เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ไทยเคยสร้างเครื่องบินใช้เอง.เราเป็นมหาอำนาจของเอเซีย แล้วเกิดอะไรขึ้นที่ไทยเราไม่พัฒนาต่อ
ถ้า ทำต่อ พัฒนาต่อ กลัวว่าไทยเราจะเจริญเกินไป เจริญเกินหน้าประเทศอื่นหรือ
หรือพอ ในสมัยต่อมา หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ระบบทุนนิยมเข้ามา
ผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองในยุคนั้น เกิดโดนกล่อม ถูกมอมเมา โดนชักจูงให้ชินชา และคุ้นเคยกับการซื้ออาวุธมาใช้
ซื้อสิ่งต่างๆมาใช้ และบอกว่ามันสะดวกดี การใช้ของนำเข้าใช้ของต่างประเทศถือเป็นคนมีวัฒนธรรม
เป็นคนชั้นสูง เป็นผู้ดี ละครไทยก็ยังโดนโฆษณาชวนเชื่อ จนละครหลายๆเรื่องอิง การใช้ของหรูหราฟุ่มเฟือย
ตั้งตั้งหลังสงครามโลก มาจนถึงยุคเริงเมือง 2510 ต่อมา
... ไทยเราเลยหยุดการพัฒนาอาวุธ และยึดติดกับความร่วมมือกับสหรัฐ
ในการได้รับความช่วยเหลือด้านอาวุธ ใช้อาวุธของอเมริกัน
จนประเทศไทยละเลย การพัฒนาอาวุธใช้เอง
ในสมัยสงครามอินโดจีนไทยเราประกอบและผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินรบใบพัดใช้เอง
ถึงแม้ว่า เครื่องยนต์ยังต้องสั่งซื้อ แต่อย่างน้อยเราก็ได้ฝึกประกอบ ฝึกผลิต
แล้วเราละทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปตอนไหน
... เราคิดว่าซื้อเค้าละ ง่ายดี ซื้อๆๆๆๆ และก็จะมีคนนินทาว่า
ซื้อจากต่างประเทศดีแล้ว เพราะผลิตเองไม่ได้ เค้าเสนอราคามาเท่าไหร่ รวมเงินทอน รวมส่วนลด
ก็ดีแล้ว คนซื้อก็ชอบใจ ถ้าผลิตเองในประเทศมันรู้ราคา เด่ยวไม่รวย
พอเราหยุดการพัฒนา แต่ประเทศอื่นกลับพัฒนามาทันเราและแซงเรา
พวกผู้ใหญ่เค้าเสียหน้ามั้ยย หรือว่าเฉยๆ
เพราะเสียหน้าช่างมัน แต่ขอให้เงินในกระเป๋าเราหนาเป็นพอ ประเทศจะพัฒนาช้าก็ช่างมัน
งบการวิจัย งบทางวิทยาศาสตร์ของไทยน้อยมาก ส่วนจีนจากประเทศง่อยๆ ในสมัยสงวครามโลกครั้งที่ 2
แต่วันนี้ เค้าผลิตอาวุธได้เอง ไม่ใช่แค่ปืนหรือลูกปืนใหญ่
แต่เค้าผลิตเครื่องบินรบได้เอง ผลิตรถถัง เรือรบ
แต่เราแค่มีเงินสั่งซื้อรถถัง ซื้ออย่างเดียวไม่พอ ซื้อไปแล้วยังไม่ได้ของอีก
ต้องมาลุ้นว่าจะได้ของครบเมื่อไหร่.
