คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ลูกค้าที่ใช้บริการซักผ้า แบ่งออกเป็นสองประเภทครับ
ประเภทที่หนึ่ง คือกลุ่มลูกค้าที่ อยู่หอพัก ห้องเช่าพักอาศัย บ้านพักข้าราชการ ลูกจ้างที่พักตามโรงงาน ชุมชน บ้านที่ไม่มีเครื่องซักผ้า หรือมีแบบ 2 ถัง หรือมีเครื่องซักผ้าขนาดเล็ก มีเครื่องเดียว ไม่พอซัก ไม่ทันซัก เน้นความประหยัด สะดวกสบายในระดับหนึ่ง ต้องการซักผ้าจำนวนมากพร้อมๆกัน หรือเครื่องซักผ้าตัวเองเสีย ยังไม่ได้ซื้อเครื่องซักผ้าใหม่ จะใช้บริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ซักเสร็จเอามาตากเองรีดเอง มีพื้นที่ในการตากผ้าเองมีเวลาในการตากผ้า รีดผ้าเอง
ประเภทที่สอง คือกลุ่มลูกค้าวัยทำงาน วัยกลางคน ผู้ใหญ่ มนุษย์เงินเดือน มีรายได้ดี พักอาศัยอยู่แมนชั่น อพาร์ทเม้นท์ หอพัก ห้องเช่า ตึกแถวที่ หรืออาจไม่มีพื้นที่ในการซักผ้า-ตากผ้า ไม่สะดวกที่จะซักรีดเอง ไม่มีเวลา ไม่มีแรง ต้องการความสะดวกสบาย มีสตางค์ในกระเป๋า เงินเดือน รายได้ดีแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้ซื้อความสะดวกสบายแบบครบวงจร เอาเสื้อผ้าเข้าร้านซักอบรีด ครบวงจร เสร็จไปรับผ้ามาใส่ได้เลย หรือมีบริการส่งผ้าถึงที่ กรณีที่สองนี้ ร้านซักอบรีดต้องบริการครบวงจรครับ ซักอบรีดเบ็ดเสร็จ
เสื้อผ้าลูกค้าที่มาซักนั้นมีปริมาณไม่เท่ากัน มาก หรือน้อย สังเกตร้านซักอบรีดที่มีลูกค้าเข้าประจำ จะมีเครื่องซักผ้าอย่างต่ำ 3-4 เครื่อง
ได้แก่ เครื่องซักผ้าฝาหน้า 7-8kg เครื่องซักผ้าฝาหน้า 11-13kg เครื่องซักผ้าฝาบน 14kg โดยส่วนใหญ่แล้วซักอบรีด ต้องมีเครื่องซักผ้าฝาหน้าเป็นหลักเพราะซักสะอาด ถนอมผ้าลูกค้า ซักแยก ของใครของมัน ลูกค้านาย ก. มาซักเสื้อผ้า 1 ตระกร้าเล็ก ก็เอาลงเครื่องฝาหน้าขนาด 7-8kg ซักเสร็จตากแดด รีดพร้อมส่งลูกค้า ไม่มีแดดฝนตก ซักเสร็จอบแห้ง รีดพร้อมส่งลูกค้า
ลูกค้าที่นำผ้านวมมาซักผ้าผืนใหญ่ บางร้านซักเครื่องฝาบนขนาด 14-20kg แต่ส่วนใหญ่ร้านซักอบรีดจะยัดลงเครื่องฝาหน้า 11-13kg ขึ้นไปก็สามารถซักผ้านวม 6 ฟุตได้
เครื่องซักผ้าฝาหน้าแต่ละขนาด จะเหมาะสมกับปริมาณผ้าที่ลูกค้านำมาให้ซัก ร้านซักอบรีดจะสามารถประหยัดต้นทุน ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้าได้มาก
ถ้าใช้แต่เครื่องซักผ้าฝาหน้า เครื่องจะกินไฟมากกว่าฝาบนเล็กน้อย แต่ประหยัดน้ำได้มากกว่าเป็น 10 เท่าตัว อย่าลืมว่า ค่าน้ำแพงสุดๆ แพงกว่าค่าไฟน่ะครับ น้ำหน่วยหนึ่ง 19 - 22.78 บาท ไฟหน่วยล่ะ 4.5 - 7 บาท เป็นต้น
