กระทู้นี้ขอเล่าประสบการณ์ก่อนนะครับ ส่วนของรีวิวสรุปๆจะมาตอนท้าย
อาการอย่างหนึ่งของคนที่ชอบเดินทางและหลงรักธรรมชาติ
คือเวลาเครียดหรือเบื่อกับเรื่องราวต่างๆ
หัวใจและสมองมักจะต้องการพาร่างกายออกไปโลดแล่นที่ไหนก็ได้
อยากไปพักไปผ่อนคลายแบบไม่ต้องคิดอะไรทิ้งทุกอย่างในหัวไปให้หมด
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีอาการแบบนั้นในช่วงเวลาของไฟนอลและทำโปรเจค
(แม่มน่าเบื่อมากกกกกกก) และแล้วก็เป็นที่มาของทริป
”โบกรถผจญภัยเมืองน่าน”
ติดตามเเละสอบถามรายละเอียดการเดินทางของเราได้ที่
https://www.facebook.com/Isarabackpacker/?ref=hl
https://www.instagram.com/9isara_/
แผนที่วางไว้คือ
นั่งรถไฟไปลงเด่นชัยแล้วโบกรถไป
ขุนสถาน – เสมอดาว – ตัวเมืองน่าน – สะจุก – ขุนน่าน
[ได้ผู้ร่วมเดินทางแบบไม่ได้ตั้งใจมาอีก 5 คน โดย2คนจะตามไปสมทบที่น่านวันที่2]
เราออกเดินทางกันวันที่ 13 ธันวาคม 2558
ด้วยรถไฟไทยขบวนเร็ว107 กรุงเทพ – เด่นชัย
เวลาออกจากสถานีหัวลำโพง 20.30 น.
เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นเป็นสัญญาณของการออกเดินทาง
เวลาอันมีคุณค่าและความสุขของพวกเราได้เริ่มขึ้นแล้ว
โดยสถานีปลายทางของเราอยู่ที่ สถานีเด่นชัย จ.แพร่
วันนี้เป็นวันธรรมดา รถไฟขบวนนี้เลยดูค่อนข้างเงียบเหงา
มีเพียงไม่กี่คนที่ร่วมเดินทางไปพร้อมกับเราและพ่อค้าประจำขบวน
(ซาลาเปาลูกละ25บาทกับไส้เท่ามด – อิ่มมากครับ;ประชด)
อาจจะเป็นเพราะหลายๆคนกำลังเดินทางตามเส้นทางของตัวเองที่แตกต่างไป
หลายคนอาจกำลังทำงาน อ่านหนังสือ ตีกอล์ฟ ฟังเพลง กินเหล้า หรือเดินทางในแบบที่แตกต่างกัน
สังคมเราทุกวันนี้ หลายๆคนแม้กระทั่งผมเองบางครั้งเราชอบตัดสินคนอื่นเพียงเพราะเขาไม่ได้ทำแบบเรา
บางทีเรายึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของสิ่งต่างๆมากเกินไปจนลืมไปว่า
เราเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของโลกที่ต่างต้องพึ่งพากันและกัน
รถไฟไทยใครๆก็บอกว่าโบราณและเต่ามากๆ ทำไมบ้านเราไม่ทำรถไฟความเร็วสูงความเลวต่ำสักที
ผมว่าเสห์นอย่างหนึ่งของรถไฟไทยก็คือความช้าและความไม่แน่นอนของเวลานี้แหละ
มันทำให้เราได้มีเวลาอยู่กับตัวเองหรือคนข้างๆยาวนานขึ้น
ได้สัมผัสชีวิตของผู้คนบนรถไฟและบรรยากาศสองข้างทาง
บางทีอะไรเล็กๆน้อยๆที่เราไม่เคยเห็นก็ได้เห็นจากตรงนี้แหละ
เช้าวันที่ 14 ธันวาคม 2558 เวลา 06.30 น.
ถึงสถานีเด่นชัย (ช้ากว่ากำหนดไป1ชั่วโมง)
สวัสดีเมืองแพร่ยามเช้าวันแรกของทริปกับอากาศดีๆ
เรามีแผนที่เกิดใหม่บนรถไฟคือเราจะไปวัดพระธาตุช่อแฮแล้วต่อด้วยแพะเมืองผี
ไปต่อกันยังไงดีวะ รถโดยสาร หรือเหมารถไปดี...
