และยิ่งไปกว่านั้นหนังเรื่องนี้เขายังถ่ายทำด้วยฟิลม์ 70 มม. แถมยังทำหนังออกมาให้มีความยาวถึง 3 ชั่วโมง 7 นาที ซึ่งเวอร์ชั่นนี้จะตระเวนฉายเฉพาะบางโรงภาพยนตร์ในอเมริกาเท่านั้น พร้อมกับแจกเสื้อยืดพิเศษที่มอบให้เฉพาะกับผู้ที่ได้รับชมอีกด้วย แต่สำหรับในเมืองไทย เวอร์ชั่นที่นำมาฉายนั้นจะถูกตัดออกไปประมาณ 20 นาที เหลือ 2 ชั่วโมง 47 นาที ซึ่งก็ถือว่าเกือบๆ 3 ชั่วโมง และระหว่างดูก็พอรู้สึกได้ว่าน่าจะตัดช่วงไหนออกไปบ้าง แต่หนังก็ยังคงความสนุกไว้อยู่ดี โดยเนื้อหาส่วนใหญ่หมดไปกับบทสนทนา ซึ่งเป็นบทสนทนาของตัวละคร 8 ตัวที่ถ้าไม่ใช่เควนตินก็คงพาตัวละครแบบนี้ 8 ตัวมาเจอกันได้ในสถานที่และสถานการณ์เดียวกัน แรงกดดัน ความกวนประสาท และอาวุธปืน ทำให้หนังเรื่องนี้มีความคล้ายกับเรื่อง Reservoir Dogs ที่เขาเขาเคยเขียนและกำกับไว้เมื่อปี 1992 แต่ก็ต่างกันหลักๆตรงที่ว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังคาวบอย แต่ถึงจะเป็นหนังคาวบอย นอกจากสำนวนภาษา การแต่งตัว และบรรยากาศของยุคสมัยแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ Django Unchained (2012) แต่อย่างใด แม้ว่าจะมี Samuel Jackson แสดงอยู่ในหนังทั้ง 2 เรื่องก็ตาม The Hateful Eight เป็นหนังที่อยู่ในสถานที่ปิด และเป็นการโต้ตอบบทสนทนาที่ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนคิดบทสนทนาบ้าๆในสถานการ์ณบ้าๆแบบนี้ได้ จากที่ตอนแรกที่คิดไว้ว่า 167 นาที คงมีบางช่วงที่แอบหนีไปเข้าห้องน้ำ หรือไม่ก็คงเผลอหลับไป กลับกลายเป็นว่าไม่มีเลย ตัวหนังมีแรงดึงดูดอย่างมากที่จะทำให้นั่งดูยาวๆได้ด้วยความเพลิดเพลินตั้งแต่ต้นจนจบภายในรวดเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ามหศจรรย์มาก (ไม่ได้ประชด) แต่ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าหนังของผู้กำกับ เควนติน ทารันติโน่ มักถูกจัดอยู่ในประเภทหนังคัลท์ ถ้าคุณดูแล้วไม่สนุก คุณก็แค่ไม่ คัลท์ และไม่ คูล เท่านั้นเอง
พีเหรียด.
ฝากเข้าไปอ่านใน blog ต่อได้ครับ :
https://nospoil.wordpress.com/
The H8teful Eight
เควนติน ทารันติโน่ คือใคร ?
เควนติน ทารันติโน่ คือผู้กำกับหนังที่มีความแปลก ดิบ ตลก แล้วก็มีความเก๋า ผสมผสานอยู่ในรูปแบบการนำเสนอในตัวภาพยนตร์ของเขา และด้วยเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องที่ไม่เหมือนใคร รวมไปถึงบทพูดจากตัวละครที่ไม่ค่อยปกติ คนก็เลยมักยกย่องเควนตินว่า เขาคือผู้กำกับหนังคัลท์
หนังคัลท์ :
หนังที่เอกลักษณ์ที่ชัดเจนและมีคนชอบเฉพาะกลุ่ม ไม่ได้หมายความว่าดีหรือไม่ดี ดังหรือไม่ดัง แต่จะมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ชื่นชอบ ติดตาม และดูดซับให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จนกลายเป็น subculture และ cult following ตามลำดับ คำว่า “หนังคัลท์” หรือ “Cult Movie” หรือ “Cult Classic” มีการใช้แทนด้วยคำว่า “ภาพยนตร์เกินวิสัย” ในภาษาไทยแต่ก็ไม่เป็นที่นิยมเท่าใดนัก > ตัดภาพไปที่ย่อหน้าถัดไป
คราวนี้กลับมาต่อกันที่เรื่องเดิมที่ “ความสนุก” ของภาพยนตร์ของเควนติน อย่างที่บอกไปเมื่อย่อหน้าที่แล้วว่า หนังแนวนี้จะสนุกเฉพาะกับคนบางกลุ่ม แต่ข้อดีของหนังเควนตินก็คือ ตัวเควนตินนั้นจะเป็นคนเขียนบทเอง ซึ่งบทหนังของเควนตินแต่ละครั้ง จะเต็มไปด้วยตัวละครประหลาดๆ ในสถานการณ์ประหลาด สถานที่ประหลาด และบทพูดที่คิดไม่ถึงว่าว่าตัวละครเหล่านี้มันโต้เถียงกันด้วยบทสนทนาอย่างนี้ได้ยังไง ซึ่งไม่ใช่ไม่ดี แต่ดีมาก มีความซับซ้อนและกวนประสาทปนอยู่ในนั้น หนังเควนเควนตินจึงสามารถสรุปได้ง่ายๆว่าเป็นหนังที่ กวนตีน และมี ความเก๋า ที่ผสมอยู่อย่างลงตัว เป็นความกวนตีนปนตลกร้าย ที่ไม่ได้ทำให้เรารำคาญ แต่เป็นความกวนทีนที่แสยะยิ้มใส่เราและพร้อมที่จะต่อยเราจนขากรรไกรหลุดได้ นั่นล่ะคือหนังของเควนติน
งง ใช่มั้ย ?
