ภารกิจพิชิตเวลา
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ ด๊อกเตอร์”
เอกภาพพยักหน้าตอบรับคำทักทายหลังเดินผ่านประตูห้องในสถานีทดลองเข้ามา ผู้ปฏิบัติงานในเสื้อกาวน์หลายสิบคนกำลังยืนรอต้อนรับเขาด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
เอกภาพเองก็เช่นกันที่วันนี้หน้าตาดูสดชื่นกว่าปกติ รอยยิ้มเปื้อนไปทั่วใบหน้าตลอดทางที่เดินทางมาถึงที่นี่ เขาเดินทักทายลูกทีมตามรายทางอย่างทั่วถึงในขณะที่กำลังเดินไปยังแผงควบคุมหลักที่สุดทางเดินของห้อง
“มาแล้วเหรอ เอก”
ชายที่นั่งอยู่หน้าแผงควบคุมหลักกล่าวทักทายไม่ได้หันกลับมา สายตาจ้องเขม็งอยู่ที่หน้าจอในขณะที่มือยังคงกดแป้นพิมพ์เพื่อป้อนคำสั่งต่างๆ เข้าไปอย่างชำนาญ
“ทุกอย่างพร้อมใช่มั้ย วิทย์”
เอกภาพยิ้ม ยื่นมือตบบ่าของวิทยาที่ยังคงง่วนอยู่กับแป้นพิมพ์และจอ
“ชั้นทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว ตอนนี้เราพร้อมซะยิ่งกว่าพร้อมอีก ถ้าหากมันจะเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น นั่นก็ต้องอยู่นอกเหนือขอบเขตความรู้ของเราและของโลกนี้เท่านั้นล่ะ ว่าแต่นายเองเถอะ แน่ใจแล้วใช่มั้ยที่จะเป็นคนเดินทางไปเองน่ะ”
“แน่นอน เพื่อนรักที่นั่งอยู่ตรงหน้าชั้นตอนนี้มั่นอกมั่นใจขนาดนี้ ยังเหลือเหตุผลอะไรที่จะทำให้ชั้นไม่กล้าไปอีกล่ะ”
วิทยายิ้มพอใจในคำตอบของคู่หู เขาทั้งคู่รู้ใจและมั่นใจในกันและกันแบบนี้มาเนิ่นนานแล้ว
เอกภาพและวิทยาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมต้น ทั้งคู่เป็นเด็กฉลาดและชอบสงสัยใคร่รู้จนหลายๆ ครั้งเหล่าอาจารย์ยังต้องจนใจที่จะตอบคำถามเหล่านั้น
ก่อนทั้งคู่มาเจอกัน พวกเขาต่างก็เป็นเด็กเงียบๆ ที่ไม่ค่อยพูดจากับใคร นั่นเพราะความช่างสงสัยในสิ่งที่คนอื่นไม่สงสัย การพยายามหาเหตุผลในสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจ
เมื่อสื่อสารกับคนอื่นไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ไม่เหลือใครคุยด้วย
แต่เมื่อเอกภาพและวิทยาได้มาพบกันทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป พวกเขามักใช้เวลาว่างถกปัญหาต่างๆ อย่างออกรส ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยมาตลอดหลายปีกลับสดใสขึ้นอีกครั้งราวกับทั้งคู่เกิดมาเพื่อเติมเต็มกันและกัน
“เห้ย เอก นายว่าพวกเราจะสร้างเครื่องย้อนเวลาได้มั้ย”
วิทยาเอ่ยเรื่องนี้กับเอกภาพเป็นครั้งแรกในขณะที่กำลังเรียนอยู่ชั้นอุดมศึกษาปีหนึ่ง
“ต้องได้สิ ในเมื่อเวลามันยืดได้หดได้ มันก็ต้องหยุดนิ่งและไหลย้อนกลับได้ ตอนนี้พวกเราแค่ยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แต่มันกำลังรอให้พวกเราเอากุญแจไปเปิดหีบเพื่อไขความลับของมันอยู่อย่างแน่นอน”
“พวกเราจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ พวกเราจะต้องทำให้เรื่องของเวลากลายเป็นเรื่องที่จับต้องได้เข้าซักวัน”
“แล้วชื่อของพวกเราก็จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และของโลกนี้”
ฝันที่เคยกระจ้อยร่อยเมื่ออยู่คนเดียวกลับดูยิ่งใหญ่ขึ้น เขาทั้งคู่กล่าวส่งเสริมกันและกัน คอยปลุกเร้าให้กำลังใจกันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
แม้จะผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะได้รับคำพูดจาดูถูกเหยียดหยามจากคนอื่นๆ นับครั้งไม่ถ้วน แต่พวกเขาไม่สนใจ ทั้งสองยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งที่ตนมั่นใจและหลงใหลต่อไป
เมื่อแสงเดินทางไปถึงที่ไหน ที่นั่นจะเกิดเวลา ดังนั้นหากไม่มีแสง หรือทำให้แสงหยุดนิ่งอยู่กับที่ หรือไม่ก็หากเราเดินทางได้เร็วเท่ากับความเร็วแสง เมื่อนั้นเวลาก็จะหยุดนิ่งหรือที่แห่งนั้นจะกลับกลายเป็นไร้เวลา
ดังนั้นเมื่อเราเดินทางได้เร็วกว่าแสง เมื่อนั้นเวลาก็จะไหลย้อนกลับ
แรงโน้มถ่วงเองก็มีผลต่อความเร็วของแสง ยิ่งแรงโน้มถ่วงมากแสงก็จะยิ่งเดินทางได้ช้าลง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าแสงจะหยุดนิ่งได้ด้วยแรงโน้มถ่วงที่มากพอ
ทฤษฏีเหล่านี้คนแทบจะทั้งโลกรู้จักมันเป็นอย่างดี มันเป็นทฤษฎีที่ไม่ว่านักวิทยาศาสตร์หรือแม้แต่ผู้คนทั่วไปให้ความสนใจ นับครั้งไม่ถ้วนที่มีคนพยายามจะนำความรู้นี้ไปทำให้เป็นจริง แต่แน่นอนว่าทุกครั้งที่ผ่านมานั้นล้มเหลว ไม่มีใครทำได้สำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งเอกภาพและวิทยาต่างรู้จักทฤษฏีนี้ดีเช่นกัน ที่สำคัญเขาทั้งคู่ก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะสามารถเดินทางได้เร็วเท่าแสง และก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะสามารถสร้างแรงโน้มถ่วงที่มากพอจะหยุดแสงได้
หรือถ้าหากจะทำได้จริงมนุษย์ธรรมดาก็คงจะทนกับความเร็วและแรงโน้มถ่วงขนาดนั้นไม่ไหว ดังนั้น สิ่งที่ทั้งคู่มุ่งศึกษาก็คือการหาจุดสมดุลของความเร็วแสงและแรงโน้มถ่วง
จนในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบมัน
จุดสมดุลของทั้งสองสิ่งที่สามารถเปิดประตูเวลาไปสู่อดีต จุดที่มนุษย์สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยเทคโนโลยี และที่สำคัญเรายังคงทนแรงขนาดนั้นได้ไหว
เอกภาพและวิทยายืนอยู่ต่อหน้าเครื่องย้อนเวลาที่พวกเขารีดเร้นทุกความสามารถในหัวสมองและแรงกายสร้างมันขึ้นมา พวกเขาทำสำเร็จหลังจากค้นพบจุดสมดุล สิ่งประดิษฐ์ที่ใครๆ ต่างก็เคยฝันว่าอยากให้มันมีอยู่จริง
