11. ซาลส์บูร์ก
คนเข็นกระเป๋าออกมายังสถานีรถไฟหลักของเมืองมิวนิคโดยแวะซื้อขนมปังกับเนื้อหมูย่าง 1 ชิ้นก่อนจะตรงไปยังชานชาลาที่ 11 เพื่อขึ้นรถไฟไปซาลส์บูร์ก ประเทศออสเตรีย รถไฟจอดรออยู่แล้วเช่นกันโดยขบวนที่เราขึ้นไปนั้นเป็นรถไฟระหว่างประเทศขบวนยาววิ่งระหว่างเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมันไปถึงเมืองซาลสูบูร์ก ประเทศออสเตรียโดยไม่ต้องไปเปลี่ยนขบวนที่ไหนเลยนั่งรวดเดียว ซึ่งก็สะดวกดีไม่ต้องย้ายกระเป๋าไปมา พวกเราเดินหาตู้โดยสารสำหรับผู้โดยสารชั้นสองจากนั้นขึ้นไปหาที่นั่งก่อนโดยเลือกตู้ที่มีพื้นที่สำหรับจักรยาน หรือรถเข็นเด็ก เพื่อไว้วางกระเป๋าขนาดใหญ่ 2 ใบของพวกเรา
โดยเราเอาที่ล็อกอุปกรณ์การเล่นสกีมาล็อกกระเป๋าไว้ไม่ให้เลื่อนไปมาตามแรงเคลื่อนของรถไฟ ไม่อยากวางนอนเพราะอาจจะเกะกะคนอื่นๆ ที่ทยอยขึ้นรถไฟมาเรื่อยๆ รถไฟออกตอนเวลา 9:55 น. พอดิบพอดีเลย ช่วง 2 – 3 สถานีแรกๆ ก็ยังพอมีที่นั่งว่างๆ อยู่ แต่พอผ่านไปหลายสถานีคนก็ทยอยขึ้นมากันเรื่อยๆ จนแทบไม่มีที่นั่ง รถวิ่งยาวๆ แบบนี้จะมีตู้โดยสารที่เปลี่ยนสภาพเป็นเป็นห้องอาหารแบบจริงจังมีทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างแบบที่ร้านอาหารควรจะมี แต่ราคาสูงกว่าร้านอาหารที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้พอสมควร ผมกับภรรยาเลยได้แค่กาแฟร้อนติดมือมาเท่านั้นและขอเดินกลับมาทานขนมปังที่ซื้อเอาไว้รองท้องดีกว่า เพราะว่า 11:41 น. ก็ถึงซาลส์บูร์กแล้ว
ทิวทัศน์สองข้างทางรถไฟนี่ก็สวยงามตลอดเช่นกัน แม้ว่าทิวทัศน์จะดูคล้ายๆ กับเส้นทางจากซูริคมามิวนิค และจากมิวนิคไปฟุสเซ่น เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ทุ่งหญ้า กับบ้านแบบ 1 – 2 ชั้นสีขาว หลังคาสีน้ำตาล หรือดำเท่านั้น แต่ก็เพลินดี เพราะว่านั่งรถไฟในประเทศไทยคงไม่สามารถเห็นทิวทัศน์แบบนี้ได้แน่ๆ ระหว่างนั่งบนรถไฟก็จดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาเพื่อกันลืมแบบที่ทำประจำทุกครั้งที่เดินทาง และเป็นเครื่องเตือนความจำเวลาต้องมาเขียนบันทึก หรือว่าลงบล็อกแบ่งปันแบบนี้
รถไฟจอดที่ชานชาลาในสถานีรถไฟหลักเมืองซาลส์บูร์กตอน 11:41 น. พอดิบพอดี เข็นกระเป๋าจากชานชาลาเข้าสถานี และหยิบแฟ้มคู่ชีพออกมาเพื่อเอาใบจองโรงแรมที่ได้รับมาจากทาง Booking.com แต่เมื่อเดินเข้ามาส่วนที่เป็นร้านค้าของสถานีก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติไป เพราะมีทหารในเครื่องแบบเดินกันไปมาหลายกลุ่มๆ ละ 2 - 3 คน พวกเราเลยถือโอกาสถามทางไปโรงแรม Ramada Hotel Salzburg City Centre จากทหารคนหนึ่ง ปรากฎว่าคุณพี่ทหารบอกว่าแกไม่ใช่คนที่นี่ ดังนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าโรงแรมนี้อยู่ที่ไหน พวกเราเลยเสี่ยงเดินออกมาจากตัวอาคารสถานีในทิศทางที่คาดว่าจะออกมายังโรงแรมได้ ปรากฏว่าออกจากชายคาสถานีมาก็เจอกับโรงแรมเลย โรงแรมนี้แทบจะเป็นส่วนเดียวกับอาคารสถานีเลย