งั้น ... ช่างมัน
ความกวนทีนของ The Hateful Eight คือเริ่มเรื่องมาก็ประกาศบอกแล้วว่านี่คือหนังลำดับที่ 8 ของเควนติน ซึ่งถ้านับจริงๆก็จะไม่ใช่ลำดับที่ 8 ซะทีเดียว (จะกลายเป็นลำดับที่ 10) แต่ถ้าไม่นับหนังสั้น หนังทีวี หรือหนังที่ไปร่วมแจมกำกับรวมกับคนอื่น บวกกับนับ Kill Bill ทั้ง 2 ภาครวมเป็น 1 เรื่อง The Hateful Eight ก็คงจะเป็นหนังลำดับที่ 8 ที่เควนตินแถไถจะให้เป็นยังงั้นพอดิบพอดี และยิ่งไปกว่านั้นหนังเรื่องนี้เขายังถ่ายทำด้วยฟิลม์ 70 มม. แถมยังทำหนังออกมาให้มีความยาวถึง 3 ชั่วโมง 7 นาที ซึ่งเวอร์ชั่นนี้จะตระเวนฉายเฉพาะบางโรงภาพยนตร์ในอเมริกาเท่านั้น พร้อมกับแจกเสื้อยืดพิเศษที่มอบให้เฉพาะกับผู้ที่ได้รับชมอีกด้วย แต่สำหรับในเมืองไทย เวอร์ชั่นที่นำมาฉายนั้นจะถูกตัดออกไปประมาณ 20 นาที เหลือ 2 ชั่วโมง 47 นาที ซึ่งก็ถือว่าเกือบๆ 3 ชั่วโมง และระหว่างดูก็พอรู้สึกได้ว่าน่าจะตัดช่วงไหนออกไปบ้าง แต่หนังก็ยังคงความสนุกไว้อยู่ดี โดยเนื้อหาส่วนใหญ่หมดไปกับบทสนทนา ซึ่งเป็นบทสนทนาของตัวละคร 8 ตัวที่ถ้าไม่ใช่เควนตินก็คงพาตัวละครแบบนี้ 8 ตัวมาเจอกันได้ในสถานที่และสถานการณ์เดียวกัน แรงกดดัน ความกวนประสาท และอาวุธปืน ทำให้หนังเรื่องนี้มีความคล้ายกับเรื่อง Reservoir Dogs ที่เขาเขาเคยเขียนและกำกับไว้เมื่อปี 1992 แต่ก็ต่างกันหลักๆตรงที่ว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังคาวบอย แต่ถึงจะเป็นหนังคาวบอย นอกจากสำนวนภาษา การแต่งตัว และบรรยากาศของยุคสมัยแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ Django Unchained (2012) แต่อย่างใด แม้ว่าจะมี Samuel Jackson แสดงอยู่ในหนังทั้ง 2 เรื่องก็ตาม The Hateful Eight เป็นหนังที่อยู่ในสถานที่ปิด และเป็นการโต้ตอบบทสนทนาที่ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนคิดบทสนทนาบ้าๆในสถานการ์ณบ้าๆแบบนี้ได้ จากที่ตอนแรกที่คิดไว้ว่า 167 นาที คงมีบางช่วงที่แอบหนีไปเข้าห้องน้ำ หรือไม่ก็คงเผลอหลับไป กลับกลายเป็นว่าไม่มีเลย ตัวหนังมีแรงดึงดูดอย่างมากที่จะทำให้นั่งดูยาวๆได้ด้วยความเพลิดเพลินตั้งแต่ต้นจนจบภายในรวดเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ามหศจรรย์มาก (ไม่ได้ประชด) แต่ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าหนังของผู้กำกับ เควนติน ทารันติโน่ มักถูกจัดอยู่ในประเภทหนังคัลท์ ถ้าคุณดูแล้วไม่สนุก คุณก็แค่ไม่ คัลท์ และไม่ คูล เท่านั้นเอง
พีเหรียด.
ฝากเข้าไปอ่านใน blog ต่อได้ครับ :
https://nospoil.wordpress.com/