... "ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านชื่อว่า เป็นผู้ขโมยกลิ่น" ...

ขอกราบไหว้พระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

------------------

อรรถกถา อุปสิงฆปุปผกชาดก
คนดีไม่ควรทำชั่วแม้นิดหน่อย
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=944&p=1

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยเมตํ ดังนี้.

               ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้น เมื่อออกจากพระวิหารเชตวันไปอาศัยอยู่ป่าแห่งใดแห่งหนึ่ง ในโกศลรัฐ
               วันหนึ่ง ลงไปสู่สระบัวเห็นดอกบัวบานงาม จึงไปยืนดมดอกไม้อยู่ใต้ลม.

               ลำดับนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ที่ไพรสณฑ์นั้น จึงให้ท่านสลดใจว่า
               ข้าแต่ท่านผู้เช่นกับด้วยเรา ท่านชื่อว่าเป็นผู้ขโมยกลิ่น ความคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งประเสริฐ เป็นองค์ ๑ ของการขโมย.

               เธอเป็นผู้ที่เทวดานั้นให้สลดใจแล้ว จึงมาที่พระเชตวันอีก ถวายบังคมพระศาสดา แล้วนั่งอยู่ ถูกพระศาสดาตรัสถามว่า
               ดูก่อนภิกษุเธออยู่ที่ไหน? ทูลว่า อยู่ที่ไพรสณฑ์ชื่อโน้น เทวดาที่ไพรสณฑ์นั้นนั่นเองให้ข้าพระองค์สลดใจอย่างนี้.

i
i
i

พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค



ปทุมปุบผสูตร


[๗๙๕] สมัยหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล
สมัยนั้นแล ภิกษุนั้นกลับจากบิณฑบาตภายหลังเวลาฉัน ลงสู่สระโบกขรณี แล้วสูดดมดอกปทุม ฯ


[๗๙๖] ครั้งนั้นแล เทวดาผู้สิงอยู่ในแนวป่านั้น มีความเอ็นดู ใคร่ประโยชน์แก่ภิกษุนั้น
หวังจะให้เธอสลด จึงเข้าไปหาถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะเธอด้วยคาถาว่า


ท่านสูดดมดอกไม้ที่เกิดในน้ำซึ่งใครๆ ไม่ได้ให้แล้ว
นี้เป็นองค์อันหนึ่งแห่งความเป็นขโมย
ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นผู้ขโมยกลิ่น ฯ



[๗๙๗] ภิ. เราไม่ได้นำไป เราไม่ได้หัก เราดมดอกไม้ที่เกิดในน้ำห่างๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะเรียกว่าเป็นผู้ขโมยกลิ่นด้วยเหตุดังรือ
ส่วนบุคคลที่ขุดเหง้าบัว หักดอกบัวบุณฑริก เป็นผู้มีการงานอันเกลื่อนกล่นอย่างนี้
ไฉนท่านจึงไม่เรียกเขาว่าเป็นขโมย ฯ



[๗๙๘] เท. บุรุษผู้มีบาปหนา แปดเปื้อนด้วยราคาทิกิเลสเกินเหตุ เราไม่พูดถึงคนนั้น
แต่เราควรจะกล่าวกะท่าน
บาปประมาณเท่าปลายขนทราย ย่อมปรากฏประดุจเท่าก้อนเมฆในนภากาศ
แก่บุรุษผู้ไม่มีกิเลสดังว่าเนิน ผู้มักแสวงหาไตรสิกขาอันสะอาดเป็นนิจ ฯ




[๗๙๙] ภิ. ดูก่อนเทวดา ท่านรู้จักเราแน่ละ และท่านเอ็นดูเรา
ดูก่อนเทวดา ท่านเห็นกรรมเช่นนี้ในกาลใด ท่านพึงกล่าวอีก [ในกาลนั้น] เถิด ฯ



[๘๐๐] เราไม่ได้อาศัยท่านเป็นอยู่เลย และเราไม่ได้มีความเจริญเพราะท่าน
ดูก่อนภิกษุ ท่านพึงไปสุคติได้ด้วยกรรมที่ท่านพึงรู้ ฯ



ลำดับนั้นแล ภิกษุนั้นเป็นผู้อันเทวดานั้นให้สลด ถึงซึ่งความสังเวชแล้วแล ฯ



เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  บรรทัดที่ ๖๕๙๑ - ๖๖๒๖.  หน้าที่  ๒๘๓ - ๒๘๕.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=15&A=6591&Z=6626&pagebreak=0

ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=795

ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
[795-800] http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali.php?B=15&A=795&Z=800



อรรถกถาปทุมปุปผสูตร
(บางส่วน)

บทว่า อชฺฌภาสิ ความว่า เทวดานั้นเห็นภิกษุนั้นจับก้านดอกบัวน้อมมา (ดม) จึงคิดว่า
ภิกษุนี้เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระศาสดาแล้วเข้าป่า เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม จะพิจารณาเอากลิ่นเป็นอารมณ์
ภิกษุนี้นั้น วันนี้ดมกลิ่นแล้ว แม้ในวันพรุ่งนี้ แม้ในวันมะรืนนี้ก็จักดมกลิ่น ตัณหาในกลิ่นนั้นของภิกษุนั้น เพิ่มพูนขึ้นแล้ว
จักยังประโยชน์ในชาตินี้และในชาติหน้าให้พินาศ เมื่อเราเห็นอยู่ ภิกษุนี้อย่าพินาศเลย เราจักเตือนท่าน ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปพูด.