แต่จีนละ พวกเราชอบบอกว่า ของจีน ของวก็อปของห่วย แต่วันนี้จีนไปถึงอวกาศแล้ว
แต่คนไทย แค่ออกป่าวอ่าวยังไม่สำเร็จเลย เอาแค่ซื้อเรือดำน้ำ คนไทยยังท่องแต่ว่าซื้อทำไม จะเอาไปรบกับใคร
อ่าวไทยตื้น เอาแห เอาอวนประมลลงไปก็จับเรือดำน้ำได้ละ
นิเอาเฉพาะเรื่องอาวุธ
ถ้าเป็นเครื่องจักรทั่วไปละ อย่างรถไฟเรามีรถไฟใช้มาร้อยกว่าปีแล้ว
แต่ตอนนี้รถไฟไทยก็ไม่ได้พัฒนาตัวไปไหนเลย ทำเหมือนประเทศไทยเลย
เราจะสร้างทางรถไฟ ต้องหาบริษัทมาวางรางซึ่งในไทยทำได้ไม่กี่เจ้า จะซื้อหัวรถจักรก็ต้องไปสั่งจากต่างประเทศอีก
มันดูวุ่นวาย และติดขัดไปหมด เรามีมีความพร้อมทางเทคโนโลยีเลย
)___ เราหยุดพัฒนาตัวเองทำไม ถ้าเราพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ เราก็มีความมั่นคงทางการทหาร มีพลังอำนาจทางวิทยาสตร์
เมื่อเราหยุดเดินหรือเดินถอยหลัง ประเทศอื่นเค้าไม่ได้หยุดด้วยนิ
เค้าแซงหน้าเราไป เมื่อเค้าแซงหน้าเราไป ไทยเราเกาะขบวนการพัฒนาเศรษฐกิจ และ กระแสเทคโนโลยีไม่ทัน
ประเทศไทยของเราจะเป็นอย่างไร.
______________________________________
ต่อไปนี้ คือ ข้อมูลจริง ที่จะให้อ่าน
,,,
ไม่ได้มโน แล้วก็ไม่ได้โม้ แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ ไทยเราสร้างเครื่องบินรบเองถึง ๒๐๐ กว่าเครื่อง ส่งทะยานขึ้นฟ้าเข้าทำสงครามเวหาครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยคู่ต่อสู้มีตำแหน่งถึงจ้าวเวหาของยุโรป คือ ฝรั่งเศส
เรียกว่าขึ้นสังเวียนครั้งแรก ก็ชนกับแชมป์โลกเลย
ในการการรบ แม้สมรรถภาพของเครื่องบินที่ไทยสร้างจะด้อยกว่าของฝรั่งเศส แต่อาศัยที่ใจเหนือกว่า ขนาดลำเดียวยังกล้าสู้กับข้าศึกเป็นฝูง เพราะรบเพื่อชาติ ตายก็ไม่เสียดายชีวิต คนที่ถูกส่งมาข่มขู่ชาวบ้านเลยถอดใจ เสี่ยงชีวิตไปก็ตายเปล่า
ผลของสงคราม ฝรั่งเศสต้องไปขอให้ญี่ปุ่นมาช่วยเจรจาสงบศึก ยอมคืนดินแดนที่ยึดจากไทยไป ..แบบนี้ใครแพ้ใครชนะก็ลองคิดดู
ความจริงไทยเราเริ่มสร้างเครื่องบินรบใช้เองมาตั้งแต่ปี ๒๔๕๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ แล้ว และสร้างจนเป็นชาติที่มีเครื่องบินรบมากที่สุดในเอเชีย รวมทั้งมีนักบินมากที่สุดด้วย
ประวัติศาสตร์การบินของไทยเริ่มตั้งแต่ปี ๒๔๕๒ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อ นายแวน เดอบอร์น ชาวเบลเยี่ยม ได้นำเครื่องบินปีก ๒ ชั้นแบบเออร์วิลไรท์ มาบินโชว์ที่สนามม้าปทุมวัน ซึ่ง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และ สมเด็จเจ้าฟ้าจักพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ทรงสนพระทัย ทดลองขึ้นบินทั้งสองพระองค์