ที่หน้าทางออกนั่นเองที่ทำให้ความสงสัยในเรื่องของทหารที่เดินกันให้เต็มสถานีรถไฟนั้นกระจ่าง เพราะมีเต็นท์พยาบาล และที่พักของทหารอยู่ด้านหน้าทางออกจากอาคารสถานีเลย ด้านหน้าโรงแรมที่พวกเราจะพักในคืนนี้ด้วยสิ เมื่อพวกเรามองย้อนกลับเข้าไปในมุมหนึ่งตัวอาคารสถานีก็เห็นกลุ่มผู้อพยพอยู่จำนวนหนึ่งนอนกันอยู่ในสถานีคาดว่าคงโดนกักตัวอยู่ในสถานีหรือแค่รอบๆ สถานีเท่านั้นห้ามไปไหนไกลกว่านั้น ระหว่างที่พวกเราเข็นกระเป๋าเดินไปโรงแรมที่อยู่ห่างไปแค่ประมาณ 50 เมตรเท่านั้นก็มีผู้หญิงตัวเล็กๆ อุ้มเด็กเดินตามและเรียกพวกเราว่า “Tourist” แต่เดินตามไม่นานก็มีทหารมาเดินประกบออกไป พวกเรามาถึงก่อนเวลาเช็คอินไป 2 ชั่วโมงจึงขอฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมเพื่อจะออกมาเดินเล่น และหาอาหารกลางวันทาน เจ้าหน้าที่ให้แผนที่เมืองซาลส์บูร์กมาให้พร้อมกับวงตำแหน่งของสถานีที่ที่น่าสนใจรวมทั้งขีดเส้นทางเดินให้พวกเราอีกด้วย โดยบอกว่าถ้าเดินไปก็ประมาณ 30 นาทีเพราะว่าเขตเมืองเก่าอยู่ห่างออกไปประมาณ 3 กิโลเมตรได้นะ แต่สามารถนั่งรถบัสไป – กลับได้โดยดูในแผนที่ได้เลยว่าถนนเส้นต่างๆ นั้นมีรถสายอะไรผ่านบ้าง หลังจากได้แผนที่แล้วก็เดินออกมา รีบๆ เดินผ่านเต็นท์ทหาร และกลุ่มคนที่เดินมายืนตะโกนอะไรบางอย่างใส่ทหารที่ยืนอยู่ แต่ทหารกลับเรียกตำรวจมาจัดการกับคนกลุ่มนี้แทน พวกเราสามคนเดินมาตามถนน Rainer และสายตาของภรรยาผมไปสะดุดตากับป้ายร้านอาหารที่บอกว่ามีอาหารไทย จีน ขาย ซึ่งทันทีที่ภรรยาผมเสนอว่ามื้อนี้ลองอาหารไทยหรือจีนกันมั้ย ผมกับแม่ยายรีบตกลงทันทีเพราะว่าเริ่มเอียนกับอาหารตะวันตกแล้วนั่นเอง
ร้านอาหารที่ขายอาหารจีนกับไทยแต่มีคนขายที่มีหน้าตาเป็นคนตะวันออกกลาง โดยมีพ่อครัวเป็นคนจีน ระหว่างที่ผมกำลังยืนลังเลว่าจะสั่งอาหารยังไงก็มีผู้หญิงจีนที่ตอนแรกคิดว่าเป็นลูกค้าหยิบเมนูมาให้ แต่พอพลิกไปมาก็ไม่รู้จะสั่งอะไรเพราะว่าอ่านชื่ออาหารแล้วจินตนาการหน้าตาอาหารไม่ออก แต่ที่อ่านแล้วเห็นภาพทันทีเลยคือ Tom-Yum-Beef เห็นปุ๊บสั่งเลยไม่ต้องคิด เพราะทันทีที่ได้ยินว่า”ต้มยำ” ก็น้ำลายสอทันที กับข้าวอีกสองอย่างยังไม่รู้จะสั่งอะไร แค่อยากทานผักบ้างเท่านั้นจึงคิดว่าจะลุกไปสั่งเองดีกว่า พอลุกปุ๊บผู้หญิงจีนคนนั้นก็เดินมารับหน้าทันที เราเลยได้โอกาสพูดภาษาจีนกับเธอทันทีจนสุดท้ายมื้อนี้พวกเราได้ต้มยำเนื้อ ผัดผักรวม ผัดพริกหยวกเนื้อ กับข้าวสวย 3 จาน ใครจะไปคิดว่ามาเที่ยวออสเตรียกลับต้องพูดภาษาจีน (และได้พูดอีกหลายครั้งในสวิตเซอร์แลนด์)
