ผมมีโอกาสได้ไปฟังปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ไฟเย็น : ไฟแห่งพลังวรรณศิลป์ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์” โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ตรีศิลป์ บุญขจร ซึ่งเป็นการบรรยายเกี่ยวกับพัฒนาการวรรณกรรมของเสนีย์ เสาวพงศ์ ใน 5 ทศวรรษในมุมมองนวประวัติศาสตร์ (New Historicism) ซึ่งเป็นกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นเนื่องในวาระครบรอบ 104 ปีชาตกาล ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ที่จัดขึ้นเมื่อวันเสารที่ 2 มกราคม 2559 ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ผมจึงนำประเด็นที่ได้รับฟังมาเขียนสรุปเป็นรายละเอียดสำหรับท่านผู้ที่สนใจ
ในงานเริ่มต้นด้วยคุณสินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย กล่าวระลึกถึงท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ หลังจากนั้นเป็นปาฐกถาพิเศษโดย รองศาสตราจารย์ ดร. ตรีศิลป์ บุญขจร ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ (บางส่วนอาจขาดตกบกพร่องไปบ้าง เนื่องจากผมฟังและจดเชลเลอร์มาเขียนสรุป ไม่ใช่การเขียนจากการถอดเทปคำบรรยาย ดังนั้นถ้าส่วนใดผิดพลาดไปบ้าง ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)
อ.ตรีศิลป์บอกว่า
-สาเหตุที่เลือกเลือกงานของเสนีย์ เสาวพงศ์มาพูดก็เพราะว่า เสนีย์ เสาวพงศ์มีความผูกพันกับครอบครัวพนมยงค์มาโดยตลอด อีกทั้งทัศนคติ อุดมคติและอุดมการณ์ของเสนีย์ เสาวพงศ์นั้นเชื่อว่าท่านได้รับแรงบันดาลใจมาจากท่านปรีดี พนมยงค์
-เสนีย์ เสาวพงศ์ สร้างผลงานวรรณกรรมมาต่อเนื่องยาวนานเกิน 6 ทศวรรษ ส่วนใหญ่เป็นแนวนวประวัติศาสตร์ (นวนิยาย+ประวัติศาสตร์) คือเป็นงานเขียนที่พูดถึงประวัติศาสตร์ มีรายละเอียดหรือแนวความคิดที่อยู่ในช่วงเวลานั้น ๆ โดยไม่ใช่แค่งานบันเทิงเริงรมย์แต่เพียงอย่างเดียว
-นวประวัติศาสตร์ (New Historicism) เป็นวรรณกรรมที่บันทึกประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ยึดติดอยู่กับมิติของเวลาและสถานที่อย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมดแต่เชื่อว่าเป็นความเคลื่อนไหว,ความนึกคิด,วาทะกรรม ฯลฯ ซึ่งเกิดขึ้นในบริบทของคนในยุคสมัยนั้น ๆ
-ในการปาฐกถาครั้งนี้ อ.ตรีศิลป์ ให้หัวข้อว่า “ไฟเย็น : ไฟแห่งพลังวรรณศิลป์ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์” ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยงานของเสนีย์ เสาวพงศ์ โดยใช้คำว่า “ไฟ” เป็นคำที่มีพลัง เป็นไฟที่ส่องทางให้แสงสว่างไม่ใช่ไฟที่ล้างผลาญแต่อย่างใด
-นวนิยายเรื่องแรกของเสนีย์ เสาวพงศ์ ในปี 2489 เรื่อง “ชัยชนะของคนแพ้” เป็นผลงานวรรณกรรมแนวโมเดิร์น