ทรงเล็งเห็น ว่าเครื่องบินจะเป็นประโยชน์อย่างมากทั้งในด้านกิจการทหารและพลเรือน จึงได้ส่ง นายพันตรี หลวงศักดาศัลยาวุธ (สุณี สุวรรณประทีป) ต่อมาคือ พลอากาศโท พระยาเฉลิมอากาศ กับ นายร้อยเอก หลวงอาวุธสิขิกร (หลง สินสุข) ต่อมาคือ นายพันเอก พระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์ และนายร้อยโท ทิพย์ เกตุทัต ต่อมาคือ นายพันเอก พระยาทยานพิฆาต ไปเรียนการบินที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศผู้นำการบินของยุโรปในขณะนั้น
เมื่อนักบินทั้ง ๓ กลับมา ไทยได้สั่งซื้อเครื่องบินแบบเบรเกต์ ปีก ๒ ชั้น ซึ่งเป็นเครื่องที่ศิษย์การบินไทยใช้ฝึกบินที่ฝรั่งเศสมา ๓ เครื่องในปี ๒๔๕๖ ต่อมาเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) ได้ซื้อให้อีก ๑ เครื่อง รวมเป็น ๔ เครื่อง
เมื่อซื้อเครื่องบินมาศึกษาได้ ๒ ปี ไทยก็แสดงฝีมือทันที โดยในปี ๒๔๕๘ สมัยรัชกาลที่ ๖ กองโรงงาน กองบินทหารบก ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีทหารอากาศ ก็สร้างเครื่องบินแบบเบรเกต์นี้ขึ้นเองเป็นเครื่องแรก โดยสั่งเครื่องยนต์มา แล้วสร้างปีกกับลำตัวเอง ใบพัดนั้นทำด้วยไม้โมกมัน ให้ชื่อว่า “ขัติยะนารี ๑” ซึ่งขณะนี้ก็ยังอยู่ในสภาพดี เก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ และเปิดให้ประชาชนชมทุกวัน
ในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐ ไทยได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๑ โดยประกาศสงครามกับเยอรมัน ออสเตรียฮังการี เข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตร และส่งทหาร ๔๐๐ นายไปร่วมรบที่ยุโรป ในจำนวนนี้ได้รับการคัดเลือก ๑๒๐ คนให้เข้ารับการฝึกบินในโรงเรียนการบินต่างๆของฝรั่งเศส มีทั้งฝึกบินฝึกทิ้งระเบิด และฝึกบินผาดโผน เมื่อสงครามสงบ นักบินเหล่านี้บางคนก็เข้าเรียนการบินชั้นสูงต่อไป และกลับมาเป็นครูฝึก สร้างนักบินให้กองทัพไทย
เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ไทยเคยสร้างเครื่องบินใช้เอง.เราเป็นมหาอำนาจของเอเซีย แล้วเกิดอะไรขึ้นที่ไทยเราไม่พัฒนาต่อถ้าทำต่อ
ถ้า ทำต่อ พัฒนาต่อ กลัวว่าไทยเราจะเจริญเกินไป เจริญเกินหน้าประเทศอื่นหรือ
หรือพอ ในสมัยต่อมา หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ระบบทุนนิยมเข้ามา
ผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองในยุคนั้น เกิดโดนกล่อม ถูกมอมเมา โดนชักจูงให้ชินชา และคุ้นเคยกับการซื้ออาวุธมาใช้
ซื้อสิ่งต่างๆมาใช้ และบอกว่ามันสะดวกดี การใช้ของนำเข้าใช้ของต่างประเทศถือเป็นคนมีวัฒนธรรม