เมื่ออาหารมาส่งพวกเรามองหาชามต้มยำไม่เจอ เมื่อถามพนักงานเขาก็ชี้ไปที่จานบนซ้ายว่านั่นแหละต้มยำ พวกเราก็เลยเพิ่งรู้ว่าต้มยำที่ซาลส์บูร์กหน้าตาเป็นแบบนี้ แต่ชั่วโมงนั้นเลยตามเลยดีกว่าเพราะอาหารมาแล้ว ข้าวก็พร้อม ทานกันไม่เหลือเลย แม้ว่าผัดผักกับผัดเนื้อนั้นรสชาติแทบไม่แตกต่างกันเลย จัดการอาหารเสร็จมองหาผู้หญิงจีนคนนั้นก็ไม่เจอแล้วเพราะทันทีที่เราสั่งอาหารเสร็จเธอก็เดินไปบอกพ่อครัวคนจีนให้ทันทีและก็ไม่เห็นเธออีกเลย พวกเราเดินไปตามถนน Rainer ต่ออีกตามเส้นทางที่พนักงานต้อนรับของโรงแรมบอกมา เท่าที่สังเกตดูซาลส์บูร์กบริเวณนี้เงียบมาก แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเดินไปเดินมาเลย
ซาลส์บูร์กเมืองที่หลายคนบอกว่าที่นี่เป็นเมืองหลวงของศิละแบบบาร็อค ซาลส์บูร์กยังเป็นบ้านเกิดของ วูฟกังก์ อมาเดอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Sound of Music ภาพยนตร์ดังอมตะที่รับรองว่าคนรุ่นใหม่ต้องเคยได้ยินชื่อเรื่องนี้มาก่อน และเมืองซาลส์บูร์กได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้เมื่อปีค.ศ.1997
[CR] เดินช้าๆ ฝ่าลมหนาวที่สวิส เยอรมัน และออสเตรีย ตอนที่ 4
คนเข็นกระเป๋าออกมายังสถานีรถไฟหลักของเมืองมิวนิคโดยแวะซื้อขนมปังกับเนื้อหมูย่าง 1 ชิ้นก่อนจะตรงไปยังชานชาลาที่ 11 เพื่อขึ้นรถไฟไปซาลส์บูร์ก ประเทศออสเตรีย รถไฟจอดรออยู่แล้วเช่นกันโดยขบวนที่เราขึ้นไปนั้นเป็นรถไฟระหว่างประเทศขบวนยาววิ่งระหว่างเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมันไปถึงเมืองซาลสูบูร์ก ประเทศออสเตรียโดยไม่ต้องไปเปลี่ยนขบวนที่ไหนเลยนั่งรวดเดียว ซึ่งก็สะดวกดีไม่ต้องย้ายกระเป๋าไปมา พวกเราเดินหาตู้โดยสารสำหรับผู้โดยสารชั้นสองจากนั้นขึ้นไปหาที่นั่งก่อนโดยเลือกตู้ที่มีพื้นที่สำหรับจักรยาน หรือรถเข็นเด็ก เพื่อไว้วางกระเป๋าขนาดใหญ่ 2 ใบของพวกเรา
โดยเราเอาที่ล็อกอุปกรณ์การเล่นสกีมาล็อกกระเป๋าไว้ไม่ให้เลื่อนไปมาตามแรงเคลื่อนของรถไฟ ไม่อยากวางนอนเพราะอาจจะเกะกะคนอื่นๆ ที่ทยอยขึ้นรถไฟมาเรื่อยๆ รถไฟออกตอนเวลา 9:55 น. พอดิบพอดีเลย ช่วง 2 – 3 สถานีแรกๆ ก็ยังพอมีที่นั่งว่างๆ อยู่ แต่พอผ่านไปหลายสถานีคนก็ทยอยขึ้นมากันเรื่อยๆ จนแทบไม่มีที่นั่ง รถวิ่งยาวๆ แบบนี้จะมีตู้โดยสารที่เปลี่ยนสภาพเป็นเป็นห้องอาหารแบบจริงจังมีทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างแบบที่ร้านอาหารควรจะมี แต่ราคาสูงกว่าร้านอาหารที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้พอสมควร ผมกับภรรยาเลยได้แค่กาแฟร้อนติดมือมาเท่านั้นและขอเดินกลับมาทานขนมปังที่ซื้อเอาไว้รองท้องดีกว่า เพราะว่า 11:41 น. ก็ถึงซาลส์บูร์กแล้ว