ทั้งคู่เคยถกเถียงกันว่าหากพวกเขาสามารถเดินทางย้อนเวลากลับไปได้จริง แล้วต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น มีหลายทฤษฏีที่พยายามอธิบายถึงผลที่ตามมาหากอาณาเขตของเวลาถูกทำลาย
แม้จะเดินทางย้อนเวลากลับไปได้ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในโลกปัจจุบันเลย นั่นเพราะเหตุการณ์เดินทางย้อนเวลาก็ถูกรวมเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของปัจจุบันอยู่แล้ว
หรือว่าเราจะสามารถกลับไปแก้ไขสิ่งต่างๆ ในอดีตได้กันแน่ แล้วถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้จริงๆ ล่ะ อะไรจะเกิดต่อจากนั้น
โลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ อาจจะไม่มีชายที่ชื่อเอกภาพหรือวิทยาหลงเหลืออยู่ในยุคปัจจุบัน เขาทั้งคู่จะหายไปต่อหน้าต่อตาและในความทรงจำของคนอื่นอย่างสิ้นเชิงใช่หรือไม่
หรือว่าอดีตที่เปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลให้เกิดมิติคู่ขนานที่ต่างมีอนาคตของตัวเองเกิดขึ้นเท่านั้น
เพียงแค่ทฤษฏีก็ยังมากมายและแตกต่างกันขนาดนี้ ช่างเป็นผลจากการกระทำที่คลุมเคลืออะไรเช่นนี้
สำหรับเอกภาพและวิทยาแล้ว ทฤษฏีก็ยังเป็นได้เพียงทฤษฏี มันยังไม่เพียงพอสำหรับคนทั้งสอง แม้จะรู้ว่าผลที่ตามมาทั้งหมดตามทฤษฏีดูเหมือนไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงต่อพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่หยุด
พวกเขาต้องการพิสูจน์สิ่งที่สงสัยและเชื่อมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นเด็กว่าเวลาสามารถไหลย้อนกลับได้จริง พวกเขาอยากรู้ผลจริงๆ ที่ตามมาหลังจากเดินทางย้อนเวลากลับไป
“ได้เวลาแล้ว”
วิทยาเอ่ยพร้อมพยักหน้าเป็นสัญญาณ เอกภาพมองไปทั่วห้องอีกครั้ง บรรดาผู้ช่วยที่ก่อนหน้านี้ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้ากลับมีสีหน้าเคร่งขรึม พวกเขาต่างประจำที่ของตนและเริ่มทำการปรับตั้งค่าต่างๆ อย่างชำนาญ
การตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นสิ่งจำเป็น ทุกคนรู้ดีว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่สุดอาจก่อให้เกิดหายนะที่ใหญ่หลวงที่สุด อนุภาคไร้พิษสงขนาดไม่กี่ไมครอนที่หลุดเข้าไปเพียงหนึ่งอนุภาคอาจทำให้ความหวังของคนทุกคนสูญเปล่า
สัญญาณไฟสีเขียวปรากฏ ประตูชั้นแรกสไลด์ขึ้นด้านบน เอกภาพพยักหน้าและยิ้มอย่างมั่นใจให้เพื่อนรักก่อนเดินผ่านชั้นประตูไป
เมื่อประตูเลื่อนปิดลง เขายืนนิ่งปล่อยให้น้ำชำระล้างร่างกายก่อนที่ลมจะเป่าตัวจนแห้ง ต่อจากนั้นจึงเดินไปสวมชุดสำหรับปฏิบัติภารกิจเมื่อประตูเชื่อมต่อไปยังห้องที่สองเปิดออก
