เมืองน่ารักแห่งแคว้นทัสคานี่ของอิตาลี่ เป็นเมืองหนึ่งในหลายร้อยเมืองที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของตึกรามบ้านช่อง และสถาปัตยกรรมแบบยุคกลาง (Medieval Town) ได้อย่างสมบูรณ์มาก เหมือนดังว่าเราหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่งอย่างนั้นเลยเชียว
ในตอนแรกที่ได้ยินชื่อนี้คิดว่าเมืองอะไรชื่อเรียกยากจัง San Gimignano หรือซาน จิ มิญาโน่ เราไม่เคยรู้จักเมืองนี้มาก่อนไม่เคยรู้ว่ามีเมืองนี้อยู่ใกล้ๆกับเซียน่าที่ไปเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ได้เห็นในเฟสบุค ITALY ที่มักจะมีสถานที่สวยๆมาหลอกล่อให้เราอยากไปเยือนเสมอๆ ได้เห็นภาพก่อนจะเดินทางไม่นาน...แล้วก็นึกเลยเดี๋ยวนั้นว่า ตรูจะต้องไปให้ได้
มาอ่านข้อมูลของคนที่เคยไปเมืองนี้ มีน้อยและหายากมาก จะเดินทางอยู่ไม่กี่วันแล้ว ไปหาข้อมูลเอาดาบหน้าละกัน มันคงไม่ยากอะไรนักหรอก อย่างดีก็ซื้อตั๋วรถไฟไปเหมือนเมืองอื่นๆนั่นแหละ จากนั้นก็วุ่นวายเรื่องเก็บข้าวของ จัดการเรื่องร้าน ของฝากคนที่อิตาลี่และต่างๆนาๆไม่ได้ใส่ใจอ่านข้อมูลอะไรอีก
ได้ฤกษ์วันหนีจากบ้านอันเดรมาเที่ยวฟลอเร้นซ์คนเดียว พอจับรถไฟมาได้ถึงฟลอเร้นซ์ประมาณ11โมงเช้าลากกระเป๋ามาเช็คอินโรงแรมประจำที่เคยมาพักก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไร หาเพื่อนคือคริสเตียนเจ้าของโรงแรมไม่เจอ เจอคุณพ่อก็ถามคุณพ่อนี่ละ ว่าจะไปยังไงเมืองซาน จิมิญาโน่เนี่ยคะ คุณพ่อก็อธิบายว่าจะไปรถไฟหรือรถบัสก็ได้ ไปลงเซียน่าและนั่งรถบัสไปต่อ เราก็สงสัยว่าไม่มีไดเร็คเทรนหรือบัสเหรอคะ แกบอกไม่มี เวรละ นี่มันสิบเอ็ดโมงละแล้วตรูจะไปถึงกี่โมง พอบอกขอบคุณแกได้ก็รีบบึ่งมาสถานีรถไฟเลย
ถามคุณหญิงคนขายตั๋วรถไฟ เธอบอกว่าให้นั่งรถไปเซียน่าแล้วไปต่อบัส เหมือนคุณลุงที่โรงแรมเป๊ะ เราก็ไม่เอา....พยายามสู้ ไปบัสก็ได้ เผื่อมีรถบัสถึงเลยไม่อยากไปต่อเสียเวลา วิ่งไปที่สถานีรถบัสที่คุณลุงบอกว่าอยู่หลังสถานีรถไฟ หาเท่าไรๆก็หาไม่เจอ.....เจอคุณตำรวจแถวๆนั้นเลยปรี่เข้าไปถามว่าไอ้สถานีรถบัสนี่มันอยู่ตรงไหน ..... โน่น อยู่ในซอยลึกไปอีก ตรงข้ามโบสถ์เล็กๆ เราก็วิ่งไปมาเหมือนหนูเพราะมันเที่ยงกว่าละ เสียเวลามาเยอะแล้ว แต่ต้องไปให้ได้วันนี้