-“ไฟเย็น” และ “บัวบานในอะมาซอน” เป็นวรรณกรรมในยุคอนานิคม (โพสโคโลเนียน) เป็นยุคที่คนขาวแสวงหาประโยชน์ด้วยการเข้าไปรังแกคนพื้นเมือง
-“คนดีศรีอยุธยา” เป็นนวนิยายแนวประวัติศาสตร์ เป็นประวัติศาสตร์ภาคประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องราวของชาวบ้านที่ร่วมกันต่อสู้เพื่อกู้เอกราช หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป
-ถือได้ว่าเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นผู้บุกเบิกหลาย ๆ กระแสในวงการวรรณกรรมไทย
-การศึกษาวรรณกรรมจะทำให้เราเข้าใจความคิดของคนในยุคนั้น ๆ ทำให้เข้าใจความรู้สึกของคน และนักเขียนก็จงใจบอกเราว่าคนเขานี้คิดอย่างไร? และมีพฤติกรรมอย่างไร? จึงอาจกล่าวได้ว่า วรรณกรรมไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นชุดความคิดของคนในช่วงเวลานั้น ๆ
-งานของเสนีย์ เสาวพงศ์ ส่วนใหญ่เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ของประชาชนตัวเล็กที่ตอบโต้อำนาจทางสังคมละการเมือง
-เริ่มต้นจากในทศวรรษแรก เรื่อง “ชัยชนะของคนแพ้” นั้นเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของคนตัวเล็ก ซึ่งเป็นใครสักคนที่มีบทบาทในสังคม ชื่อเรื่องเป็นการเปรียบเทียบที่ย้อนแย้ง (พาราด็อก คือ มีความขัดแย้งในตัวเอง) เป็นการเล่นกับภาษาเพื่อตอบโต้นโยบายในสมัยรัฐนิยมของจอมพล ป. ที่สั่งให้มีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เช่น การเขียน ที่เปลี่ยนแปลงอักขระอักษรไทย , การใช้สรรพนาม ฯลฯ
-ในเรื่อง “ชัยชนะของคนแพ้” 2486 เป็นเรื่องราวของตัวละครที่แพ้ในความรักแต่ชนะในอุดมการณ์
-มีเรื่องที่คล้ายคลึงกันคือเรื่อง “นักบุญ-คนบาป” ของอิสรา อมันตกุล ที่เขียนในลักษณะภาษาสะวิงเพื่อตอบโต้นโยบายรัฐนิยมเช่นกัน
-เสนีย์ เสาวพงศ์ ได้สร้างตัวละครหญิงที่เป็นอุดมคติขึ้นมา คือเป็นผู้หญิงที่เป็นต้นแบบทางความคิด เป็นการให้เกียรติผู้หญิง โดย มาเนีย เป็นตัวละครหญิงตัวแรกของเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นการเปิดประวัติศาสตร์ใหม่ให้แก่สตรี
-งานวรรณกรรมส่วนใหญ่ของเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นไพรัชนิยาย คือนวนิยายที่มีฉากอยู่ในต่างประเทศ
-เรื่อง “ชีวิตบนความตาย” เป็นนิยายขนาดสั้น เป็นเรื่องของเสรีไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เสนีย์ เสาวพงศ์ จงใจเขียนขึ้นให้มีขนาดสั้นเป็นแบบพ็อกเก็ตบุ๊คส์ (ขนาดเล็กเสียบกระเป๋าหลังได้) ที่ต่างประเทศกำลังนิยมกัน การเขียนใช้เทคนิคการเขียนแบบโค๊ตอัพ (ซูมเข้าไปใกล้ ๆ ) เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน เป็นเรื่องที่เขียนสำหรับนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ได้
-เรื่องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่เสนีย์ เสาวพงศ์ ให้ความสำคัญเสมอ