เป็นคนชั้นสูง เป็นผู้ดี ละครไทยก็ยังโดนโฆษณาชวนเชื่อ จนละครหลายๆเรื่องอิง การใช้ของหรูหราฟุ่มเฟือย
ตั้งตั้งหลังสงครามโลก มาจนถึงยุคเริงเมือง 2510 ต่อมา
... ไทยเราเลยหยุดการพัฒนาอาวุธ และยึดติดกับความร่วมมือกับสหรัฐ
ในการได้รับความช่วยเหลือด้านอาวุธ ใช้อาวุธของอเมริกัน
จนประเทศไทยละเลย การพัฒนาอาวุธใช้เอง
ในสมัยสงครามอินโดจีนไทยเราประกอบและผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินรบใบพัดใช้เอง
ถึงแม้ว่า เครื่องยนต์ยังต้องสั่งซื้อ แต่อย่างน้อยเราก็ได้ฝึกประกอบ ฝึกผลิต
แล้วเราละทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปตอนไหน
... เราคิดว่าซื้อเค้าละ ง่ายดี ซื้อๆๆๆๆ และก็จะมีคนนินทาว่า
ซื้อจากต่างประเทศดีแล้ว เพราะผลิตเองไม่ได้ เค้าเสนอราคามาเท่าไหร่ รวมเงินทอน รวมส่วนลด
ก็ดีแล้ว คนซื้อก็ชอบใจ ถ้าผลิตเองในประเทศมันรู้ราคา เด่ยวไม่รวย
พอเราหยุดการพัฒนา แต่ประเทศอื่นกลับพัฒนามาทันเราและแซงเรา
พวกผู้ใหญ่เค้าเสียหน้ามั้ยย หรือว่าเฉยๆ
เพราะเสียหน้าช่างมัน แต่ขอให้เงินในกระเป๋าเราหนาเป็นพอ ประเทศจะพัฒนาช้าก็ช่างมัน
งบการวิจัย งบทางวิทยาศาสตร์ของไทยน้อยมาก ส่วนจีนจากประเทศง่อยๆ ในสมัยสงวครามโลกครั้งที่ 2
แต่วันนี้ เค้าผลิตอาวุธได้เอง ไม่ใช่แค่ปืนหรือลูกปืนใหญ่
แต่เค้าผลิตเครื่องบินรบได้เอง ผลิตรถถัง เรือรบ
แต่เราแค่มีเงินสั่งซื้อรถถัง ซื้ออย่างเดียวไม่พอ ซื้อไปแล้วยังไม่ได้ของอีก
ต้องมาลุ้นว่าจะได้ของครบเมื่อไหร่.
แต่จีนละ พวกเราชอบบอกว่า ของจีน ของวก็อปของห่วย แต่วันนี้จีนไปถึงอวกาศแล้ว
แต่คนไทย แค่ออกป่าวอ่าวยังไม่สำเร็จเลย เอาแค่ซื้อเรือดำน้ำ คนไทยยังท่องแต่ว่าซื้อทำไม จะเอาไปรบกับใคร
อ่าวไทยตื้น เอาแห เอาอวนประมลลงไปก็จับเรือดำน้ำได้ละ
นิเอาเฉพาะเรื่องอาวุธ
ถ้าเป็นเครื่องจักรทั่วไปละ อย่างรถไฟเรามีรถไฟใช้มาร้อยกว่าปีแล้ว
แต่ตอนนี้รถไฟไทยก็ไม่ได้พัฒนาตัวไปไหนเลย ทำเหมือนประเทศไทยเลย
เราจะสร้างทางรถไฟ ต้องหาบริษัทมาวางรางซึ่งในไทยทำได้ไม่กี่เจ้า จะซื้อหัวรถจักรก็ต้องไปสั่งจากต่างประเทศอีก
มันดูวุ่นวาย และติดขัดไปหมด เรามีมีความพร้อมทางเทคโนโลยีเลย
)___ เราหยุดพัฒนาตัวเองทำไม ถ้าเราพัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ เราก็มีความมั่นคงทางการทหาร มีพลังอำนาจทางวิทยาสตร์
เมื่อเราหยุดเดินหรือเดินถอยหลัง ประเทศอื่นเค้าไม่ได้หยุดด้วยนิ
เค้าแซงหน้าเราไป เมื่อเค้าแซงหน้าเราไป ไทยเราเกาะขบวนการพัฒนาเศรษฐกิจ และ กระแสเทคโนโลยีไม่ทัน
ประเทศไทยของเราจะเป็นอย่างไร.