หลังประตูชั้นที่สามมียานพาหนะรูปทรงประหลาดที่สามารถโดยสารได้คนเดียวจอดนิ่งอยู่ มันเป็นสีเงินทั้งลำ มีขนาดเล็กและเพรียวบาง แม้จะดูเหมือนสร้างจากโลหะแต่น้ำหนักกลับเบากว่าที่คิดไว้มากนัก และที่สำคัญ มันทนต่อแรงเสียดทานมหาศาลได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
เอกภาพใจเต้นแรง รู้สึกดีใจที่จะได้ทำภารกิจนี้เสียที แม้เขาจะคิดว่าได้เตรียมตัวเตรียมใจมาอย่างดีแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็อดประหวั่นไม่ได้ เขาหลับตาตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อสลัดความกังวลทั้งหมดทิ้งไป
ประตูยานเปิดหมุนขึ้นด้านบน เขาเดินเข้าไปนั่งบนที่นั่งที่ออกแบบมาพอดีตัวในลักษณะเหยียดขาและเอนหลังเล็กน้อย หยิบหมวกนักบินมาสวม เอื้อมมือไปกดปุ่มต่างๆ ในตัวยาน หน้าจอปรากฏตัวเลขและสัญลักษณ์สีต่างๆ มากมาย เอกภาพไล่สายตาตรวจสอบค่าทั้งหมดอย่างชำนาญ
“พร้อมนะ”
เสียงวิทยาดังขึ้นจากลำโพงในหมวก
“หอบังคับการยืนยันการตั้งค่าก่อนยุคปัจจุบันหนึ่งหมื่นปี นักบินโปรดยืนยันค่า”
ช่วงเวลาที่จะทำการย้อนอดีตกลับไปปรากฏขึ้นหน้าจอและรอยืนยันจากเอกภาพ
ไม่ใช่ว่าเอกภาพ วิทยา หรือทีมงานอยากจะเดินทางย้อนอดีตไปเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน แต่ด้วยเทคโนโลยีและความรู้ที่พวกเขามีในเวลานี้บังคับให้ต้องเดินทางไปในช่วงเวลานั้นเท่านั้น พวกเขายังไม่สามารถเดินทางไปยังช่วงเวลาใดก็ได้ตามที่ต้องการ
การทำความเร็วของยาน การสร้างแรงโน้มถ่วง พวกเขาเองยังไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างใจ ยังไม่สามารถเร่งหรือหยุดความเร็วและแรงโน้มถ่วงได้ตามใจต้องการ การเพิ่มหรือลดพวกมันต้องใช้เวลา
ต้องเป็นหนึ่งหมื่นปีเท่านั้น ทั้งของความเร็ว แรงโน้มถ่วง ความยาวของอุโมงค์ ทุกอย่างถูกทำให้สัมพันธ์กันและถูกควบคุมอย่างดีที่สุดที่ช่วงเวลานี้
เมื่อไปถึงเวลาเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนแล้ว เขาก็ทำเพียงหยิบอะไรก็ตามในยุคนั้นติดมือกลับมาเพื่อยืนยันว่าได้ย้อนเวลากลับไปแล้วจริงๆ หลังจากนั้นก็รีบเดินทางกลับมายังโลกปัจจุบันก่อนที่อุโมงค์เวลาที่สร้างขึ้นจะปิด
มีเวลาไม่มากที่นั่น อุโมงค์เวลายังไม่เสถียรพอที่จะเปิดได้นาน หากมีอะไรผิดพลาดที่ทำให้เขากลับมายังช่วงเวลาปัจจุบันไม่ได้ เขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นระยะหนึ่งเพื่อรอให้คนที่นี่หาทางแก้ไขแล้วเดินทางไปรับเขากลับมาเท่านั้น
เอกภาพเอื้อมมือกดปุ่มคำสั่งสีเขียวบนหน้าจอ
“ยืนยันการตั้งค่า ระบบจะเริ่มทำงานในอีก สิบ เก้า แปด...”