-ในทศวรรษที่ 2 เป็นเรื่องอุดมการณ์ของหนุ่มสาว ในเรื่อง “ปีศาจ” 2496 เป็นนวนิยายแนวเพื่อชีวิตแนวสัจจะนิยม , เรื่อง “ความรักของวัลยา” 2495 เป็นเรื่องความรักของคนหนุ่มสาว เป็นไพรัชนิยายที่เป็นฉากในต่างประเทศ เป็นเรื่องวาทะกรรมของคนที่รักในงานศิลปะ (วัลยาไปเรียนศิลปะที่ต่างประเทศ)
-ในเรื่อง “ปีศาจ” นั้น หนุ่มสาวคือปีศาจของการเปลี่ยนแปลง
-นวนิยายเรื่อง “ปีศาจ” ปัจจุบันได้รับการยกย่องให้เป็นวรรณกรรมแห่งชาติแล้ว ในเรื่องพูดถึงพลังของหนุ่มสาวในหลายชนชั้นที่ตะหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น ความหวังของสังคมอยู่ที่คนหนุ่มคนสาวนี้เอง
-ตัวละคร รัชนี ในเรื่อง “ปีศาจ” เป็นต้นแบบอุดมคติของนักศึกษาในเวลาต่อมา
-ในเรื่อง “ปีศาจ” มีการพูดถึงปัญหาของชาวนา พูดถึงเรื่องความกตัญญูกับความยุติธรรมของคนในชนบท ในเรื่องหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 กลุ่มคนข้าราชการมีความเข้มแข็งทางสังคมขึ้นมาแทนกลุ่มศักดินาเก่า (กลุ่มเจ้าฟ้าเจ้านาย) จึงเกิดมีปีศาจที่เป็นคนรุ่นใหม่ขึ้นมาขัดทานอำนาจ
-ในทศวรรษที่ 3 หลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ทำการปฏิวัติ (ปี 2500) เสนีย์ เสาวพงศ์ ไปเป็นนักการฑูตอยู่ในประเทศแถบอเมริกาใต้ ดังนั้นจึงได้เกิดผลงานคู่ขนานระหว่างสังคมไทยกับสังคมอเมริกาใต้ขึ้นมา ในเรื่อง “ไฟเย็น” และ “บัวบานในอะมาซอน” ถือว่าเป็นงานในยุคโพสต์โคโลเนียน ยุคอนานิคม
-ที่บอกว่าเป็นเรื่องคู่ขนานกันนั้นคือ เป็นเรื่องของคนที่มีอำนาจในสังคม ในเรื่องของอเมริกาใต้มีคนผิวขาวเข้าไปทำลายล้างพวกอินเดียนแดงที่เป็นคนพื้นถิ่นเก่า , ในไทยมีการทำรัฐประหาร มีการทำร้ายและจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
-ในเรื่อง “ไฟเย็น” เป็นเรื่องพลังของคนหนุ่มสาว เรื่องการปฏิวัติในอาเจนติน่า เรื่องที่ชาวอินเดียนแดงถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
-ในทศวรรษที่ 4 เป็นผลงานนวประวัติศาสตร์ เรื่อง “คนดีศรีอยุธยา” 2524 ในเรื่องพูดถึงประวัติศาสตร์บางส่วนที่ชาวบ้านอยุธยามีบทบาทในการต่อสู้กอบกู้เอกราชจากพม่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ในเชิงวรรณกรรม
-เรื่อง “ใต้ดาวมฤตยู” 2526 เรื่องนี้มีคนอ่านกันน้อย เป็นเรื่องการรื้อสร้างประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสาเหตุที่เกิดสงครามขึ้นก็เพราะว่าชนชาติหนึ่ง(เยอรมัน) เชื่อว่าตัวเขาเหนือกว่าอีกชนชาติหนึ่ง(ยิว) จึงต้องมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อแย่งสิทธิในการปกครองโลก ในเรื่องมีการบันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้มากพอสมควร
