จากกระทู้ลูกคนงานทำของสะสมพัง สู่คำถามที่ว่าด้วยสิทธิ หน้าที่ จิตสำนึกและความใจดีที่ผิดทาง

เนื้อหาของกระทู้ที่เราอ้างอิงมาคือกระทู้นี้ค่ะ http://ppantip.com/topic/34553605

.........................

ติดตามอ่านกระทู้นี้มาตั้งแต่วันที่เจ้าของกระทู้ตั้งใหม่ๆ ค่ะ

เราอ่านทุกความคิดเห็น ค่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่าเป็นกระทู้ที่มีทัศนคติหลากหลายน่าสนใจดี ก่อนอื่นจึงขอรวบรวมข้อเท็จจริงจากเจ้าของกระทู้นั้นมาสรุปเรื่องแบบสั้นๆ ก่อนนะคะ

คือเจ้าของกระทู้เป็นนักศึกษา สะสมฟิกเกอร์ วันหนึ่งที่บ้านเจ้าของกระทู้ว่าจ้างคนงานกลุ่มนี้เข้ามาต่อเติมห้อง เด็กลูกคนงานที่ตามมากับพ่อแม่ด้วยได้รื้อของสะสมของเจ้าของกระทู้มาเล่นจนเกิดความเสียหาย ชิ้นส่วนสูญหายบางชิ้น ซึ่งของสะสมของเจ้าของกระทู้มีมูลค่าสูงพอสมควร

ข้อเท็จจริงในส่วนของเจ้าของกระทู้มีดังนี้

1. เก็บของสะสมลงกล่อง ลงกระเป๋า ปิดมิดชิดแล้ว
2. คุณแม่ย้ายของสะสมของเจ้าของกระทู้ไปไว้ในอีกห้องหนึ่งที่ไม่มีการต่อเติมซ่อมแซม นั่นคือไม่ได้อยู่ในส่วนที่คนงานจะเดินเข้าไปได้
3. คุณแม่ไม่ได้ล็อกห้อง

ข้อเท็จจริงในส่วนของเด็ก ที่มีคนถามเจ้าของกระทู้ว่าเด็กอายุเท่าไหร่ รู้ความหรือยัง คำตอบคือ



ซึ่งอายุเท่านี้ก็อนุมานได้ว่าเด็กคุยรู้เรื่องแล้ว รู้ว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร และ 'พ่อแม่สามารถสั่งได้'

ตอนนี้เจ้าของกระทู้ตกลงใจว่าจะให้ทางฝ่ายคนงานหาชิ้นส่วนที่หายไปให้เจอ ถ้าไม่เจอจะให้ชดใช้ราคาทรัพย์ที่เสียหายนั้น

นี่คือข้อมูลสรุปจากทางเจ้าของกระทู้นะคะ

ในส่วนนั้นเราไม่สงสัยอะไร สิ่งที่ทำให้เราต้องมาตั้งกระทู้ในวันนี้อยู่ที่ความคิดเห็นของหลายๆ ท่านในนั้นมากกว่า

คือเรางงมาก ยอมรับเลยว่างง กับความคิดเห็นในหลายๆ ประเด็น เราจะขอแยกเป็นประเด็นต่างๆ นะคะ โดยจะสรุปรวมจากความคิดเห็นในทำนองนั้นมาเป็นข้อๆ

1. ให้เจ้าของกระทู้เลิกแล้วต่อกันไปเสีย เพราะถึงคิดค่าเสียหายไป ทางคนงานก่อสร้าง ซึ่งมีฐานะ 'ยากจน หาเช้ากินค่ำ' ก็คงไม่สามารถหามาชดใช้ได้

2. คุณแม่เจ้าของกระทู้ก็มี 'ส่วนผิด' ในเรื่องนี้ กล่าวคือไม่ได้ล็อกห้อง ทำให้เด็กสามารถเปิดเข้าไปได้ ดังนั้นเจ้าของกระทู้จึงควรไม่เอาความ หรือเรียกค่าชดเชยต่ำกว่าราคาจริง เนื่องจากทางเจ้าของกระทู้ก็ประมาทเลินเล่อเอง

3. เด็กอย่างไรก็คือเด็ก เห็นเป็นของเล่นก็เล่น เตือนได้แต่ก็คงยาก เพราะฉะนั้นอย่าไปเอาความกับเด็ก

เอาแค่สามประเด็นหลักๆ นี้ก่อนเลยนะคะ

เรางงว่าเมื่อไหร่กันที่ข้าวของเราอยู่ในบ้านของเรา จู่ๆ มีคนเข้ามาในบ้านเรา 'โดยไม่มีเหตุอันควร' เข้าไปในพื้นที่ที่เราไม่ได้อนุญาต ทำทรัพย์สินของเราเสียหาย แต่เรากลับเป็นฝ่ายผิดที่เก็บของไม่ดี?