เสียงยานคำรามเบาๆ ก่อนที่มันจะยกเองลอยสูงขึ้นจากรางเล็กน้อย ทุกคนในสถานีต่างใจจดจ่ออยู่ที่เอกภาพและยาน ประสาทตึงเครียดขึ้นมาทันใด เสียงเครื่องคำรามแรงขึ้น ตัวยานกระตุกเล็กน้อยก่อนที่มันจะพุ่งทะยานหายวับไปในความยาวราวไร้ที่สิ้นสุดของอุโมงค์ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของทุกคนในสถานี
ภารกิจพิชิตเวลา
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ ด๊อกเตอร์”
เอกภาพพยักหน้าตอบรับคำทักทายหลังเดินผ่านประตูห้องในสถานีทดลองเข้ามา ผู้ปฏิบัติงานในเสื้อกาวน์หลายสิบคนกำลังยืนรอต้อนรับเขาด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
เอกภาพเองก็เช่นกันที่วันนี้หน้าตาดูสดชื่นกว่าปกติ รอยยิ้มเปื้อนไปทั่วใบหน้าตลอดทางที่เดินทางมาถึงที่นี่ เขาเดินทักทายลูกทีมตามรายทางอย่างทั่วถึงในขณะที่กำลังเดินไปยังแผงควบคุมหลักที่สุดทางเดินของห้อง
“มาแล้วเหรอ เอก”
ชายที่นั่งอยู่หน้าแผงควบคุมหลักกล่าวทักทายไม่ได้หันกลับมา สายตาจ้องเขม็งอยู่ที่หน้าจอในขณะที่มือยังคงกดแป้นพิมพ์เพื่อป้อนคำสั่งต่างๆ เข้าไปอย่างชำนาญ
“ทุกอย่างพร้อมใช่มั้ย วิทย์”
เอกภาพยิ้ม ยื่นมือตบบ่าของวิทยาที่ยังคงง่วนอยู่กับแป้นพิมพ์และจอ
“ชั้นทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว ตอนนี้เราพร้อมซะยิ่งกว่าพร้อมอีก ถ้าหากมันจะเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น นั่นก็ต้องอยู่นอกเหนือขอบเขตความรู้ของเราและของโลกนี้เท่านั้นล่ะ ว่าแต่นายเองเถอะ แน่ใจแล้วใช่มั้ยที่จะเป็นคนเดินทางไปเองน่ะ”
“แน่นอน เพื่อนรักที่นั่งอยู่ตรงหน้าชั้นตอนนี้มั่นอกมั่นใจขนาดนี้ ยังเหลือเหตุผลอะไรที่จะทำให้ชั้นไม่กล้าไปอีกล่ะ”
วิทยายิ้มพอใจในคำตอบของคู่หู เขาทั้งคู่รู้ใจและมั่นใจในกันและกันแบบนี้มาเนิ่นนานแล้ว
เอกภาพและวิทยาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมต้น ทั้งคู่เป็นเด็กฉลาดและชอบสงสัยใคร่รู้จนหลายๆ ครั้งเหล่าอาจารย์ยังต้องจนใจที่จะตอบคำถามเหล่านั้น
ก่อนทั้งคู่มาเจอกัน พวกเขาต่างก็เป็นเด็กเงียบๆ ที่ไม่ค่อยพูดจากับใคร นั่นเพราะความช่างสงสัยในสิ่งที่คนอื่นไม่สงสัย การพยายามหาเหตุผลในสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจ
เมื่อสื่อสารกับคนอื่นไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ไม่เหลือใครคุยด้วย
แต่เมื่อเอกภาพและวิทยาได้มาพบกันทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป พวกเขามักใช้เวลาว่างถกปัญหาต่างๆ อย่างออกรส ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยมาตลอดหลายปีกลับสดใสขึ้นอีกครั้งราวกับทั้งคู่เกิดมาเพื่อเติมเต็มกันและกัน
“เห้ย เอก นายว่าพวกเราจะสร้างเครื่องย้อนเวลาได้มั้ย”
วิทยาเอ่ยเรื่องนี้กับเอกภาพเป็นครั้งแรกในขณะที่กำลังเรียนอยู่ชั้นอุดมศึกษาปีหนึ่ง