ทิวทัศน์สองข้างทางรถไฟนี่ก็สวยงามตลอดเช่นกัน แม้ว่าทิวทัศน์จะดูคล้ายๆ กับเส้นทางจากซูริคมามิวนิค และจากมิวนิคไปฟุสเซ่น เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ทุ่งหญ้า กับบ้านแบบ 1 – 2 ชั้นสีขาว หลังคาสีน้ำตาล หรือดำเท่านั้น แต่ก็เพลินดี เพราะว่านั่งรถไฟในประเทศไทยคงไม่สามารถเห็นทิวทัศน์แบบนี้ได้แน่ๆ ระหว่างนั่งบนรถไฟก็จดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาเพื่อกันลืมแบบที่ทำประจำทุกครั้งที่เดินทาง และเป็นเครื่องเตือนความจำเวลาต้องมาเขียนบันทึก หรือว่าลงบล็อกแบ่งปันแบบนี้
รถไฟจอดที่ชานชาลาในสถานีรถไฟหลักเมืองซาลส์บูร์กตอน 11:41 น. พอดิบพอดี เข็นกระเป๋าจากชานชาลาเข้าสถานี และหยิบแฟ้มคู่ชีพออกมาเพื่อเอาใบจองโรงแรมที่ได้รับมาจากทาง Booking.com แต่เมื่อเดินเข้ามาส่วนที่เป็นร้านค้าของสถานีก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติไป เพราะมีทหารในเครื่องแบบเดินกันไปมาหลายกลุ่มๆ ละ 2 - 3 คน พวกเราเลยถือโอกาสถามทางไปโรงแรม Ramada Hotel Salzburg City Centre จากทหารคนหนึ่ง ปรากฎว่าคุณพี่ทหารบอกว่าแกไม่ใช่คนที่นี่ ดังนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าโรงแรมนี้อยู่ที่ไหน พวกเราเลยเสี่ยงเดินออกมาจากตัวอาคารสถานีในทิศทางที่คาดว่าจะออกมายังโรงแรมได้ ปรากฏว่าออกจากชายคาสถานีมาก็เจอกับโรงแรมเลย โรงแรมนี้แทบจะเป็นส่วนเดียวกับอาคารสถานีเลย
ที่หน้าทางออกนั่นเองที่ทำให้ความสงสัยในเรื่องของทหารที่เดินกันให้เต็มสถานีรถไฟนั้นกระจ่าง เพราะมีเต็นท์พยาบาล และที่พักของทหารอยู่ด้านหน้าทางออกจากอาคารสถานีเลย ด้านหน้าโรงแรมที่พวกเราจะพักในคืนนี้ด้วยสิ เมื่อพวกเรามองย้อนกลับเข้าไปในมุมหนึ่งตัวอาคารสถานีก็เห็นกลุ่มผู้อพยพอยู่จำนวนหนึ่งนอนกันอยู่ในสถานีคาดว่าคงโดนกักตัวอยู่ในสถานีหรือแค่รอบๆ สถานีเท่านั้นห้ามไปไหนไกลกว่านั้น ระหว่างที่พวกเราเข็นกระเป๋าเดินไปโรงแรมที่อยู่ห่างไปแค่ประมาณ 50 เมตรเท่านั้นก็มีผู้หญิงตัวเล็กๆ อุ้มเด็กเดินตามและเรียกพวกเราว่า “Tourist” แต่เดินตามไม่นานก็มีทหารมาเดินประกบออกไป พวกเรามาถึงก่อนเวลาเช็คอินไป 2 ชั่วโมงจึงขอฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมเพื่อจะออกมาเดินเล่น และหาอาหารกลางวันทาน เจ้าหน้าที่ให้แผนที่เมืองซาลส์บูร์กมาให้พร้อมกับวงตำแหน่งของสถานีที่ที่น่าสนใจรวมทั้งขีดเส้นทางเดินให้พวกเราอีกด้วย โดยบอกว่าถ้าเดินไปก็ประมาณ 