ความจริงแล้ว ภายในบ้านของเรา เรา 'มีสิทธิ์' ที่จะวางอะไรไว้ที่ไหนก็ได้นี่คะ จะวางกลางห้องรับแขก ตั้งโชว์หราไว้ ไม่ว่าใครก็ 'ไม่มีสิทธิ' มาหยิบไปทั้งนั้น

พูดถึงระดับศีลธรรม การไม่หยิบฉวยของของผู้อื่นนี่มันศีลข้อ 2 ซึ่งมันเป็นศีลธรรมระดับพื้นฐานที่คนปกติควรจะมีติดตัวเลยนะคะ

พูดถึงสิ่งที่ควรจะเป็น ต่อให้เราวางของเอาไว้ในที่สาธารณะโดยยังไม่ได้แสดงเจตนาสละการครอบครอง ไม่ว่าใครก็ 'ไม่มีสิทธิ' หยิบฉวยของเราไปทั้งนั้น และเขาควรมี 'จิตสำนึก' ขั้นพื้นฐานนี้ด้วย

จิตสำนึกขั้นพื้นฐานเหล่านี้ เช่น การไม่หยิบฉวย ไม่วุ่นวายกับสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีการศึกษาแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับการสั่งสอนของพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก และการสำนึกรู้ตามบรรทัดฐานของสังคม โดยที่ไม่จำเป็นว่าพ่อแม่จะต้องมีการศึกษา มีฐานะ ถึงจะสามารถสอนลูกให้รู้ถึงเรื่องพื้นฐานเหล่านี้ได้

คนทำมาหาเช้ากินค่ำก็มีสำนึกแบบนี้ได้ แม้แต่ขอทานก็มีสำนึกแบบนี้ได้ หากเขาถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก และพ่อแม่ที่จะสอนลูกได้ก็ไม่จำเป็นต้องทำงานดีๆ มีเงิน

แค่มีความใส่ใจที่จะสั่งสอนเด็กให้เป็นคนดี มีความรับผิดชอบก็เพียงพอแล้วนี่คะ

ความจนไม่ใช่ข้ออ้างทำให้การกระทำของเราไม่ผิด ไม่ใช่ข้อยกเว้นที่ทำให้เราไม่ต้องรับผิดชอบกับความผิดที่เราก่อ

ความสงสารเห็นใจ ควรแยกกับข้อเท็จจริงนะคะ

เราก็สงสารนะ พ่อแม่ของเขาอาจจะต้องหาเงินเพิ่มมากขึ้นเพื่อชดเชยให้กับเจ้าของกระทู้ อาจจะลำบากมากขึ้น แต่นั้นคือสิ่งที่ควรทำค่ะ และเขาควรเป็นฝ่ายเสนอความรับผิดชอบเองด้วย ไม่ใช่รอให้ผู้เสียหายมาบอก

หลายๆ ท่านที่บอกว่าให้อภัยเขาเถอะ ให้โอกาสเขาเถอะ เราอยากพูดเหลือเกินว่า การให้อภัย โอกาส เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่คุณควรจะได้ หรือมันจะมีค่าเมื่อพวกคุณสำนึกถึงผลของการกระทำอย่างแท้จริงไม่ใช่หรือคะ

จริงอยู่ว่าการให้อภัยเป็นสิ่งที่ดี แต่ให้อภัยกับคนที่ไม่สำนึก ให้โอกาสกับคนที่ไม่ได้อยากจะแก้ตัว จะมีประโยชน์อะไร?