“ต้องได้สิ ในเมื่อเวลามันยืดได้หดได้ มันก็ต้องหยุดนิ่งและไหลย้อนกลับได้ ตอนนี้พวกเราแค่ยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แต่มันกำลังรอให้พวกเราเอากุญแจไปเปิดหีบเพื่อไขความลับของมันอยู่อย่างแน่นอน”
“พวกเราจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ พวกเราจะต้องทำให้เรื่องของเวลากลายเป็นเรื่องที่จับต้องได้เข้าซักวัน”
“แล้วชื่อของพวกเราก็จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และของโลกนี้”
ฝันที่เคยกระจ้อยร่อยเมื่ออยู่คนเดียวกลับดูยิ่งใหญ่ขึ้น เขาทั้งคู่กล่าวส่งเสริมกันและกัน คอยปลุกเร้าให้กำลังใจกันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
แม้จะผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะได้รับคำพูดจาดูถูกเหยียดหยามจากคนอื่นๆ นับครั้งไม่ถ้วน แต่พวกเขาไม่สนใจ ทั้งสองยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งที่ตนมั่นใจและหลงใหลต่อไป
เมื่อแสงเดินทางไปถึงที่ไหน ที่นั่นจะเกิดเวลา ดังนั้นหากไม่มีแสง หรือทำให้แสงหยุดนิ่งอยู่กับที่ หรือไม่ก็หากเราเดินทางได้เร็วเท่ากับความเร็วแสง เมื่อนั้นเวลาก็จะหยุดนิ่งหรือที่แห่งนั้นจะกลับกลายเป็นไร้เวลา
ดังนั้นเมื่อเราเดินทางได้เร็วกว่าแสง เมื่อนั้นเวลาก็จะไหลย้อนกลับ
แรงโน้มถ่วงเองก็มีผลต่อความเร็วของแสง ยิ่งแรงโน้มถ่วงมากแสงก็จะยิ่งเดินทางได้ช้าลง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าแสงจะหยุดนิ่งได้ด้วยแรงโน้มถ่วงที่มากพอ
ทฤษฏีเหล่านี้คนแทบจะทั้งโลกรู้จักมันเป็นอย่างดี มันเป็นทฤษฎีที่ไม่ว่านักวิทยาศาสตร์หรือแม้แต่ผู้คนทั่วไปให้ความสนใจ นับครั้งไม่ถ้วนที่มีคนพยายามจะนำความรู้นี้ไปทำให้เป็นจริง แต่แน่นอนว่าทุกครั้งที่ผ่านมานั้นล้มเหลว ไม่มีใครทำได้สำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งเอกภาพและวิทยาต่างรู้จักทฤษฏีนี้ดีเช่นกัน ที่สำคัญเขาทั้งคู่ก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะสามารถเดินทางได้เร็วเท่าแสง และก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะสามารถสร้างแรงโน้มถ่วงที่มากพอจะหยุดแสงได้
หรือถ้าหากจะทำได้จริงมนุษย์ธรรมดาก็คงจะทนกับความเร็วและแรงโน้มถ่วงขนาดนั้นไม่ไหว ดังนั้น สิ่งที่ทั้งคู่มุ่งศึกษาก็คือการหาจุดสมดุลของความเร็วแสงและแรงโน้มถ่วง
จนในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบมัน
จุดสมดุลของทั้งสองสิ่งที่สามารถเปิดประตูเวลาไปสู่อดีต จุดที่มนุษย์สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยเทคโนโลยี และที่สำคัญเรายังคงทนแรงขนาดนั้นได้ไหว
เอกภาพและวิทยายืนอยู่ต่อหน้าเครื่องย้อนเวลาที่พวกเขารีดเร้นทุกความสามารถในหัวสมองและแรงกายสร้างมันขึ้นมา พวกเขาทำสำเร็จหลังจากค้นพบจุดสมดุล สิ่งประดิษฐ์ที่ใครๆ ต่างก็เคยฝันว่าอยากให้มันมีอยู่จริง