สรุป...น้องชายคนขายตั๋วก็บอก ยังไงพี่ก็ต้องไปต่อรถอีกสายไม่มีรถบัสถึงเมืองนี้ง่ายๆนะครับแถมส่งตารางรถบัสน่ามึนงงประกอบภาษาอิตาเลี่ยน และแถมวงๆไว้ให้ว่ามีเที่ยวบ่ายโมงจะไปมั้ย .....ค่ะ...ไปก็ไปค่ะ....ไปถึงบ่ายสาม อะไรมันจะนานขนาด ระยะทางไม่ได้ไกลเลย แล้วก็เอาตั๋วมาพร้อมนั่งดูตารางรถบนบิลบอร์ดดิจิตอลอย่างตาลาย พอถึงเวลาตารางดิจิตอลนั้นก็จะบอกหมายเลขรถพร้อมด้วยช่องเข้าจอด ตอนนี้ละก็ดูให้ดีๆ มิฉะนั้นจะหลงไปเมืองอื่นได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่มีกระเป๋ากระปี๋คอยบอกเหมือนรถทัวร์บ้านเรา
รถบัสไม่แน่น นั่งสบายพอสมควรแถมไม่หนาว ลืมบอกไปว่าวันนั้นฝนตกตอนเช้าที่มาจากฟลอเร้นซ์อุณหภูมิลดฮวบเหลือแค่ 3 องศา ทั้งหมวกทั้งเสื้อและผ้าพันคอก็ยังหนาวอยู่ .... นั่งไม่นานก็ออกนอกเมืองนั่งมองไรองุ่นไม่นาน .... อุ่นๆแถมเพลียอีกก็หลับไปหน่อยหนึ่ง ตื่นมารถบัสก็เข้ามาในเมืองแล้ว.........ใจก็ตื่นเต้นอีกละว่าตรูจะลงตรงไหนและขึ้นรถบัสคันไหน
รถเริ่มจอดเป็นจุดๆเพราะมีคนลง เราก็เดินไปถามพี่คนขับว่าจะลงได้หรือยังคะต่อรถไปซานจิ มิญาโน่ แกก็รัวภาษาอิตาเลี่ยนมาประมาณว่าป้ายหน้าเป็นป้ายสถานีรถไฟอะไรประมาณนี้ ไม่นานก็ถึงป้ายสถานีรถไฟชื่อน่ารักและน่าจดจำอย่างมาก ป๊อกจิ-บอนสิ Poggibonsi พอลงรถก็เคว้งคว้างอีกทีนี้ แล้วตรูจะขึ้นรถไปซานจิตรงไหน คนที่ลงก็แตกตัวไปกันหมดแล้ว แปลว่าเค้าไม่ได้ไปกับเรา หนาวก็หนาวข้างนอกแบบนี้ เหลือบไปเห็นป้ายจอดิจิตอลอีกละ บอกเวลารถที่จะไปแต่ไม่เห็นบอกว่ารถจอดตรงไหน คือมันเป็นที่กว้างๆ มีรถบัสจอดเป็นระยะ เอาละลองเดินดู.....เดินรอบหนึ่งไม่มีรถหมายเลขตรงกับที่ไปซานจิซักคัน กลับมามองป้ายอีก เค้าบอก area 1 อ้าวก็ตรงนี้ละแอเรีย1....รถก็ไม่เห็นมีจอดแต่ไม่เดินไปไหนละ ยืนเด่นรออยู่ตรงนั้นคนเดียวแม้จะหนาวจนมือแข็ง ยังไม่ปวดหัวเท่าไรเพราะมีหมวกแต่จมูกเย็นเจี๊ยบ รอประมาณ 10 นาทีใกล้แข็งละ รถสวรรค์คันนั้นก็มาถึง เฮ้อ พอรถมาถึงผู้คนในสถานีที่หลบอุ่นๆอยู่ก็มาขึ้นกันจนเกือบเต็มรถ เค้าคงว่าอินี่บ้ายืนอยู่ได้หนาวๆ
พอรถวิ่งไปได้ครึ่งทางก็รู้ว่าบัสนี้คนขับต้องชำนาญทางทีเดียว มันเป็นทางขึ้นเขา โค้งหักศอก และมีเหวลึกๆเขียวขจีเป็นระยะ คือเป็นแบบทางขึ้นดอยนั่นเอง อ้อ...เมืองนี้มันอยู่บนเขารถต้องวิ่งไปช้าๆระยะทางไม่ไกลถึงใช้เวลานานนัก ............. พอใกล้ถึงน้ำตาแทบไหล เมืองป้อมปราการที่เห็นอยู่ลิบๆนั่นเหมือนกับในนิยาย โอบล้อมด้วยขุนเขาที่งดงามแห่งทัสคานี ป้อมสูงมากๆจนเห็นได้ในระยะไกล.... เริ่มหลงรักเมืองนี้ซะแล้ว พอใกล้ถึงเมฆฝนมาเลยแล้วฝนก็เริ่มตก ไม่มากแต่ก็ทุลักทุเลพอสมควร อะไรมันจะผจญภัยขนาดนี้ หนาวอีกแล้วตรูต้องลงจากรถแน่ๆ เพราะถึงแล้ว เอาหมวกใส่แถมด้วยฮู้ดกันฝนทับ วิ่งฝ่าจนมาถึงประตูเมือง พอถึงฝนก็หยุดซะงั้น คนที่ขึ้นรถบัสมาด้วยกันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อากาศวันนี้ประหลาดเหลือเกิน ..............แต่ก็ดีละ จะได้ถ่ายรูปท้องฟ้าใสๆบ้าง เบื่อฝนจริง