-ในทศวรรษที่ 5 ในเรื่อง “ดิน น้ำและดอกไม้” 2532 เป็นเรื่องของสตรีกับเสรีไทย เป็นการเสียสละเพื่อชาติในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นางเอกของเรื่องชื่อรสสุคนธ์ เป็นเรื่องที่สตรีร่วมสร้างประวัติศาสตร์สามัญชน ที่เขียนโดยกรรมวิธีแห่งนวนิยาย
-ในทศวรรษที่ 6 มีเรื่อง “เงาคน-บนเวลา และปฏิมาการ” 2555 เป็นเรื่องของแผ่นดินแม่ซึ่งภูมิลำเนาเดิม เป็นการกลับไปที่รากเหง้าแห่งชีวิตอีกครั้ง พูดถึงลุ่มแม่น้ำภาคกลางที่เสนีย์ เสาวพงศ์ ได้เกิดและเติบโตมา
-ดังนั้นอาจจะสรุปได้ว่า สิ่งที่พบในผลงานของเสนีย์ เสาวพงศ์ คือ
1. เสรีภาพในการแสดงออกเพื่อตอบโต้รัฐนิยมด้วยภาษาสำนวนสะวิง
2. ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่บันทึกโดยคนตัวเล็ก (คนธรรมดาในสังคม) ที่ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจที่จะมาครอบงำ
3. ให้ความสำคัญกับคนหนุ่มคนสาวเสมอ โดยเฉพาะพลังของสตรี ตัวละครเอกที่เป็นผู้หญิง มีบุคลิกและอุดมการณ์ที่เฉพาะตัว ถือว่าเป็นการให้เกียรติผู้หญิง
4. เห็นมิติของความรักในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ความรักของคนหนุ่มสาว , ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ , ความรักที่ไร้พรมแดน . ความรักที่เป็นมากกว่าความรักของของหนุ่มสาวธรรมดา ฯลฯ
5. ปฏิเสธอคติทางเชื้อชาติและการรุกรานจากประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ
6. เป็นนักเขียนที่มีพันธะกิจเป็น “คันฉ่องและโคมฉาย” ให้กับสังคมด้วย
7. ใช้พลังทางวรรณศิลป์เพื่อสะท้อนปัญหาสังคมด้วยสติปัญญา
อ.ตรีศิลป์ สรุปว่า
-พลังทางวรรณศิลป์ไม่ได้เป็นเพียงแค่พลังความรื่นรมย์ แต่สามารถส่องสะท้อนปัญหาและสามารถปลูกปัญญา สร้างจิตสำนึกและอุดมการณ์ที่ดีกว่าได้ วรรณกรรมของเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นวรรณศิลป์ที่ละเมียดละไม ภาษานั้นโดดเด่นด้วยลีลาและลุ่มลึกด้วยแนวคิดอันทรงพลัง เป็นพลังวรรณศิลป์ที่เปรียบได้ดั่งไฟเย็น เป็นไฟที่ไม่มีวันดับเพราะ “มันเย็นเหมือนไฟและหลั่งไหลเหมือนหิน ... เหมือนไฟของภูเขาที่จมลึกอยู่ใต้ดิน สงบเงียบและไร้ปากเสียง แต่มันคุโชนอยู่โดยฝนฟ้าพายุไม่อาจจะกล้ำกลายหรือเปลี่ยนสภาพของมันได้” (บางส่วนจากเรื่อง “ไฟเย็น”)
-วรรณกรรมของเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นเหมือนไฟเย็นที่ไม่ดับลงตามกาลเวลา เพราะเป็นไฟที่ส่องฉายข้ามเวลาให้เราได้เรียนรู้,ซึมซับและเห็นปัญหาซึ่งเป็นเหตุแห่งการเกิดขึ้นต่าง ๆ ถือว่าเป็นวรรณกรรมที่บันทึกปัญญาลงผ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ควรค่าสำหรับทุกคน
คุณสินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย กล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า