ไม่ครับไม่ พวกเราเป็นสายโบกรถเที่ยวครับ
รถกระบะใครก็ได้ที่ผ่านไปผ่านมาที่จะใจดีจอดรับพวกเรา
การโบกรถจะมองว่ายากก็ยากครับ จะว่าง่ายก็ง่าย ขึ้นอยู่ที่ใจและเราล้วนๆ
การโบกรถบางทีก็ต้องใช้เวลา บางที่อาจโบกยากบ้าง ง่ายบ้างต่างกันไปแล้วแต่ทำเลและโอกาส
คนที่เริ่มต้นโบกใหม่ๆมักไม่ค่อยมั่นใจและไม่กล้าโบกเพราะกลัวไม่มีใครรับ
กลัวคนอื่นมองไม่ดี บลาๆๆ แล้วแต่คนไปครับ
ก็คงไม่ต่างกับที่เราจะลงมือทำอะไรสักอย่างถ้าเราขาดความมั่นใจและเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ
สิ่งนั้นคงไม่ได้เกิดขึ้นมาเช่นกัน
ผมว่าบางทีการที่เราเชื่อมั่นและมั่นใจในการทำสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่ผิดอะไร
ถึงเเม้บางครั้งอาจจะสมหวังหรือไม่สมหวังบ้างก็ตาม
เเต่อย่างน้อยเราก็ยังได้พูดว่า...เราเคยลงมือทำสิ่งๆนั้น
จากสถานีเด่นชัยมาวัดพระธาตุช่อแฮพวกเราโบกไป2คัน
เป็นคุณครูวิทยาลัยแพร่และตายายเจ้าถิ่นอีกคันครับผม
วัดพระธาตุช่อแฮ
เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดแพร่และเป็นสถานที่เที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัดด้วยเช่นกัน
วัดเเห่งนี้ตั้งอยู่ที่ตำบลช่อแฮ เเละรู้สึกว่าไม่น่าจะมีรถโดยสารผ่าน
มีระยะห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 6 กิโลเมตรและห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร
เวลามีงานใหญ่ๆหรือวันสำคัญอะไร ทางจังหวัดก็มักจะจัดงานกันที่วัดนี้เเหละครับ
วัดแห่งนี้มีจุดเด่นคือพระธาตุสีทอง ที่เราสามารถเปิดเจอได้ตามเว็บต่างๆ
ซึ่งนั้นคือเป้าหมายของพวกเราในการเดินทางมาที่แห่งนี้เลย แต่แล้ว....
...พระธาตุช่อแฮปิดบูรณะ...
ซึ่งน่าจะเกิดจากเหตุการณ์แผนดินไหวที่ประเทศเพื่อนบ้านครั้งที่ผ่านมา
พวกเราก็ได้แต่ทำใจแล้วเดินจากไปเพื่อมุ่งหน้าไปต่อยังจุดหมายต่อไป
จากวัดถึงปากทางไปขุนสถานซึ่งมีระยะทางทั้งสิ้น 52.7 กม.
พวกเราโบกรถทั้งหมดสามคันก็ถึงปากทางไปขุนสถาน
ภาพนี้เป็นภาพคุณลุงเจ้าของรถคันที่สองที่จอดรับพวกเรา
...
"จุดเริ่มต้นของภารกิจโบกรถนอกเมืองในวันที่ไม่มีคนเที่ยวได้เริ่มขึ้นเเล้ว"
เส้นทางขึ้นสู่ขึ้นสู่ขุนสถานแลดูเงียบเหงาและรถน้อย
พวกเราได้เจอกับกลุ่มชายมีอายุจำนวนประมาณสิบบนกระบะคันหนึ่ง
มีชายสามสี่คนคนมองมาที่เราสี่คน ผู้หอบหิ้วกระเป๋าแบกแพคเกอร์ท่องเที่ยว
ในใจพวกเราตอนนั้นคือค่อยๆเดินแล้วรอให้รถคันนี้ไปก่อนค่อยเริ่มทำการโบก
แต่แล้วก็มีพี่ๆพวกนี้ตะโกนมาหาพวกเรา
“ติดรถไปด้วยกันมั้ย”
พวกเราไม่รอช้า ตอบรับคำเชิญชวนแล้วกล่าวขอบคุณก่อนขึ้นรถร่วมเดินทางไปด้วย
พวกพี่ๆเขาเป็นเกษตรกรชาวพื้นเมือง พูดไทยไม่ค่อยชัดแต่สื่อสารกันรู้เรื่องอยู่ครับ
แอบขอโทษในใจเบาๆ เราตัดสินคนตั้งแต่ยังไม่เคยสัมผัสได้อย่างไรกัน
คนบางคนภายนอกอาจดูเป็นมิตรภาพน่าคบหาแต่เขาอาจแค่สวมหน้ากากกั้นเอาไว้ตอนคุยอยู่กับเรา
หนักๆเข้าบางคนในสังคมการทำงานแทงได้เป็นแทงเลยก็มี(อุปมาอุปไมยหนะ...อย่าคิดไกล)
คนบางคนดูไม่น่าคบหาแต่จริงๆเขาอาจเป็นคนที่จริงใจก็เป้นได้
จำไว้นะคราวหลังอย่ารีบตัดสินคนจากภายนอกกกกกกกกอย่างเดียว ไอแว่น!
[CR] โบกรถผจญภัยเมืองน่าน
กระทู้นี้ขอเล่าประสบการณ์ก่อนนะครับ ส่วนของรีวิวสรุปๆจะมาตอนท้าย
อาการอย่างหนึ่งของคนที่ชอบเดินทางและหลงรักธรรมชาติ
คือเวลาเครียดหรือเบื่อกับเรื่องราวต่างๆ
หัวใจและสมองมักจะต้องการพาร่างกายออกไปโลดแล่นที่ไหนก็ได้
อยากไปพักไปผ่อนคลายแบบไม่ต้องคิดอะไรทิ้งทุกอย่างในหัวไปให้หมด
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีอาการแบบนั้นในช่วงเวลาของไฟนอลและทำโปรเจค
(แม่มน่าเบื่อมากกกกกกก) และแล้วก็เป็นที่มาของทริป
”โบกรถผจญภัยเมืองน่าน”
ติดตามเเละสอบถามรายละเอียดการเดินทางของเราได้ที่
https://www.facebook.com/Isarabackpacker/?ref=hl
https://www.instagram.com/9isara_/
นั่งรถไฟไปลงเด่นชัยแล้วโบกรถไป
ขุนสถาน – เสมอดาว – ตัวเมืองน่าน – สะจุก – ขุนน่าน
[ได้ผู้ร่วมเดินทางแบบไม่ได้ตั้งใจมาอีก 5 คน โดย2คนจะตามไปสมทบที่น่านวันที่2]
เราออกเดินทางกันวันที่ 13 ธันวาคม 2558
ด้วยรถไฟไทยขบวนเร็ว107 กรุงเทพ – เด่นชัย
เวลาออกจากสถานีหัวลำโพง 20.30 น.
เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นเป็นสัญญาณของการออกเดินทาง
เวลาอันมีคุณค่าและความสุขของพวกเราได้เริ่มขึ้นแล้ว
โดยสถานีปลายทางของเราอยู่ที่ สถานีเด่นชัย จ.แพร่
วันนี้เป็นวันธรรมดา รถไฟขบวนนี้เลยดูค่อนข้างเงียบเหงา
มีเพียงไม่กี่คนที่ร่วมเดินทางไปพร้อมกับเราและพ่อค้าประจำขบวน
(ซาลาเปาลูกละ25บาทกับไส้เท่ามด – อิ่มมากครับ;ประชด)
อาจจะเป็นเพราะหลายๆคนกำลังเดินทางตามเส้นทางของตัวเองที่แตกต่างไป
หลายคนอาจกำลังทำงาน อ่านหนังสือ ตีกอล์ฟ ฟังเพลง กินเหล้า หรือเดินทางในแบบที่แตกต่างกัน
สังคมเราทุกวันนี้ หลายๆคนแม้กระทั่งผมเองบางครั้งเราชอบตัดสินคนอื่นเพียงเพราะเขาไม่ได้ทำแบบเรา
บางทีเรายึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของสิ่งต่างๆมากเกินไปจนลืมไปว่า
เราเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของโลกที่ต่างต้องพึ่งพากันและกัน
ผมว่าเสห์นอย่างหนึ่งของรถไฟไทยก็คือความช้าและความไม่แน่นอนของเวลานี้แหละ
มันทำให้เราได้มีเวลาอยู่กับตัวเองหรือคนข้างๆยาวนานขึ้น
ได้สัมผัสชีวิตของผู้คนบนรถไฟและบรรยากาศสองข้างทาง
บางทีอะไรเล็กๆน้อยๆที่เราไม่เคยเห็นก็ได้เห็นจากตรงนี้แหละ
ถึงสถานีเด่นชัย (ช้ากว่ากำหนดไป1ชั่วโมง)
สวัสดีเมืองแพร่ยามเช้าวันแรกของทริปกับอากาศดีๆ
เรามีแผนที่เกิดใหม่บนรถไฟคือเราจะไปวัดพระธาตุช่อแฮแล้วต่อด้วยแพะเมืองผี
ไม่ครับไม่ พวกเราเป็นสายโบกรถเที่ยวครับ
รถกระบะใครก็ได้ที่ผ่านไปผ่านมาที่จะใจดีจอดรับพวกเรา
การโบกรถจะมองว่ายากก็ยากครับ จะว่าง่ายก็ง่าย ขึ้นอยู่ที่ใจและเราล้วนๆ
การโบกรถบางทีก็ต้องใช้เวลา บางที่อาจโบกยากบ้าง ง่ายบ้างต่างกันไปแล้วแต่ทำเลและโอกาส