ทั้งคู่เคยถกเถียงกันว่าหากพวกเขาสามารถเดินทางย้อนเวลากลับไปได้จริง แล้วต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น มีหลายทฤษฏีที่พยายามอธิบายถึงผลที่ตามมาหากอาณาเขตของเวลาถูกทำลาย
แม้จะเดินทางย้อนเวลากลับไปได้ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในโลกปัจจุบันเลย นั่นเพราะเหตุการณ์เดินทางย้อนเวลาก็ถูกรวมเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของปัจจุบันอยู่แล้ว
หรือว่าเราจะสามารถกลับไปแก้ไขสิ่งต่างๆ ในอดีตได้กันแน่ แล้วถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้จริงๆ ล่ะ อะไรจะเกิดต่อจากนั้น
โลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ อาจจะไม่มีชายที่ชื่อเอกภาพหรือวิทยาหลงเหลืออยู่ในยุคปัจจุบัน เขาทั้งคู่จะหายไปต่อหน้าต่อตาและในความทรงจำของคนอื่นอย่างสิ้นเชิงใช่หรือไม่
หรือว่าอดีตที่เปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลให้เกิดมิติคู่ขนานที่ต่างมีอนาคตของตัวเองเกิดขึ้นเท่านั้น
เพียงแค่ทฤษฏีก็ยังมากมายและแตกต่างกันขนาดนี้ ช่างเป็นผลจากการกระทำที่คลุมเคลืออะไรเช่นนี้
สำหรับเอกภาพและวิทยาแล้ว ทฤษฏีก็ยังเป็นได้เพียงทฤษฏี มันยังไม่เพียงพอสำหรับคนทั้งสอง แม้จะรู้ว่าผลที่ตามมาทั้งหมดตามทฤษฏีดูเหมือนไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงต่อพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่หยุด
พวกเขาต้องการพิสูจน์สิ่งที่สงสัยและเชื่อมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นเด็กว่าเวลาสามารถไหลย้อนกลับได้จริง พวกเขาอยากรู้ผลจริงๆ ที่ตามมาหลังจากเดินทางย้อนเวลากลับไป
“ได้เวลาแล้ว”
วิทยาเอ่ยพร้อมพยักหน้าเป็นสัญญาณ เอกภาพมองไปทั่วห้องอีกครั้ง บรรดาผู้ช่วยที่ก่อนหน้านี้ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้ากลับมีสีหน้าเคร่งขรึม พวกเขาต่างประจำที่ของตนและเริ่มทำการปรับตั้งค่าต่างๆ อย่างชำนาญ
การตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นสิ่งจำเป็น ทุกคนรู้ดีว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่สุดอาจก่อให้เกิดหายนะที่ใหญ่หลวงที่สุด อนุภาคไร้พิษสงขนาดไม่กี่ไมครอนที่หลุดเข้าไปเพียงหนึ่งอนุภาคอาจทำให้ความหวังของคนทุกคนสูญเปล่า
สัญญาณไฟสีเขียวปรากฏ ประตูชั้นแรกสไลด์ขึ้นด้านบน เอกภาพพยักหน้าและยิ้มอย่างมั่นใจให้เพื่อนรักก่อนเดินผ่านชั้นประตูไป
เมื่อประตูเลื่อนปิดลง เขายืนนิ่งปล่อยให้น้ำชำระล้างร่างกายก่อนที่ลมจะเป่าตัวจนแห้ง ต่อจากนั้นจึงเดินไปสวมชุดสำหรับปฏิบัติภารกิจเมื่อประตูเชื่อมต่อไปยังห้องที่สองเปิดออก
