วันที่ 3 ของการเดินทางยังคงอยู่กันที่เกียวโต ถ้าใครที่อ่านการเดินทางวันก่อนๆไม่ทัน ก็มาตาม link นี้ได้เลยครับ
Day 1-
http://ppantip.com/topic/34595658
Day 2-
http://ppantip.com/topic/34596193
วันที่ 3 ของเกียวโตนี้ ฟ้าค่อนข้างหมองครับ (จริงๆก็หมองทุกวัน
) แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ไม่มีฝน เพราะวันนี้การเดินทางของผมต้องออกไปยังชนบทของเกียวโตที่ห่างไกลจากตัวเมืองค่อนข้างมาก จุดหมายปลายทางในวันนี้คือ Ohara การเดินทางใช้การนั่งรถบัสสาย 17 จากสถานีเกียวโตจนสุดทาง สามารถใช้ kyoto city bus หรือ Kansai Thru Pass ก็ได้ครับ
กว่า 1 ชั่วโมงโดยรถบัส ผมก็ถึงจุดหมายปลายทาง ที่นั่นถูกล้อมด้วยหุบเขาและป่าไม้ ราวกับได้ซ่อนพื้นที่แห่งนี้ไว้เป็นสมบัติล้ำค่า
เนื่องจากเป็นที่ที่ไกลจากเมืองอย่างมาก คนที่มาเที่ยวจึงไม่หลากหลายนัก ส่วนมากเป็นคนญี่ปุ่นรุ่นคุณปู่ ผมเชื่อว่าในรถคันนี้นับอายุรวมกันได้เกินพันปี และนั่นช่วยย้ำให้ผมหายสงสัยว่า เพราะอะไรถึงต้องลงทุนขึ้นมาถึงที่นี่ เพียงเพราะมาชมสวนญี่ปุ่นในวัด Sanzen-in...
#Sanzen-in temple (三千院)
open : 8:30 to 17:30 (until 16:30 from December to February) Admission closes 30 minutes before closing time.
Fees : 700 Yen
ผมอ่านหนังสือบทหนึ่งในหนังสือ Kyoto Momiji ของพลอย มัลลิกะมาส ที่เขียนบรรยายถึงวัดแห่งนี้ได้อย่างน่าสนใจ นั่นเองเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมอยากมาที่แห่งนี้ เสียดายที่วันที่มาใบไม้สีเหลืองได้เริ่มร่วงหล่นไปพอสมควรแล้ว แต่ความเงียบสงบของที่นี่ทำให้ผมรู้สึกเป็นสุขใจอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะว่า บางครั้งที่ผมได้อยู่เงียบๆท่ามกลางธรรมชาติที่สงบ มันทำให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองชัดขึ้น
#Shorin-in temple
open : 9:00 - 17:00
Fees : 300 Yen
เดินถัดมาจากวัด Sanzen-in จะเจอวัด Shorin-in ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานหญ้าเขียวขจี แวบแรกที่เห็นผมรู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะอุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส หรือเป็นเพราะความเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองก็เป็นได้ ผมเดินขึ้นไปบนวัดทิ้งตัวลงนั่งพักใหญ่ ก่อนจะเดินสำรวจรอบๆวัดที่แทบไม่เห็นเงาคน
#Hosenin temple
open : 9:00 - 17:00
Fees : 800 Yen (includes green tea and Japanese sweet)
เดินต่อมาอีกหน่อยจะถึงวัด Hosenin แม้จะเป็นวัดเล็กๆแต่มีอายุเก่าแก่ ภายในมีสวนญี่ปุ่นและต้นสนอายุถึง 700 ปี ตั้งแต่เคยเที่ยวญี่ปุ่นมา 3 ครั้ง ผมว่าวันนี้เป็นวันที่ได้ชมสวนอย่างแท้จริงครับ ผมนั่งทานขนมหวานและจิบชาเขียวขณะที่ไอร้อนของมันลอยขึ้นมาเกิดเป็นฝ้าขาวๆบนแว่น ผมใช้เวลานั่งทอดน่องดูต้นไม้ทุกต้นจนลืมเวลาว่าจะต้องรีบกลับเข้าเมืองแล้ว
ระหว่างทางกลับ เพื่อนๆสามารถแวะช้อปปิ้งร้านรวงที่อยู่ตามทางได้ครับ มีให้เลือกมากมายทั้งผักดอง ร้านอาหาร ขนม ซอฟครีม แต่เนื่องจากคนเริ่มเยอะและกลัวไปไม่ทันรถ ผมจึงไม่ได้แวะซื้ออะไรกลับเกียวโต
ขณะรถบัสกลับเข้าเมือง ผมเลือกลงระหว่างทางนั่งรถรางสาย Eizan line ลงสถานี Ichijoji (ใช้ Kansai Thru Pass ได้) เพื่อไปยังวัด Enkoji ครับ ออกจากสถานี Ichijoji เดินตรงมาเรื่อยๆประมาณ 700 เมตรก็จะถึงทางเข้า ณ ที่แห่งนี้เองที่ทำให้ผมได้เจอคนไทยด้วยกันมากขึ้น
#Enkoji temple (圓光寺)
open : 9:00 to 17:00 (entry until 16:30)
Fees : 500 Yen
วัดนี้มีชื่อเสียงมากในเรื่องความสวยงามของใบไม้แดงครับ โดยเฉพาะมุมที่มองจากด้านในห้องชมออกมา ผมเห็นครั้งแรกยังตกตะลึง เพราะว่ามันสวยม้าาาาาาก เกินบรรยายจริงๆ แค่ได้นั่งมองเฉยๆความสุขก็เกิดขึ้นครับ
สุดท้ายของวันนี้ ผมเดินทางไปยังกลุ่มวัดเซน Daitoku-ji ครับ การเดินทางค่อนข้างซับซ้อนเพราะผมมาจากเส้นทางนอกเมือง ใช้การนั่ง Subway Karasuma line มาลงสถานี Kitaoji จากนั้นใช้วิธีการเดินตาม GPS ในโทรศัพท์มือถือครับ
#Daitoku-ji temple (大徳寺)
ในเกียวโตมีวัดเซนอยู่จำนวนมาก กลุ่มวัดเซน Daitoku-ji เป็นหนึ่งในวัดเซนที่สำคัญที่หลายคนน่าจะได้มาเที่ยวชมสักครั้งครับ โดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี้ บางวัดในกลุ่มวัดเซน Daitoku-ji จะมีการเปิดให้เข้าชมเป็นพิเศษ น่าเสียดายที่บางวัดไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปความสวยงามด้านใน จึงไม่ได้เก็บมาฝากเพื่อนๆนะครับ เนื่องจากตอนที่มาถึงเวลาก็เกือบ 16.00 แล้ว ทำให้แสงอาทิตย์ (ที่วันนี้ออกมาอวดเพียงน้อยนิด)เริ่มจะลับไปแล้ว ภาพอาจค่อนข้างมืดไปบ้างครับ
##Daisenin & Ryogenin temple
##Oubai-in temple
##Kourin-in temple
และแล้วในที่สุดฝนก็ได้ตกลงมาครับ ผมซึ่งเป็นคนที่ไม่ชอบพกร่มก็เกิดอาการเงิบชั่วขณะ ก่อนจะวิ่งหาที่หลบฝนกันพักใหญ่ กว่าจะกลับ guest house ก็เปียกปอนไปทั้งตัว หนาวก็หนาวยังต้องมารอต่อคิวเข้าห้องน้ำ 555 แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีครับ
วันต่อไปจะเป็นการเที่ยวในส่วนของ Kyoto Signature แต่จะเป็นที่ไหนบ้าง ต้องติดตามชมครับ
紅葉 Walk alone in Kyoto Day 3
Day 1- http://ppantip.com/topic/34595658
Day 2- http://ppantip.com/topic/34596193
วันที่ 3 ของเกียวโตนี้ ฟ้าค่อนข้างหมองครับ (จริงๆก็หมองทุกวัน ) แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ไม่มีฝน เพราะวันนี้การเดินทางของผมต้องออกไปยังชนบทของเกียวโตที่ห่างไกลจากตัวเมืองค่อนข้างมาก จุดหมายปลายทางในวันนี้คือ Ohara การเดินทางใช้การนั่งรถบัสสาย 17 จากสถานีเกียวโตจนสุดทาง สามารถใช้ kyoto city bus หรือ Kansai Thru Pass ก็ได้ครับ
กว่า 1 ชั่วโมงโดยรถบัส ผมก็ถึงจุดหมายปลายทาง ที่นั่นถูกล้อมด้วยหุบเขาและป่าไม้ ราวกับได้ซ่อนพื้นที่แห่งนี้ไว้เป็นสมบัติล้ำค่า
เนื่องจากเป็นที่ที่ไกลจากเมืองอย่างมาก คนที่มาเที่ยวจึงไม่หลากหลายนัก ส่วนมากเป็นคนญี่ปุ่นรุ่นคุณปู่ ผมเชื่อว่าในรถคันนี้นับอายุรวมกันได้เกินพันปี และนั่นช่วยย้ำให้ผมหายสงสัยว่า เพราะอะไรถึงต้องลงทุนขึ้นมาถึงที่นี่ เพียงเพราะมาชมสวนญี่ปุ่นในวัด Sanzen-in...
#Sanzen-in temple (三千院)
open : 8:30 to 17:30 (until 16:30 from December to February) Admission closes 30 minutes before closing time.
Fees : 700 Yen
ผมอ่านหนังสือบทหนึ่งในหนังสือ Kyoto Momiji ของพลอย มัลลิกะมาส ที่เขียนบรรยายถึงวัดแห่งนี้ได้อย่างน่าสนใจ นั่นเองเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมอยากมาที่แห่งนี้ เสียดายที่วันที่มาใบไม้สีเหลืองได้เริ่มร่วงหล่นไปพอสมควรแล้ว แต่ความเงียบสงบของที่นี่ทำให้ผมรู้สึกเป็นสุขใจอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะว่า บางครั้งที่ผมได้อยู่เงียบๆท่ามกลางธรรมชาติที่สงบ มันทำให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองชัดขึ้น
#Shorin-in temple
open : 9:00 - 17:00
Fees : 300 Yen
เดินถัดมาจากวัด Sanzen-in จะเจอวัด Shorin-in ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานหญ้าเขียวขจี แวบแรกที่เห็นผมรู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะอุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส หรือเป็นเพราะความเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองก็เป็นได้ ผมเดินขึ้นไปบนวัดทิ้งตัวลงนั่งพักใหญ่ ก่อนจะเดินสำรวจรอบๆวัดที่แทบไม่เห็นเงาคน
#Hosenin temple
open : 9:00 - 17:00
Fees : 800 Yen (includes green tea and Japanese sweet)
เดินต่อมาอีกหน่อยจะถึงวัด Hosenin แม้จะเป็นวัดเล็กๆแต่มีอายุเก่าแก่ ภายในมีสวนญี่ปุ่นและต้นสนอายุถึง 700 ปี ตั้งแต่เคยเที่ยวญี่ปุ่นมา 3 ครั้ง ผมว่าวันนี้เป็นวันที่ได้ชมสวนอย่างแท้จริงครับ ผมนั่งทานขนมหวานและจิบชาเขียวขณะที่ไอร้อนของมันลอยขึ้นมาเกิดเป็นฝ้าขาวๆบนแว่น ผมใช้เวลานั่งทอดน่องดูต้นไม้ทุกต้นจนลืมเวลาว่าจะต้องรีบกลับเข้าเมืองแล้ว
ระหว่างทางกลับ เพื่อนๆสามารถแวะช้อปปิ้งร้านรวงที่อยู่ตามทางได้ครับ มีให้เลือกมากมายทั้งผักดอง ร้านอาหาร ขนม ซอฟครีม แต่เนื่องจากคนเริ่มเยอะและกลัวไปไม่ทันรถ ผมจึงไม่ได้แวะซื้ออะไรกลับเกียวโต
ขณะรถบัสกลับเข้าเมือง ผมเลือกลงระหว่างทางนั่งรถรางสาย Eizan line ลงสถานี Ichijoji (ใช้ Kansai Thru Pass ได้) เพื่อไปยังวัด Enkoji ครับ ออกจากสถานี Ichijoji เดินตรงมาเรื่อยๆประมาณ 700 เมตรก็จะถึงทางเข้า ณ ที่แห่งนี้เองที่ทำให้ผมได้เจอคนไทยด้วยกันมากขึ้น
#Enkoji temple (圓光寺)
open : 9:00 to 17:00 (entry until 16:30)
Fees : 500 Yen
วัดนี้มีชื่อเสียงมากในเรื่องความสวยงามของใบไม้แดงครับ โดยเฉพาะมุมที่มองจากด้านในห้องชมออกมา ผมเห็นครั้งแรกยังตกตะลึง เพราะว่ามันสวยม้าาาาาาก เกินบรรยายจริงๆ แค่ได้นั่งมองเฉยๆความสุขก็เกิดขึ้นครับ
สุดท้ายของวันนี้ ผมเดินทางไปยังกลุ่มวัดเซน Daitoku-ji ครับ การเดินทางค่อนข้างซับซ้อนเพราะผมมาจากเส้นทางนอกเมือง ใช้การนั่ง Subway Karasuma line มาลงสถานี Kitaoji จากนั้นใช้วิธีการเดินตาม GPS ในโทรศัพท์มือถือครับ
#Daitoku-ji temple (大徳寺)
ในเกียวโตมีวัดเซนอยู่จำนวนมาก กลุ่มวัดเซน Daitoku-ji เป็นหนึ่งในวัดเซนที่สำคัญที่หลายคนน่าจะได้มาเที่ยวชมสักครั้งครับ โดยเฉพาะในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี้ บางวัดในกลุ่มวัดเซน Daitoku-ji จะมีการเปิดให้เข้าชมเป็นพิเศษ น่าเสียดายที่บางวัดไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปความสวยงามด้านใน จึงไม่ได้เก็บมาฝากเพื่อนๆนะครับ เนื่องจากตอนที่มาถึงเวลาก็เกือบ 16.00 แล้ว ทำให้แสงอาทิตย์ (ที่วันนี้ออกมาอวดเพียงน้อยนิด)เริ่มจะลับไปแล้ว ภาพอาจค่อนข้างมืดไปบ้างครับ
##Daisenin & Ryogenin temple
##Oubai-in temple
##Kourin-in temple
และแล้วในที่สุดฝนก็ได้ตกลงมาครับ ผมซึ่งเป็นคนที่ไม่ชอบพกร่มก็เกิดอาการเงิบชั่วขณะ ก่อนจะวิ่งหาที่หลบฝนกันพักใหญ่ กว่าจะกลับ guest house ก็เปียกปอนไปทั้งตัว หนาวก็หนาวยังต้องมารอต่อคิวเข้าห้องน้ำ 555 แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีครับ
วันต่อไปจะเป็นการเที่ยวในส่วนของ Kyoto Signature แต่จะเป็นที่ไหนบ้าง ต้องติดตามชมครับ