หลายๆ ท่านมีน้ำใจนะคะ และหลายๆ ท่านเรียกร้องให้เจ้าของกระทู้มีน้ำใจแก่คนงาน แต่อย่าลืมนะคะว่า เจ้าของกระทู้ไม่ได้เป็นคนผิด และไม่ได้มีส่วนผิดเลย (ขอย้ำว่าไม่มีใครมีสิทธิหยิบฉวยของของคนอื่นโดยพลการได้ ถ้าทำโดยไม่ได้รู้จัก ไม่ได้สนิท ไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้าของทรัพย์ ยิ่งเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจและไร้มารยาทมาก) หากเจ้าของกระทู้จะเรียกร้องตามสิทธิที่ตนเองพึงได้ เจ้าของกระทู้ก็ทำได้ โดยที่ไม่ควรถูกต่อว่าด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น

เราชอบความคิดเห็นหนึ่งในกระทู้นั้นมาก ต้องขอโทษด้วยค่ะว่าเราจำไม่ได้ว่าท่านไหนเป็นผู้ออกความเห็น เนื้อความประมาณว่า

"คนงานมี 'หน้าที่' ต้องรับผิดชอบ เจ้าของกระทู้มี 'สิทธิ' ที่จะได้รับการชดใช้"

การให้อภัยเป็นสิ่งที่ดีค่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่ให้อภัยจะเป็นคนไม่ดี มันเป็นสิทธิของเจ้าของกระทู้ที่จะให้หรือไม่ให้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับการแสดงความกระตือรือร้นในการรับผิดชอบของฝ่ายกระทำมากกว่า เราเชื่อว่าถ้าเขามีท่าทีรับผิดชอบเต็มที่ เจ้าของกระทู้ก็มีทางออกที่ดีให้เขาแน่ๆ

แต่ที่สำคัญ ทางคนงานควรได้รับบทเรียนค่ะ บทเรียนที่เขาจะสามารถส่งต่อไปให้ลูกเขาได้

บทเรียนว่าด้วยมารยาท จิตสำนึก และความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองค่ะ

ถ้าทางคนงานใช้เหตุการณ์ในครั้งนี้สอนลูก เราก็จะมีประชากรที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นให้กับประเทศชาติอีกหนึ่งคน

แต่ไม่ใช่ว่าเราจะปล่อยให้ความใจดี...ดีจนผิดทางทำให้พวกเขารู้ว่า จะทำของใคร เอาของใครมาก็ไม่เป็นไร แค่บอกว่าจน ไม่มีเงินชดใช้ก็จบ

เพราะอย่างนั้นก็เท่ากับเรากำลังบ่มเพาะโจรขึ้นมานั่นเอง

จนรวย...ไม่ได้วัดระดับความรับผิดชอบว่าควรมีมากน้อยกว่ากัน
จน...ไม่ได้เป็นเหตุลดความผิด ลดโทษ
รวย...ไม่ได้เป็นเหตุให้ต้องรับผิดชอบ หรือเป็นฝ่ายที่ถูกคาดหวังว่าต้อง 'มีน้ำใจ'

โดยเฉพาะน้ำใจที่ให้กับคนที่ไม่เห็นค่า สุดท้ายคนให้น้ำใจก็อาจจะเสียกำลังใจ คนที่ได้รับก็อาจจะมองเห็นเป็นโอกาสในการละเมิดคนอื่นๆ ต่อไป

สิ่งที่เราต้องการจะบอกในกระทู้นี้คือ

เจ้าของกระทู้นั้นไม่ผิด คุณแม่ก็ไม่ผิด เรากำลังอยู่ในสังคมแบบไหนกันถึงบอกว่าคนที่ถูกหยิบฉวยข้าวของของตนเองไปเป็นฝ่ายผิด

คนผิดอาจจะไม่ใช่เด็ก แต่พ่อแม่เด็กผิดเต็มๆ

ทีนี้ก็วัดกันที่จิตสำนึกล่ะค่ะ ว่าเขาจะมีมากพอที่จะยืดอกแสดงความรับผิดชอบออกมารึเปล่า ไม่ว่าข้าวของที่ลูกเขาทำพังจะเป็นเพียงของเล่นในสายตาคนอื่นๆ หรือจะมีมูลค่าสูงเท่าไหร่ก็ตาม

ก่อน 'ยกโทษ' ควรมีการ 'ขอโทษ' จากใจมาก่อนนะคะ ไม่ใช่เรียกร้องให้ข้ามขั้นตอนไปเสียเพียงเพราะอีกฝ่ายมีสถานะทางสังคมด้อยกว่า ไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่เขาจะจำไปว่า ความจนคือเกราะกำบังความผิด

จิตสำนึกนี่แหละค่ะ ที่จะบ่งบอกว่าเขาควรค่าพอให้เรามีน้ำใจให้เขาแค่ไหน


.........