ประเภทที่หนึ่ง คือกลุ่มลูกค้าที่ อยู่หอพัก ห้องเช่าพักอาศัย บ้านพักข้าราชการ ลูกจ้างที่พักตามโรงงาน ชุมชน บ้านที่ไม่มีเครื่องซักผ้า หรือมีแบบ 2 ถัง หรือมีเครื่องซักผ้าขนาดเล็ก มีเครื่องเดียว ไม่พอซัก ไม่ทันซัก เน้นความประหยัด สะดวกสบายในระดับหนึ่ง ต้องการซักผ้าจำนวนมากพร้อมๆกัน หรือเครื่องซักผ้าตัวเองเสีย ยังไม่ได้ซื้อเครื่องซักผ้าใหม่ จะใช้บริการเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ซักเสร็จเอามาตากเองรีดเอง มีพื้นที่ในการตากผ้าเองมีเวลาในการตากผ้า รีดผ้าเอง
ประเภทที่สอง คือกลุ่มลูกค้าวัยทำงาน วัยกลางคน ผู้ใหญ่ มนุษย์เงินเดือน มีรายได้ดี พักอาศัยอยู่แมนชั่น อพาร์ทเม้นท์ หอพัก ห้องเช่า ตึกแถวที่ หรืออาจไม่มีพื้นที่ในการซักผ้า-ตากผ้า ไม่สะดวกที่จะซักรีดเอง ไม่มีเวลา ไม่มีแรง ต้องการความสะดวกสบาย มีสตางค์ในกระเป๋า เงินเดือน รายได้ดีแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้ซื้อความสะดวกสบายแบบครบวงจร เอาเสื้อผ้าเข้าร้านซักอบรีด ครบวงจร เสร็จไปรับผ้ามาใส่ได้เลย หรือมีบริการส่งผ้าถึงที่ กรณีที่สองนี้ ร้านซักอบรีดต้องบริการครบวงจรครับ ซักอบรีดเบ็ดเสร็จ
เสื้อผ้าลูกค้าที่มาซักนั้นมีปริมาณไม่เท่ากัน มาก หรือน้อย สังเกตร้านซักอบรีดที่มีลูกค้าเข้าประจำ จะมีเครื่องซักผ้าอย่างต่ำ 3-4 เครื่อง
ได้แก่ เครื่องซักผ้าฝาหน้า 7-8kg เครื่องซักผ้าฝาหน้า 11-13kg เครื่องซักผ้าฝาบน 14kg โดยส่วนใหญ่แล้วซักอบรีด ต้องมีเครื่องซักผ้าฝาหน้าเป็นหลักเพราะซักสะอาด ถนอมผ้าลูกค้า ซักแยก ของใครของมัน ลูกค้านาย ก. มาซักเสื้อผ้า 1 ตระกร้าเล็ก ก็เอาลงเครื่องฝาหน้าขนาด 7-8kg ซักเสร็จตากแดด รีดพร้อมส่งลูกค้า ไม่มีแดดฝนตก ซักเสร็จอบแห้ง รีดพร้อมส่งลูกค้า
ลูกค้าที่นำผ้านวมมาซักผ้าผืนใหญ่ บางร้านซักเครื่องฝาบนขนาด 14-20kg แต่ส่วนใหญ่ร้านซักอบรีดจะยัดลงเครื่องฝาหน้า 11-13kg ขึ้นไปก็สามารถซักผ้านวม 6 ฟุตได้
เครื่องซักผ้าฝาหน้าแต่ละขนาด จะเหมาะสมกับปริมาณผ้าที่ลูกค้านำมาให้ซัก ร้านซักอบรีดจะสามารถประหยัดต้นทุน ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้าได้มาก
ถ้าใช้แต่เครื่องซักผ้าฝาหน้า เครื่องจะกินไฟมากกว่าฝาบนเล็กน้อย แต่ประหยัดน้ำได้มากกว่าเป็น 10 เท่าตัว อย่าลืมว่า ค่าน้ำแพงสุดๆ แพงกว่าค่าไฟน่ะครับ น้ำหน่วยหนึ่ง 19 - 22.78 บาท ไฟหน่วยล่ะ 4.5 - 7 บาท เป็นต้น
แสดงความคิดเห็น
มีเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้าแบบอุตสาหกรรม ซักกันแบบวันละ 20 ช.ม เครื่องไม่มีปัญหา