หลังประตูชั้นที่สามมียานพาหนะรูปทรงประหลาดที่สามารถโดยสารได้คนเดียวจอดนิ่งอยู่ มันเป็นสีเงินทั้งลำ มีขนาดเล็กและเพรียวบาง แม้จะดูเหมือนสร้างจากโลหะแต่น้ำหนักกลับเบากว่าที่คิดไว้มากนัก และที่สำคัญ มันทนต่อแรงเสียดทานมหาศาลได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
เอกภาพใจเต้นแรง รู้สึกดีใจที่จะได้ทำภารกิจนี้เสียที แม้เขาจะคิดว่าได้เตรียมตัวเตรียมใจมาอย่างดีแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็อดประหวั่นไม่ได้ เขาหลับตาตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อสลัดความกังวลทั้งหมดทิ้งไป
ประตูยานเปิดหมุนขึ้นด้านบน เขาเดินเข้าไปนั่งบนที่นั่งที่ออกแบบมาพอดีตัวในลักษณะเหยียดขาและเอนหลังเล็กน้อย หยิบหมวกนักบินมาสวม เอื้อมมือไปกดปุ่มต่างๆ ในตัวยาน หน้าจอปรากฏตัวเลขและสัญลักษณ์สีต่างๆ มากมาย เอกภาพไล่สายตาตรวจสอบค่าทั้งหมดอย่างชำนาญ
“พร้อมนะ”
เสียงวิทยาดังขึ้นจากลำโพงในหมวก
“หอบังคับการยืนยันการตั้งค่าก่อนยุคปัจจุบันหนึ่งหมื่นปี นักบินโปรดยืนยันค่า”
ช่วงเวลาที่จะทำการย้อนอดีตกลับไปปรากฏขึ้นหน้าจอและรอยืนยันจากเอกภาพ
ไม่ใช่ว่าเอกภาพ วิทยา หรือทีมงานอยากจะเดินทางย้อนอดีตไปเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน แต่ด้วยเทคโนโลยีและความรู้ที่พวกเขามีในเวลานี้บังคับให้ต้องเดินทางไปในช่วงเวลานั้นเท่านั้น พวกเขายังไม่สามารถเดินทางไปยังช่วงเวลาใดก็ได้ตามที่ต้องการ
การทำความเร็วของยาน การสร้างแรงโน้มถ่วง พวกเขาเองยังไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างใจ ยังไม่สามารถเร่งหรือหยุดความเร็วและแรงโน้มถ่วงได้ตามใจต้องการ การเพิ่มหรือลดพวกมันต้องใช้เวลา
ต้องเป็นหนึ่งหมื่นปีเท่านั้น ทั้งของความเร็ว แรงโน้มถ่วง ความยาวของอุโมงค์ ทุกอย่างถูกทำให้สัมพันธ์กันและถูกควบคุมอย่างดีที่สุดที่ช่วงเวลานี้
เมื่อไปถึงเวลาเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนแล้ว เขาก็ทำเพียงหยิบอะไรก็ตามในยุคนั้นติดมือกลับมาเพื่อยืนยันว่าได้ย้อนเวลากลับไปแล้วจริงๆ หลังจากนั้นก็รีบเดินทางกลับมายังโลกปัจจุบันก่อนที่อุโมงค์เวลาที่สร้างขึ้นจะปิด
มีเวลาไม่มากที่นั่น อุโมงค์เวลายังไม่เสถียรพอที่จะเปิดได้นาน หากมีอะไรผิดพลาดที่ทำให้เขากลับมายังช่วงเวลาปัจจุบันไม่ได้ เขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นระยะหนึ่งเพื่อรอให้คนที่นี่หาทางแก้ไขแล้วเดินทางไปรับเขากลับมาเท่านั้น
เอกภาพเอื้อมมือกดปุ่มคำสั่งสีเขียวบนหน้าจอ
“ยืนยันการตั้งค่า ระบบจะเริ่มทำงานในอีก สิบ เก้า แปด...”
เสียงยานคำรามเบาๆ ก่อนที่มันจะยกเองลอยสูงขึ้นจากรางเล็กน้อย ทุกคนในสถานีต่างใจจดจ่ออยู่ที่เอกภาพและยาน ประสาทตึงเครียดขึ้นมาทันใด เสียงเครื่องคำรามแรงขึ้น ตัวยานกระตุกเล็กน้อยก่อนที่มันจะพุ่งทะยานหายวับไปในความยาวราวไร้ที่สิ้นสุดของอุโมงค์ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของทุกคนในสถานี