เมืองนอกครั้งแรก คนเดียวด้วยนะ เรียนๆเที่ยวๆ

ตอนที่ 2  http://ppantip.com/topic/34573660/comment4
ตอนที่ 3  http://ppantip.com/topic/34573660/comment11
บทที่ 1 อดีต เหตุผล จุดเริ่มต้น ออกเดินทาง
ตอนที่ 1 My History

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาเขียนเรื่องราวแชร์ประสบการณ์ หากผิดพลาดประการใด ควรปรับปรุงตรงไหน ยินดีรับคำแนะนำ ติชมทุกอย่างครับผม ยิ้ม
ผมจะแบ่งเรื่องราวการเดินทางของผมออกเป็นหลายๆพาร์ท โดยพาร์ทแรกนี้ ผมจะขอเริ่มด้วยเรื่องที่ผมไปเรียนภาษาก่อนเป็นอันดับแรกครับผม
(ทั้งหมดเกิดขึ้นในปี2014)
ขอเริ่มด้วยประวัดิอันน่าเบื่อ 555 ใครไม่สนใจก็ข้ามได้เลยครับบ ยาวนิดนึง แต่ถ้าใครสนใจลองอ่านดูครับ อาจเป็นแรงฮึด แรงบัลดาลใจให้ได้

           เรื่องราวมันเริ่มขึ้นเมื่อ เด็กมหาลัย freshmen ปี1 ใสๆ(เหรอ) ที่ก็เหมือนกับเด็กรุ่นเดียวกันทั่วๆไป ที่พอมีความสามารถภาษาอังกฤษด้านการเขียน, แกรมม่า และการอ่านบ้าง แต่เรื่องการฟังและการพูดนี่..... (สำหรับผมการพูดการฟังนี่ติดลบ 55+)  โดยในสมัยผมอยู่ชั้นประถมนั้น ผมก็เรียนโรงเรียนรัฐบาลธรรมดาๆ ไม่ใช่โรงเรียนประถมที่ดังหรือมีชื่อเสียงของจังหวัดด้วย ไม่ได้มีการเน้นหรือเคร่งภาษาอังกฤษแต่อย่างใด และซ้ำร้าย ผมเจอครูสอนภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างดุ เคร่งในสิ่งที่ตัวเองสอน ทำให้ผมเป็นหนึ่งในเด็กที่เกลียดภาษาอังกฤษไปเลย แบบไม่อยากแตะต้องไม่อยากเรียน ไม่อยากรับรู้ ผมก็บอกพ่อแม่ผมเลยนะว่าผมไม่อยากเรียน ไม่ชอบ
           แต่พ่อแม่ผมก็จะพูดเสมอว่า ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญนะ โตขึ้นมันต้องได้ใช้นะ ซึ่งท่านก็พูดกรอกหูเราตลอด แต่ก็อย่างว่ามันก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวานะ 55 จนกระทั่งเมื่อผมขึ้นชั้นม.1 พ่อแม่ก็บังคับผมไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ T_T โอว้ม่ายยยยยย หนูม่ายยชอบบบบ
           ซึ่งการบังคับผมมาเรียนพิเศษครั้งนี้นี่เองที่เปลี่ยนความคิดของผมต่อภาษาอังกฤษไปตลอดกาล ผมชอบวิธีการที่พี่คนนี้สอนมากๆ คือเกิดมาไม่เคยคิดว่าภาษาอังกฤษมันจะเป็นเรื่องที่สนุกได้ จากที่เคยแต่ท่องๆๆๆๆๆๆ แกรมม่านู่นนี่นั่น ก็เริ่มมีวิธีจำ ทำความเข้าใจแบบใหม่เข้ามา จากที่เคยไม่ชอบ ไม่สนุกกับภาษาอังกฤษ เรากลับเริ่มมาสนใจมันมากขึ้น (ปล.ส่วนนึงที่สนใจเพราะติดRagnarokมากกกกกกกกๆๆๆๆ ตอนนั้น บางอย่างมันก็เป็นภาษาอังกฤษ ก็อยากเข้าใจมั่งอะ55) จากเริ่มแรกที่ไปเรียนก็ยังกลัวๆ เพราะผมโง่ภาษามากๆ ไปเรียนกับคนอื่นก็อายเขา เพื่อนที่รู้จักก็แทบไม่มี คนทีเรียนด้วยก็มีแต่เก่งๆ T_Tดูหน้าแล้วรู้เลย โถ่ววว (เอ้อผมลืมบอก เด็กที่จบประถมแล้วมาสอบติดเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมที่ผมเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดที่มีชื่อเสียง มีไม่ถึง10คน และผมสอบได้ที่สุดท้าย ชื่อท้ายสุด คะแนนต่ำสุด โชคดีจังเบยยย)
          ความทรงจำที่ผมยังจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ คือ พี่คนสอนสั่งให้ผมเขียนคำว่า Wash ที่แปลว่าซัก ซึ่งตอนผมอยู่ ม.1 ตอนนั้น ผมไม่รู้เลยว่ามันแปลว่าอะไร เขียนยังไง ผมรู้จักแค่ Watch สุดท้ายก็หน้าด้าน แอบถามคนข้างๆ คือแบบอายมาก 5555
           แต่ด้วยความที่ผมชอบสไตล์การสอนของพีแกมาก เลยพยายามมาเรื่อยๆ ทนมาเรื่อยๆ จากโง่มากๆๆ เริ่มโง่น้อยลง สุดท้ายเราก็มาถึงจุดนึงที่เราสามารถทำโจทย์ได้แบบเพื่อนแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เราได้มาคือ สกิลการ อ่าน,แกรมม่า แล้วก็ได้ฟังบ้างเล็กๆน้อยๆ
            สุดท้ายพอจบม.3 ผมก็สอบติดห้องกิฟท์อังกฤษ lol ไม่น่าเชื่อ ชีวิตเปลี่ยนมากกกกก กูมาถึงจุดๆนี้ได้ยังไง5555+ ตอนนี้เราก็เริ่มมั่นใจในตัวเองละ เห้ยกูทำได้หว่ะ แกรมม่าชิลๆ อ่านบทความชิลๆๆๆ แต่....... สุดท้ายชีวิตมันก็เปลี่ยนอีก ครูสอนกิฟท์เป็นฝรั่งหว่ะ หนูพูดไม่เป็น ฟังไม่รู้เรื่องงงง T_______________T แต่ก็นะ ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เรายังไม่ได้คิดว่ามันสำคัญอะไรกับชีวิต เป้าหมายตอนนี้ของม.ปลาย เป็นการเตรียมตัว วางแผนเพื่อเอนทรานซ์ให้ได้ในคณะที่เราคิดว่าเป็นที่ยอมรับ ด้วยสกิลการทำข้อสอบ,แกรมม่า,reading ที่ติดตัวมา (เรียนพิเศษภาษาอังกฤษที่เดียวตั้งแต่ม.1ยันม.6) ก็ทำให้สอบติด โชคดีคณะนี้มันให้weight ของวิชาภาษาอังกฤษเยอะ
            พอเข้ามาปี1 เรียนอังกฤษ มีแต่ครูฝรั่งสอน (อีกแล้วlol) และ เพื่อนในห้อง หลายคนเป็นเด็กแลกเปลี่ยน AFS นู่นนี่นั่นบลาๆ ซึ่งมันคุยกับฝรั่งปร๋อมาก รู้สึกอิจฉาาาาาาา แล้วในมหาลัยมันยังมีงานที่ต้องพรีเซ้น พูดเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมาถึงจุดนี้ เราก็ใบ้รับประทานสิครับ อายสุดๆทำไม่ได้ แค้นตัวเองสุดๆ กลับมาถึงจุดที่กูโง่มากอีกแล้ว55 และนี่แหละมันคือจุดเปลี่ยนอีกครั้งที่สำคัญที่ทำให้อยากเรียนภาษาเพิ่มมากขึ้นไปอีก
           สุดท้ายเมื่อปิดเทอมมาถึง และปีนี้เลื่อนปิดตามAEC ด้วย หยุดยาวววววววววมากกก จะรออะไรหละ ขอพ่อแม่ไปเมืองนอกสิ อยากเรียนโว้ยยยย อยากพูดได้ อยากฟังรู้เรื่องโว้ยยยยยยยย ผมก็มานั่งหาข้อมูล ประเทศไหนน่าไป คนไทยไม่เยอะ อยากฝึกภาษาจริงๆ จะเอาแต่อังกฤษนี่แหละ ไม่รู้เรื่องก็ไปตายเอาดาบหน้า หักดิบไปเลย (ดูโหดเนอะ หาข้อมูลไปๆมาๆ จึงได้เป้าหมายละ ว่าจะไป Dunedin, New Zealand (คนเดียว)
        ยาวจัง แต่ก็จบไปแล้ววว หวังว่าจะมีประโยชน์ inspire ใครซักคนได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับบ ยิ้ม

         เริ่มได้ ! ไปมันคนเดียวนี่แหละ สู้โว้ยยยยย เพี้ยนไฟลุก


ของทั้งหมดที่พวกมาจากไทยครับ Backpack 1 ใบ(กะเที่ยวต่อแน่ๆๆๆๆๆๆ อิอิ) กระเป๋าใบเล็ก 1 ใบใส่ของสำคัญ รองเท้าผ้าใบ
ทุกอย่างนี้จะอยู่กับผมไปอีกเป็นระยะเวลา 3 เดือนใน New Zealand แดน Sheep ที่ไม่ Cheap

เริ่มออกเดินทาง
นั่งเครื่องไปเมืองนอกโครตไกลคนเดียว ภาษาอังกฤษงูๆปลาๆ บอกเลยตื่นเต้นมากกกกกก จะรอดไม๊เนี่ยย
ใช้เวลาประมาณ 13 ชม.กว่าๆ stop ที่ออสเตรเลียครั้งนึง ประมาณ 1.30 ชม. บิน BKK-Christchurch by Emirate แล้วต่อด้วย Christchurch - Dunedin by Air New Zealand อีกประมาณ 1 ชม.
พวกนี้เป็นภาพที่ถ่ายตอนนั่งจาก Christchurch มา Dunedin ครับ ตื่นเต้นมากๆ ประเทศอะไรมันจะเขียวๆฟ้าๆได้ขนาดนี้



โอ้วว อะไรนั่นเหมือนทุ่งๆ สี่เหลี่ยมเต็มไปหมดเลยยยย

ตรงนี้ดูน่าจะเป็นตัวเมือง ดูบ้าน อาคารเยอะๆ

เครื่องใกล้ถึงพื้นแล้ววว

ใกล้เข้าไปอีก แม่น้ำลำคลองไรไม่รู้ ถ่ายไว้ก่อน ตื่นเต้นอ่ะ55

แตะพื้นแล้วจ้าาา ถึงซะทีการเดินทางอันแสนยาวนานนั่งจนเมื่อยตูด
สนามบิน Dunedin นี่อารมประมาณ์ตึกเล็กๆตึกเดียว ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา ดูaloneมากๆ 555 ประเทศนี้มันเงียบสงบสมคำร่ำรือ มองไปรอบตัวเห็นแต่ภูเขาต้นไม้และใบหญ้า (คิดถูกแล้วใช่ไม๊ที่เลือกมาที่นี่อมยิ้ม11)
เห็นสว่างๆอย่างงี้จะทุ่มนึงแล้วน้าาาาา มาถึงนี่งงมาก เอ้าาา นี่ทุ่มนึงเหรอออ และเนื่องด้วย NZ เวลาเร็วกว่าไทยไป 6 ชม. มาถึงวันแรกยังงงกับเวลามากๆ นอนไม่หลับเลย
พอเครื่องลงผมก็เข้าไปในตึกของสนามบิน รอรับกระเป๋า รอโฮสท์มารับ

วันนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้ก่อนครับ เดี๋ยวมาเขียนต่อ อีกยาวๆเลย
รบกวนชี้แนะด้วยครับผม
ถ่ายรูปไม่ค่อยเป็นนะครับTT


เอารูปลูกของโฮสต์คนแรกมายั่วก่อน
สองพี่น้องเสื้อแดงจอมโวยวายขี้ดื้อมาก 555
เด็กเสื้อดำลูกคนแถวๆนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่