เนื่องจากเลือกความคิดเห็นไม่ได้ เลยต้องเอามาเพิ่มที่นี่ล่ะค่ะ

กลับมาอีกที ตกใจมาก โหวตกันเยอะจัง เค้าเขิน 55555

คือ บางคนเข้าใจผิด ขอชี้แจงว่าเราไม่ได้เป็นเจ้าของกระทู้นั้นนะคะ เป็นแค่คนอ่านที่รู้สึกสะดุดกับหลายๆ ความเห็นเฉยๆ

ที่เรามาตั้งกระทู้นี้ ไม่ใช่ว่าไม่เห็นใจทางเด็กกับพ่อแม่เด็กนะคะ

แต่ถ้าอ่านในเนื้อหากระทู้เรา จะพบว่าเราไม่ได้โฟกัสไปที่เรื่องที่ว่าจะให้รับผิดชอบต่อเจ้าของกระทู้ก่อนเขายังไง เพราะไม่ใช่ประเด็นที่เราอยากสื่อในกระทู้นี้

สิ่งที่เราอยากสื่อในกระทู้นี้มีสองสามอย่าง คือเรื่องของจิตสำนึกที่เราควรปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่า ของของคนอื่น ถ้าเขาไม่อนุญาต ต่อให้มันมาอยู่ต่อหน้าเรา เราก็ไม่มีสิทธิทำอะไรได้

และอย่าเอาเรื่องที่ว่าเจ้าของกระทู้นั้นควรมีน้ำใจให้ทางพ่อแม่เด็กมาเกี่ยวค่ะ อย่าเพิ่งเอามาเกี่ยว มันเป็นอีกประเด็น อีกขั้นตอน เอามามั่วกันไม่ได้นะคะ เพราะนั่นเป็นเรื่องส่วนตัวว่าเจ้าของกระทู้นั้นจะทำอย่างไรก็ได้ ประเด็นของเราอยู่ที่ทางนี้ผิดไหมต่างหาก

อ้อ เราเป็นลูกคนจนค่ะ พ่อแม่จบป.4 ที่บ้านกระยิ้มกระสนดิ้นรนเหมือนกัน ถึงไม่ได้ทำงานก่อสร้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรวยไปมากกว่าเขาเท่าไหร่ แต่พ่อแม่เราสอนเรา สอนน้องมาดีค่ะ เพราะเขาใส่ใจ

บางคนในเฟสบอกว่าเรารวย เราถึงไม่เข้าใจทางฝั่งคนงาน บอกเลยว่าเราไม่รวยค่ะ

แต่จะบอกว่าเด็ก 8-9 ขวบนี่อยู่ในวัยเรียนรู้ เลียนแบบนะคะ อยากให้เขาเป็นคนดี นิสัยดี สอนกันตอนนี้ เขาจะจำไปตลอด อยากให้เขามีมารยาท มีจิตสำนึกที่ดี รีบเลยค่ะ นี่คือช่วงที่เด็กจะเลือกจดจำมากที่สุดแล้ว

ใครที่บอกว่าเราไม่เข้าใจเด็กดื้อ ต้องเข้าใจจิตวิทยาเด็กให้มากกว่านี้ เราเข้าใจค่ะ เราเป็นเด็กสมาธิสั้นที่ต้องทานยาเวลาต้องการสมาธิมากๆ ทำไมเราจะไม่เข้าใจว่าอาการอยู่ไม่สุข ลุกลี้ลุกลนนั่งไม่ติดเป็นอย่างไร ทำไมเราถึงจะไม่รู้ล่ะคะว่ามันมีวิธีเลี้ยงดูควบคุมนะ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาของทางฝ่ายพ่อแม่เด็ก ไม่ใช่อะไรที่ทางเจ้าของกระทู้นั้นจำเป็นต้องรับรู้หรือแบกรับด้วยทั้งนั้น