-สำหรับการเสวนาในวันนี้หวังว่าจะมีประโยชน์ในเชิงวรรณกรรม เมื่อได้เผยแพร่ออกไปผู้ที่สนใจในด้านวรรณศิลป์และวรรณกรรมคงจะได้ตามศึกษา ประเด็นของเสนีย์ เสาวพงศ์คงมีคนนำไปต่อยอดเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ในมุมมองต่าง ๆ ในลำดับต่อไป เพื่อเป็นประโยชน์แก่แนววรรณกรรมเพื่อสังคมเพื่อชีวิตเพื่อประชาชน
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมกระทู้นี้ ขอให้ท่านมีความสุขมาก ๆ ครับ
ไฟเย็น : ไฟแห่งพลังวรรณศิลป์ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์
ในงานเริ่มต้นด้วยคุณสินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย กล่าวระลึกถึงท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ หลังจากนั้นเป็นปาฐกถาพิเศษโดย รองศาสตราจารย์ ดร. ตรีศิลป์ บุญขจร ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ (บางส่วนอาจขาดตกบกพร่องไปบ้าง เนื่องจากผมฟังและจดเชลเลอร์มาเขียนสรุป ไม่ใช่การเขียนจากการถอดเทปคำบรรยาย ดังนั้นถ้าส่วนใดผิดพลาดไปบ้าง ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)
อ.ตรีศิลป์บอกว่า
-สาเหตุที่เลือกเลือกงานของเสนีย์ เสาวพงศ์มาพูดก็เพราะว่า เสนีย์ เสาวพงศ์มีความผูกพันกับครอบครัวพนมยงค์มาโดยตลอด อีกทั้งทัศนคติ อุดมคติและอุดมการณ์ของเสนีย์ เสาวพงศ์นั้นเชื่อว่าท่านได้รับแรงบันดาลใจมาจากท่านปรีดี พนมยงค์
-เสนีย์ เสาวพงศ์ สร้างผลงานวรรณกรรมมาต่อเนื่องยาวนานเกิน 6 ทศวรรษ ส่วนใหญ่เป็นแนวนวประวัติศาสตร์ (นวนิยาย+ประวัติศาสตร์) คือเป็นงานเขียนที่พูดถึงประวัติศาสตร์ มีรายละเอียดหรือแนวความคิดที่อยู่ในช่วงเวลานั้น ๆ โดยไม่ใช่แค่งานบันเทิงเริงรมย์แต่เพียงอย่างเดียว
-นวประวัติศาสตร์ (New Historicism) เป็นวรรณกรรมที่บันทึกประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ยึดติดอยู่กับมิติของเวลาและสถานที่อย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมดแต่เชื่อว่าเป็นความเคลื่อนไหว,ความนึกคิด,วาทะกรรม ฯลฯ ซึ่งเกิดขึ้นในบริบทของคนในยุคสมัยนั้น ๆ
-ในการปาฐกถาครั้งนี้ อ.ตรีศิลป์ ให้หัวข้อว่า “ไฟเย็น : ไฟแห่งพลังวรรณศิลป์ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์” ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยงานของเสนีย์ เสาวพงศ์ โดยใช้คำว่า “ไฟ” เป็นคำที่มีพลัง เป็นไฟที่ส่องทางให้แสงสว่างไม่ใช่ไฟที่ล้างผลาญแต่อย่างใด
-นวนิยายเรื่องแรกของเสนีย์ เสาวพงศ์ ในปี 2489 เรื่อง “ชัยชนะของคนแพ้” เป็นผลงานวรรณกรรมแนวโมเดิร์น
-“ไฟเย็น” และ “บัวบานในอะมาซอน” เป็นวรรณกรรมในยุคอนานิคม (โพสโคโลเนียน) เป็นยุคที่คนขาวแสวงหาประโยชน์ด้วยการเข้าไปรังแกคนพื้นเมือง
-“คนดีศรีอยุธยา” เป็นนวนิยายแนวประวัติศาสตร์ เป็นประวัติศาสตร์ภาคประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องราวของชาวบ้านที่ร่วมกันต่อสู้เพื่อกู้เอกราช หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป
-ถือได้ว่าเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นผู้บุกเบิกหลาย ๆ กระแสในวงการวรรณกรรมไทย
-การศึกษาวรรณกรรมจะทำให้เราเข้าใจความคิดของคนในยุคนั้น ๆ ทำให้เข้าใจความรู้สึกของคน และนักเขียนก็จงใจบอกเราว่าคนเขานี้คิดอย่างไร? และมีพฤติกรรมอย่างไร? จึงอาจกล่าวได้ว่า วรรณกรรมไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นชุดความคิดของคนในช่วงเวลานั้น ๆ
-งานของเสนีย์ เสาวพงศ์ ส่วนใหญ่เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ของประชาชนตัวเล็กที่ตอบโต้อำนาจทางสังคมละการเมือง
-เริ่มต้นจากในทศวรรษแรก เรื่อง “ชัยชนะของคนแพ้” นั้นเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของคนตัวเล็ก ซึ่งเป็นใครสักคนที่มีบทบาทในสังคม ชื่อเรื่องเป็นการเปรียบเทียบที่ย้อนแย้ง (พาราด็อก คือ มีความขัดแย้งในตัวเอง) เป็นการเล่นกับภาษาเพื่อตอบโต้นโยบายในสมัยรัฐนิยมของจอมพล ป. ที่สั่งให้มีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เช่น การเขียน ที่เปลี่ยนแปลงอักขระอักษรไทย , การใช้สรรพนาม ฯลฯ
-ในเรื่อง “ชัยชนะของคนแพ้” 2486 เป็นเรื่องราวของตัวละครที่แพ้ในความรักแต่ชนะในอุดมการณ์
-มีเรื่องที่คล้ายคลึงกันคือเรื่อง “นักบุญ-คนบาป” ของอิสรา อมันตกุล ที่เขียนในลักษณะภาษาสะวิงเพื่อตอบโต้นโยบายรัฐนิยมเช่นกัน
-เสนีย์ เสาวพงศ์ ได้สร้างตัวละครหญิงที่เป็นอุดมคติขึ้นมา คือเป็นผู้หญิงที่เป็นต้นแบบทางความคิด เป็นการให้เกียรติผู้หญิง โดย มาเนีย เป็นตัวละครหญิงตัวแรกของเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นการเปิดประวัติศาสตร์ใหม่ให้แก่สตรี
-งานวรรณกรรมส่วนใหญ่ของเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นไพรัชนิยาย คือนวนิยายที่มีฉากอยู่ในต่างประเทศ
-เรื่อง “ชีวิตบนความตาย” เป็นนิยายขนาดสั้น เป็นเรื่องของเสรีไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เสนีย์ เสาวพงศ์ จงใจเขียนขึ้นให้มีขนาดสั้นเป็นแบบพ็อกเก็ตบุ๊คส์ (ขนาดเล็กเสียบกระเป๋าหลังได้) ที่ต่างประเทศกำลังนิยมกัน การเขียนใช้เทคนิคการเขียนแบบโค๊ตอัพ (ซูมเข้าไปใกล้ ๆ ) เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน เป็นเรื่องที่เขียนสำหรับนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ได้
-เรื่องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่เสนีย์ เสาวพงศ์ ให้ความสำคัญเสมอ
-ในทศวรรษที่ 2 เป็นเรื่องอุดมการณ์ของหนุ่มสาว ในเรื่อง “ปีศาจ” 2496 เป็นนวนิยายแนวเพื่อชีวิตแนวสัจจะนิยม , เรื่อง “ความรักของวัลยา” 2495 เป็นเรื่องความรักของคนหนุ่มสาว เป็นไพรัชนิยายที่เป็นฉากในต่างประเทศ เป็นเรื่องวาทะกรรมของคนที่รักในงานศิลปะ (วัลยาไปเรียนศิลปะที่ต่างประเทศ)