บทว่า เอกงฺคเมตํ เถยฺยานํ ความว่า นี้เป็นองค์หนึ่ง คือเป็นส่วนหนึ่งแห่ง ๕ ส่วนมีรูปารมณ์เป็นต้นที่พึงลักเอา.

บทว่า ยฺวายํ ตัดบทว่า โย อยํ (แปลว่า นี้ ใด). ได้ยินว่า เมื่อภิกษุนั้นกำลังพูดกับเทวดา ดาบสคนหนึ่งก็ลงไปขุดเหง้าบัวเป็นต้น.

i
i
i


               ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ไม่ใช่แต่เธอเท่านั้นที่ดมดอกไม้อยู่ ถูกเทวดาให้สลดใจ
               แม้บัณฑิตในกาลก่อนทั้งหลาย เทวดาก็เคยให้สลดใจมาแล้วเหมือนกัน เป็นผู้ที่ภิกษุนั้นทูลอ้อนวอนแล้ว
               จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-

               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี
               พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ที่หมู่บ้านในแคว้นกาสี ตำบลหนึ่ง เติบโตแล้วได้เรียนศิลปะในเมืองตักกสิลา
               ต่อมาได้บวชเป็นฤๅษี เข้าไปอาศัยสระบัวแห่งหนึ่งอยู่ วันหนึ่งลงไปสระนั้น ได้ยืนดมดอกบัวที่บานงดงาม.

               ครั้งนั้น เทพธิดาตนหนึ่งสถิตอยู่ที่ลำต้นต้นไม้ .....




พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑


๗. อุปสิงฆปุปผกชาดก
ว่าด้วยคนดีไม่ควรทำชั่วแม้นิดหน่อย



             [๙๔๔]     การที่ท่านเข้าไปสูดดมกลิ่นดอกบัวที่เขายังมิได้ให้ นี้เป็นส่วนแห่งการ
                          ขโมยอย่างหนึ่ง ดูกรท่านผู้นิรทุกข์ ท่านชื่อว่า เป็นผู้ขโมยกลิ่น.

             [๙๔๕]     เราไม่ได้นำเอาไป ไม่ได้บริโภค เรายืนดมดอกบัวอยู่ในที่ไกล เมื่อเป็น
                          เช่นนั้น เหตุไฉน ท่านจึงกล่าวว่า เราเป็นผู้ขโมยกลิ่นดอกบัวเล่า?

             [๙๔๖]     บุรุษใด มาขุดเหง้าบัวทั้งหลาย เด็ดเอาดอกบัวไป เพราะเหตุไร ท่านจึง
                          ไม่ว่ากล่าวบุรุษนั้น ผู้ทำกรรมหยาบช้าอย่างนี้เล่า?

             [๙๔๗]     บุรุษผู้หยาบช้า โหดร้าย แปดเปื้อนไปด้วยบาป เหมือนผ้านุ่งของ
                          แม่นม ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ว่ากล่าวบุรุษนั้น แต่ข้าพเจ้า
                          ปรารถนาจะว่ากล่าวท่าน ผู้ทำกรรมไม่สมควร.

             [๙๔๘]     บาปเพียงเท่าปลายขนทราย ย่อมปรากฏแก่บุรุษผู้ไม่มีโทษเหมือนท่าน
                          แสวงหาความสะอาดอยู่เป็นนิตย์ เหมือนเท่ามหาเมฆ ฉะนั้น.

             [๙๔๙]     ดูกรเทวดา ท่านรู้จักเรา และอนุเคราะห์เราโดยแท้ ท่านเห็นโทษเช่นนี้
                          ของเรา เมื่อใด ขอท่านจงตักเตือนเราแม้อีก เมื่อนั้น.

             [๙๕๐]     ข้าพเจ้าไม่ได้อาศัยท่านเลี้ยงชีพ และไม่เป็นลูกจ้างของท่าน ดูกรภิกษุ
                          ท่านนั้นแล พึงรู้การกระทำอันเป็นเหตุให้ไปสู่สุคติ

             จบ อุปสิงฆปุปผกชาดกที่ ๗.

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗  บรรทัดที่ ๔๑๙๔ - ๔๒๑๑.  หน้าที่  ๑๙๘.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=4194&Z=4211&pagebreak=0

ศึกษาอรรถกถาชาดกนี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=944

ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
[944-950] http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali.php?B=27&A=944&Z=950



               [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้




มาวมญฺเญถ ปาปสฺส        น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน        อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
อาปูรติ พาโล ปาปสฺส        โถกํ โถกํปิ อาจินํ.


บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบาปว่า ‘บาปมีประมาณน้อยจักไม่มาถึง’
แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลง (ทีละหยาดๆ) ได้ฉันใด
ชนพาลเมื่อสั่งสมบาปแม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มด้วยบาปได้ฉันนั้น.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=19&p=5


.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่