30 นาทีเพราะว่าเขตเมืองเก่าอยู่ห่างออกไปประมาณ 3 กิโลเมตรได้นะ แต่สามารถนั่งรถบัสไป – กลับได้โดยดูในแผนที่ได้เลยว่าถนนเส้นต่างๆ นั้นมีรถสายอะไรผ่านบ้าง หลังจากได้แผนที่แล้วก็เดินออกมา รีบๆ เดินผ่านเต็นท์ทหาร และกลุ่มคนที่เดินมายืนตะโกนอะไรบางอย่างใส่ทหารที่ยืนอยู่ แต่ทหารกลับเรียกตำรวจมาจัดการกับคนกลุ่มนี้แทน พวกเราสามคนเดินมาตามถนน Rainer และสายตาของภรรยาผมไปสะดุดตากับป้ายร้านอาหารที่บอกว่ามีอาหารไทย จีน ขาย ซึ่งทันทีที่ภรรยาผมเสนอว่ามื้อนี้ลองอาหารไทยหรือจีนกันมั้ย ผมกับแม่ยายรีบตกลงทันทีเพราะว่าเริ่มเอียนกับอาหารตะวันตกแล้วนั่นเอง
ร้านอาหารที่ขายอาหารจีนกับไทยแต่มีคนขายที่มีหน้าตาเป็นคนตะวันออกกลาง โดยมีพ่อครัวเป็นคนจีน ระหว่างที่ผมกำลังยืนลังเลว่าจะสั่งอาหารยังไงก็มีผู้หญิงจีนที่ตอนแรกคิดว่าเป็นลูกค้าหยิบเมนูมาให้ แต่พอพลิกไปมาก็ไม่รู้จะสั่งอะไรเพราะว่าอ่านชื่ออาหารแล้วจินตนาการหน้าตาอาหารไม่ออก แต่ที่อ่านแล้วเห็นภาพทันทีเลยคือ Tom-Yum-Beef เห็นปุ๊บสั่งเลยไม่ต้องคิด เพราะทันทีที่ได้ยินว่า”ต้มยำ” ก็น้ำลายสอทันที กับข้าวอีกสองอย่างยังไม่รู้จะสั่งอะไร แค่อยากทานผักบ้างเท่านั้นจึงคิดว่าจะลุกไปสั่งเองดีกว่า พอลุกปุ๊บผู้หญิงจีนคนนั้นก็เดินมารับหน้าทันที เราเลยได้โอกาสพูดภาษาจีนกับเธอทันทีจนสุดท้ายมื้อนี้พวกเราได้ต้มยำเนื้อ ผัดผักรวม ผัดพริกหยวกเนื้อ กับข้าวสวย 3 จาน ใครจะไปคิดว่ามาเที่ยวออสเตรียกลับต้องพูดภาษาจีน (และได้พูดอีกหลายครั้งในสวิตเซอร์แลนด์)
เมื่ออาหารมาส่งพวกเรามองหาชามต้มยำไม่เจอ เมื่อถามพนักงานเขาก็ชี้ไปที่จานบนซ้ายว่านั่นแหละต้มยำ พวกเราก็เลยเพิ่งรู้ว่าต้มยำที่ซาลส์บูร์กหน้าตาเป็นแบบนี้ แต่ชั่วโมงนั้นเลยตามเลยดีกว่าเพราะอาหารมาแล้ว ข้าวก็พร้อม ทานกันไม่เหลือเลย แม้ว่าผัดผักกับผัดเนื้อนั้นรสชาติแทบไม่แตกต่างกันเลย จัดการอาหารเสร็จมองหาผู้หญิงจีนคนนั้นก็ไม่เจอแล้วเพราะทันทีที่เราสั่งอาหารเสร็จเธอก็เดินไปบอกพ่อครัวคนจีนให้ทันทีและก็ไม่เห็นเธออีกเลย พวกเราเดินไปตามถนน Rainer ต่ออีกตามเส้นทางที่พนักงานต้อนรับของโรงแรมบอกมา เท่าที่สังเกตดูซาลส์บูร์กบริเวณนี้เงียบมาก แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเดินไปเดินมาเลย
ซาลส์บูร์กเมืองที่หลายคนบอกว่าที่นี่เป็นเมืองหลวงของศิละแบบบาร็อค ซาลส์บูร์กยังเป็นบ้านเกิดของ วูฟกังก์ อมาเดอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Sound of Music ภาพยนตร์ดังอมตะที่รับรองว่าคนรุ่นใหม่ต้องเคยได้ยินชื่อเรื่องนี้มาก่อน และเมืองซาลส์บูร์กได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้เมื่อปีค.ศ.1997