-ในเรื่อง “ปีศาจ” นั้น หนุ่มสาวคือปีศาจของการเปลี่ยนแปลง
-นวนิยายเรื่อง “ปีศาจ” ปัจจุบันได้รับการยกย่องให้เป็นวรรณกรรมแห่งชาติแล้ว ในเรื่องพูดถึงพลังของหนุ่มสาวในหลายชนชั้นที่ตะหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น ความหวังของสังคมอยู่ที่คนหนุ่มคนสาวนี้เอง
-ตัวละคร รัชนี ในเรื่อง “ปีศาจ” เป็นต้นแบบอุดมคติของนักศึกษาในเวลาต่อมา
-ในเรื่อง “ปีศาจ” มีการพูดถึงปัญหาของชาวนา พูดถึงเรื่องความกตัญญูกับความยุติธรรมของคนในชนบท ในเรื่องหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 กลุ่มคนข้าราชการมีความเข้มแข็งทางสังคมขึ้นมาแทนกลุ่มศักดินาเก่า (กลุ่มเจ้าฟ้าเจ้านาย) จึงเกิดมีปีศาจที่เป็นคนรุ่นใหม่ขึ้นมาขัดทานอำนาจ
-ในทศวรรษที่ 3 หลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ทำการปฏิวัติ (ปี 2500) เสนีย์ เสาวพงศ์ ไปเป็นนักการฑูตอยู่ในประเทศแถบอเมริกาใต้ ดังนั้นจึงได้เกิดผลงานคู่ขนานระหว่างสังคมไทยกับสังคมอเมริกาใต้ขึ้นมา ในเรื่อง “ไฟเย็น” และ “บัวบานในอะมาซอน” ถือว่าเป็นงานในยุคโพสต์โคโลเนียน ยุคอนานิคม
-ที่บอกว่าเป็นเรื่องคู่ขนานกันนั้นคือ เป็นเรื่องของคนที่มีอำนาจในสังคม ในเรื่องของอเมริกาใต้มีคนผิวขาวเข้าไปทำลายล้างพวกอินเดียนแดงที่เป็นคนพื้นถิ่นเก่า , ในไทยมีการทำรัฐประหาร มีการทำร้ายและจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
-ในเรื่อง “ไฟเย็น” เป็นเรื่องพลังของคนหนุ่มสาว เรื่องการปฏิวัติในอาเจนติน่า เรื่องที่ชาวอินเดียนแดงถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
-ในทศวรรษที่ 4 เป็นผลงานนวประวัติศาสตร์ เรื่อง “คนดีศรีอยุธยา” 2524 ในเรื่องพูดถึงประวัติศาสตร์บางส่วนที่ชาวบ้านอยุธยามีบทบาทในการต่อสู้กอบกู้เอกราชจากพม่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ในเชิงวรรณกรรม
-เรื่อง “ใต้ดาวมฤตยู” 2526 เรื่องนี้มีคนอ่านกันน้อย เป็นเรื่องการรื้อสร้างประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสาเหตุที่เกิดสงครามขึ้นก็เพราะว่าชนชาติหนึ่ง(เยอรมัน) เชื่อว่าตัวเขาเหนือกว่าอีกชนชาติหนึ่ง(ยิว) จึงต้องมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อแย่งสิทธิในการปกครองโลก ในเรื่องมีการบันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้มากพอสมควร
-ในทศวรรษที่ 5 ในเรื่อง “ดิน น้ำและดอกไม้” 2532 เป็นเรื่องของสตรีกับเสรีไทย เป็นการเสียสละเพื่อชาติในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นางเอกของเรื่องชื่อรสสุคนธ์ เป็นเรื่องที่สตรีร่วมสร้างประวัติศาสตร์สามัญชน ที่เขียนโดยกรรมวิธีแห่งนวนิยาย
-ในทศวรรษที่ 6 มีเรื่อง “เงาคน-บนเวลา และปฏิมาการ” 2555 เป็นเรื่องของแผ่นดินแม่ซึ่งภูมิลำเนาเดิม เป็นการกลับไปที่รากเหง้าแห่งชีวิตอีกครั้ง พูดถึงลุ่มแม่น้ำภาคกลางที่เสนีย์ เสาวพงศ์ ได้เกิดและเติบโตมา