______________________________________
ต่อไปนี้ คือ ข้อมูลจริง ที่จะให้อ่าน
,,,
ไม่ได้มโน แล้วก็ไม่ได้โม้ แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์ ไทยเราสร้างเครื่องบินรบเองถึง ๒๐๐ กว่าเครื่อง ส่งทะยานขึ้นฟ้าเข้าทำสงครามเวหาครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยคู่ต่อสู้มีตำแหน่งถึงจ้าวเวหาของยุโรป คือ ฝรั่งเศส
เรียกว่าขึ้นสังเวียนครั้งแรก ก็ชนกับแชมป์โลกเลย
ในการการรบ แม้สมรรถภาพของเครื่องบินที่ไทยสร้างจะด้อยกว่าของฝรั่งเศส แต่อาศัยที่ใจเหนือกว่า ขนาดลำเดียวยังกล้าสู้กับข้าศึกเป็นฝูง เพราะรบเพื่อชาติ ตายก็ไม่เสียดายชีวิต คนที่ถูกส่งมาข่มขู่ชาวบ้านเลยถอดใจ เสี่ยงชีวิตไปก็ตายเปล่า
ผลของสงคราม ฝรั่งเศสต้องไปขอให้ญี่ปุ่นมาช่วยเจรจาสงบศึก ยอมคืนดินแดนที่ยึดจากไทยไป ..แบบนี้ใครแพ้ใครชนะก็ลองคิดดู
ความจริงไทยเราเริ่มสร้างเครื่องบินรบใช้เองมาตั้งแต่ปี ๒๔๕๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ แล้ว และสร้างจนเป็นชาติที่มีเครื่องบินรบมากที่สุดในเอเชีย รวมทั้งมีนักบินมากที่สุดด้วย
ประวัติศาสตร์การบินของไทยเริ่มตั้งแต่ปี ๒๔๕๒ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อ นายแวน เดอบอร์น ชาวเบลเยี่ยม ได้นำเครื่องบินปีก ๒ ชั้นแบบเออร์วิลไรท์ มาบินโชว์ที่สนามม้าปทุมวัน ซึ่ง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และ สมเด็จเจ้าฟ้าจักพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ทรงสนพระทัย ทดลองขึ้นบินทั้งสองพระองค์
ทรงเล็งเห็น ว่าเครื่องบินจะเป็นประโยชน์อย่างมากทั้งในด้านกิจการทหารและพลเรือน จึงได้ส่ง นายพันตรี หลวงศักดาศัลยาวุธ (สุณี สุวรรณประทีป) ต่อมาคือ พลอากาศโท พระยาเฉลิมอากาศ กับ นายร้อยเอก หลวงอาวุธสิขิกร (หลง สินสุข) ต่อมาคือ นายพันเอก พระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์ และนายร้อยโท ทิพย์ เกตุทัต ต่อมาคือ นายพันเอก พระยาทยานพิฆาต ไปเรียนการบินที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศผู้นำการบินของยุโรปในขณะนั้น
เมื่อนักบินทั้ง ๓ กลับมา ไทยได้สั่งซื้อเครื่องบินแบบเบรเกต์ ปีก ๒ ชั้น ซึ่งเป็นเครื่องที่ศิษย์การบินไทยใช้ฝึกบินที่ฝรั่งเศสมา ๓ เครื่องในปี ๒๔๕๖ ต่อมาเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) ได้ซื้อให้อีก ๑ เครื่อง รวมเป็น ๔ เครื่อง
เมื่อซื้อเครื่องบินมาศึกษาได้ ๒ ปี ไทยก็แสดงฝีมือทันที โดยในปี ๒๔๕๘ สมัยรัชกาลที่ ๖ กองโรงงาน กองบินทหารบก ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีทหารอากาศ ก็สร้างเครื่องบินแบบเบรเกต์นี้ขึ้นเองเป็นเครื่องแรก โดยสั่งเครื่องยนต์มา แล้วสร้างปีกกับลำตัวเอง ใบพัดนั้นทำด้วยไม้โมกมัน ให้ชื่อว่า “ขัติยะนารี ๑” ซึ่งขณะนี้ก็ยังอยู่ในสภาพดี เก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ และเปิดให้ประชาชนชมทุกวัน
ในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐ ไทยได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๑ โดยประกาศสงครามกับเยอรมัน ออสเตรียฮังการี เข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตร และส่งทหาร ๔๐๐ นายไปร่วมรบที่ยุโรป ในจำนวนนี้ได้รับการคัดเลือก ๑๒๐ คนให้เข้ารับการฝึกบินในโรงเรียนการบินต่างๆของฝรั่งเศส มีทั้งฝึกบินฝึกทิ้งระเบิด และฝึกบินผาดโผน เมื่อสงครามสงบ นักบินเหล่านี้บางคนก็เข้าเรียนการบินชั้นสูงต่อไป และกลับมาเป็นครูฝึก สร้างนักบินให้กองทัพไทย