ตอนเราเรียน อ.สอนว่าเวลาทำผิด เรามองแค่การกระทำตรงนั้นว่ามันผิดหรือไม่ เจตนาหรือเปล่า รู้หรือไม่ว่าคือความผิด ส่วนสาเหตุ เบื้องลึกเบื้องหลังว่าทำไมถึงทำผิด ไม่ใช่สิ่งที่เราจะเอามาข้องเกี่ยวในการตัดสิน

แต่มันจะเป็นสิ่งที่เราต้องรู้ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มีการกระทำผิดเกิดขึ้น หรือกระทำผิดซ้ำอีก

เหมือนบอกว่าเด็กขโมยของเอาเงินไปซื้อยา เด็กผิดไหม ผิด เด็กซื้อยาทำไม เพราะบ้านเด็กมีปัญหา เบื้องหลังอาจจะดราม่าน้ำตาริน แล้วอย่างไร...?

ในเมื่อความผิดก็คือความผิด สิ่งที่ควรทำคือจัดการกับความผิดนั้นเสีย ส่วนเบื้องหลังอันน่าสงสาร เป็นสิ่งที่เราควรเข้าไปแก้ไขหรือป้องกัน หรือทำให้มันดีขึ้น เพื่อเขาจะได้ไม่กระทำผิดซ้ำอีก

แต่ถามว่า คนที่ถูกขโมยนั้นเขาผิดอะไรถึงถูกขโมยของ เขามีส่วนในดราม่าของเด็กติดยาหรือ ทำไมเขาต้องยอมรับปัญหาของเด็กติดยา ที่เป็นคนละครอบครัวกันกับเขา เขาต้องยอมหรือ ถึงจะเป็นคนดีตามมาตรฐานของสังคม เพียงเพราะเขาไม่ได้อินกับดราม่าในชีวิตของเด็กคนนั้นหรือ จึงต้องกลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ

เราว่าไม่แฟร์กับผู้เสียหายเลยนะคะ

มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เราเห็น สะท้อนออกมาจากผู้ที่บอกว่าให้เห็นใจทางครอบครัวฝั่งคนงาน คือเหมือนจะเป็นแพทเทิร์นจนเราเริ่มแปลกใจอีกแล้วนะเนี่ย 55555

เหมือนหลายๆ คนจะคิดกันนะคะว่าคนงานต้อง 'จน'

และพอจน สิ่งที่ตามมาพร้อมกับความจน นั่นก็คือ

1. ไม่มีเวลาให้กับเด็ก
2. ไม่มีเหตุผลในการเลี้ยงเด็ก
3. อาจจะใช้กำลังกับเด็ก
4. ไม่รู้จักวิธีสอนเด็กให้เข้าใจในสิ่งต่างๆ

จริงค่ะ จริงในส่วนหนึ่ง มันเป็นเหมือนภาพลักษณ์ของ 'ความจน' ไปแล้ว

อาจจะเพราะผู้ต้องหา ผู้ก่อคดีหลายๆ คน มีพื้นฐานครอบครัวมาอย่างนี้

แต่...ไม่ได้หมายความว่าครอบครัวคนจนจะต้องเป็นอย่างนี้ทั้งหมด คนจนอีกมากมายสอนลูกให้ขยัน มานะ เรียบร้อย อดทน มีมารยาท ใฝ่รู้ ฯลฯ ทั้งที่พ่อแม่ก็ไม่ได้มีการศึกษาสูง หรือฐานะทางสังคมดี

อย่างที่สองที่สังเกตได้คือ เวลาพอยกข้อต่อสู้ว่าจน แล้วจะต้องมี 4 ข้อข้างบนเป็นส่วนประกอบ

สังเกตไหมคะ ว่าหลายๆ คนกำลังยัดเยียดให้คนจนกลายเป็นคนที่ปัดความรับผิดชอบ ไม่จำเป็นต้องมีมารยาท ไม่จำเป็นต้องสำนึกรู้ในสิ่งสามัญพื้นฐานของการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรอีกหลายๆ เพียงเพราะว่าจน

เรากำลังมองคนจนเป็นแบบไหนกันแน่หนอ...

ที่แน่ชัดที่สุดที่มันสะท้อนออกมาจากมุมมองอย่างนี้ คือเรากำลังมองว่าคนจนไม่ได้มีสถานะเหมือนดังเช่นเดียวกับคนทั่วไป ไม่ได้เท่าเทียม จริงไหม?
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่