-ดังนั้นอาจจะสรุปได้ว่า สิ่งที่พบในผลงานของเสนีย์ เสาวพงศ์ คือ
1. เสรีภาพในการแสดงออกเพื่อตอบโต้รัฐนิยมด้วยภาษาสำนวนสะวิง
2. ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่บันทึกโดยคนตัวเล็ก (คนธรรมดาในสังคม) ที่ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจที่จะมาครอบงำ
3. ให้ความสำคัญกับคนหนุ่มคนสาวเสมอ โดยเฉพาะพลังของสตรี ตัวละครเอกที่เป็นผู้หญิง มีบุคลิกและอุดมการณ์ที่เฉพาะตัว ถือว่าเป็นการให้เกียรติผู้หญิง
4. เห็นมิติของความรักในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ความรักของคนหนุ่มสาว , ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ , ความรักที่ไร้พรมแดน . ความรักที่เป็นมากกว่าความรักของของหนุ่มสาวธรรมดา ฯลฯ
5. ปฏิเสธอคติทางเชื้อชาติและการรุกรานจากประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ
6. เป็นนักเขียนที่มีพันธะกิจเป็น “คันฉ่องและโคมฉาย” ให้กับสังคมด้วย
7. ใช้พลังทางวรรณศิลป์เพื่อสะท้อนปัญหาสังคมด้วยสติปัญญา
อ.ตรีศิลป์ สรุปว่า
-พลังทางวรรณศิลป์ไม่ได้เป็นเพียงแค่พลังความรื่นรมย์ แต่สามารถส่องสะท้อนปัญหาและสามารถปลูกปัญญา สร้างจิตสำนึกและอุดมการณ์ที่ดีกว่าได้ วรรณกรรมของเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นวรรณศิลป์ที่ละเมียดละไม ภาษานั้นโดดเด่นด้วยลีลาและลุ่มลึกด้วยแนวคิดอันทรงพลัง เป็นพลังวรรณศิลป์ที่เปรียบได้ดั่งไฟเย็น เป็นไฟที่ไม่มีวันดับเพราะ “มันเย็นเหมือนไฟและหลั่งไหลเหมือนหิน ... เหมือนไฟของภูเขาที่จมลึกอยู่ใต้ดิน สงบเงียบและไร้ปากเสียง แต่มันคุโชนอยู่โดยฝนฟ้าพายุไม่อาจจะกล้ำกลายหรือเปลี่ยนสภาพของมันได้” (บางส่วนจากเรื่อง “ไฟเย็น”)
-วรรณกรรมของเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นเหมือนไฟเย็นที่ไม่ดับลงตามกาลเวลา เพราะเป็นไฟที่ส่องฉายข้ามเวลาให้เราได้เรียนรู้,ซึมซับและเห็นปัญหาซึ่งเป็นเหตุแห่งการเกิดขึ้นต่าง ๆ ถือว่าเป็นวรรณกรรมที่บันทึกปัญญาลงผ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ควรค่าสำหรับทุกคน
คุณสินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย กล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า
-สำหรับการเสวนาในวันนี้หวังว่าจะมีประโยชน์ในเชิงวรรณกรรม เมื่อได้เผยแพร่ออกไปผู้ที่สนใจในด้านวรรณศิลป์และวรรณกรรมคงจะได้ตามศึกษา ประเด็นของเสนีย์ เสาวพงศ์คงมีคนนำไปต่อยอดเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ในมุมมองต่าง ๆ ในลำดับต่อไป เพื่อเป็นประโยชน์แก่แนววรรณกรรมเพื่อสังคมเพื่อชีวิตเพื่อประชาชน
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมกระทู้นี้ ขอให้ท่านมีความสุขมาก ๆ ครับ