คนที่เริ่มต้นโบกใหม่ๆมักไม่ค่อยมั่นใจและไม่กล้าโบกเพราะกลัวไม่มีใครรับ
กลัวคนอื่นมองไม่ดี บลาๆๆ แล้วแต่คนไปครับ
ก็คงไม่ต่างกับที่เราจะลงมือทำอะไรสักอย่างถ้าเราขาดความมั่นใจและเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ
สิ่งนั้นคงไม่ได้เกิดขึ้นมาเช่นกัน
ผมว่าบางทีการที่เราเชื่อมั่นและมั่นใจในการทำสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่ผิดอะไร
ถึงเเม้บางครั้งอาจจะสมหวังหรือไม่สมหวังบ้างก็ตาม
เเต่อย่างน้อยเราก็ยังได้พูดว่า...เราเคยลงมือทำสิ่งๆนั้น
จากสถานีเด่นชัยมาวัดพระธาตุช่อแฮพวกเราโบกไป2คัน
เป็นคุณครูวิทยาลัยแพร่และตายายเจ้าถิ่นอีกคันครับผม
เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดแพร่และเป็นสถานที่เที่ยวแห่งหนึ่งของจังหวัดด้วยเช่นกัน
วัดเเห่งนี้ตั้งอยู่ที่ตำบลช่อแฮ เเละรู้สึกว่าไม่น่าจะมีรถโดยสารผ่าน
มีระยะห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 6 กิโลเมตรและห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร
เวลามีงานใหญ่ๆหรือวันสำคัญอะไร ทางจังหวัดก็มักจะจัดงานกันที่วัดนี้เเหละครับ
วัดแห่งนี้มีจุดเด่นคือพระธาตุสีทอง ที่เราสามารถเปิดเจอได้ตามเว็บต่างๆ
ซึ่งนั้นคือเป้าหมายของพวกเราในการเดินทางมาที่แห่งนี้เลย แต่แล้ว....
ซึ่งน่าจะเกิดจากเหตุการณ์แผนดินไหวที่ประเทศเพื่อนบ้านครั้งที่ผ่านมา
พวกเราก็ได้แต่ทำใจแล้วเดินจากไปเพื่อมุ่งหน้าไปต่อยังจุดหมายต่อไป
จากวัดถึงปากทางไปขุนสถานซึ่งมีระยะทางทั้งสิ้น 52.7 กม.
พวกเราโบกรถทั้งหมดสามคันก็ถึงปากทางไปขุนสถาน
ภาพนี้เป็นภาพคุณลุงเจ้าของรถคันที่สองที่จอดรับพวกเรา
...
"จุดเริ่มต้นของภารกิจโบกรถนอกเมืองในวันที่ไม่มีคนเที่ยวได้เริ่มขึ้นเเล้ว"
เส้นทางขึ้นสู่ขึ้นสู่ขุนสถานแลดูเงียบเหงาและรถน้อย
พวกเราได้เจอกับกลุ่มชายมีอายุจำนวนประมาณสิบบนกระบะคันหนึ่ง
มีชายสามสี่คนคนมองมาที่เราสี่คน ผู้หอบหิ้วกระเป๋าแบกแพคเกอร์ท่องเที่ยว
ในใจพวกเราตอนนั้นคือค่อยๆเดินแล้วรอให้รถคันนี้ไปก่อนค่อยเริ่มทำการโบก
แต่แล้วก็มีพี่ๆพวกนี้ตะโกนมาหาพวกเรา
“ติดรถไปด้วยกันมั้ย”
พวกเราไม่รอช้า ตอบรับคำเชิญชวนแล้วกล่าวขอบคุณก่อนขึ้นรถร่วมเดินทางไปด้วย
พวกพี่ๆเขาเป็นเกษตรกรชาวพื้นเมือง พูดไทยไม่ค่อยชัดแต่สื่อสารกันรู้เรื่องอยู่ครับ
แอบขอโทษในใจเบาๆ เราตัดสินคนตั้งแต่ยังไม่เคยสัมผัสได้อย่างไรกัน
คนบางคนภายนอกอาจดูเป็นมิตรภาพน่าคบหาแต่เขาอาจแค่สวมหน้ากากกั้นเอาไว้ตอนคุยอยู่กับเรา
หนักๆเข้าบางคนในสังคมการทำงานแทงได้เป็นแทงเลยก็มี(อุปมาอุปไมยหนะ...อย่าคิดไกล)
คนบางคนดูไม่น่าคบหาแต่จริงๆเขาอาจเป็นคนที่จริงใจก็เป้นได้
จำไว้นะคราวหลังอย่ารีบตัดสินคนจากภายนอกกกกกกกกอย่างเดียว ไอแว่น!
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น