เข้ามาในเมืองนี้ประทับใจมากๆ เค้ายังคงความสมบูรณ์ของเมืองไว้ได้ 99 % เลยนะ เมืองและร้านต่างๆที่แฝงตัวอยู่ไม่ทำให้เมืองเสียเลย น่ารักมากๆ ความสำคัญของซานจีมิญญาโนเป็นเมืองที่ยังรักษาลักษณะเมืองในยุคกลาง (Medieval)ไว้อย่างพร้อมมูลโดยเฉพาะหอคอยซึ่งจะมองเห็นได้แต่ใกล .......เมืองซานจีมิญญาโนได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990)
อธิบายไปก็อาจจะไม่เห็นภาพเท่าไร ดูรูปเอานะคะ เราเดินเที่ยวชมเมืองไปเรื่อยๆอย่างเพลิดเพลิน แดดเริ่มออก อากาศเริ่มดีขึ้น ร้านค้าต่างๆน่าแวะชมก็มีหลากหลายทั้งเซรามิคสวยๆ เครื่องหนัง งานไม้ อาหารแห้งพวกเส้นพาสต้า ซาลามี่ เครื่องเทศต่างๆ ร้านเบเกอรี่ และที่สำคัญคนเดินสวนทางเราลงมาทุกคนต้องถือคือเจลาโต้นั่นเอง เง้อ ..... ทุกคนจริงๆ เค้าจะกินบ้าง รีบเดินขึ้นเนินมาโดยเร็ว เมืองจะเป็นเนินขึ้นๆลงๆแบบนี้ละคะ ไม่นานก็เจอร้านมีสองร้านใกล้ๆกัน เราก็เลือกร้านหนึ่ง ทั้งสองร้านเขียนว่าเป็นที่สุด เวิลดิ์แชมป์โลกไอศครีมอะไรประมาณนี้ คนแน่นร้านมากและเจลาโต้เหลือน้อยแล้ว เข้าไปรุมๆต่อคิวกะเค้าบ้างจนได้มา ตามรูป ก็อร่อยเข้มข้นจริงๆ จากนั้นก็เดินเที่ยวต่อ มีเวลาเดินถึงหกโมงซึ่งเราจะกลับรถเที่ยวนั้นถึงฟลอเร้นซ์ไม่ดึกเกินไป
บ้านเมืองตึกรามล้วนเป็นสีเอิร์ธโทนแนวเดียวกันไปหมด บางตึกมีรากเถาวัลย์ขึ้นแทรก ดูคลาสสิคและลึกลับไปในคราวเดียวกัน เหมือนมาเดินอยู่อีกยุคหนึ่งหรือไม่ก็ในเทพนิยายที่จินตนาการได้ถึงเจ้าหญิงบนหอคอย ป้อมและหอคอยเค้าสูงมากจริงๆ เพื่อเอาไว้เป็นปราการดูเมืองได้รอบด้าน ซอกซอยต่างๆล้วนชวนให้หลงไหล อยากอยู่เมืองนี้นานๆ มันเหมือนกับว่าหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่ทำให้เราลืมความวุ่นวาย ปลดปล่อยสมองและร่างกายให้เบา ไปกับจินตนาการ
ห้าโมงกว่าๆ เริ่มมืดฟ้ามัวดินมาอีกละ เฮ้อ เอาไงดีละถ้าตกหนักต้องฝ่าไปป้ายรถเมล์อีก.....นึกแล้วก็กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ซอกซอยที่ชวนให้หลงไหลก็กลับเป็นชวนให้หลง เพราะถนน บ้าน ตึกต่างๆล้วนเหมือนๆกันไปหมด พูดเลยว่าคือเขาวงกฎตึกสีอิฐนั่นเอง เอาละวา....เริ่มเดินหาทางออกโดยนึกย้อนกลับไปเหมือนแฮนเซลและเกรเทลโรยเศษขนมปัง แต่เราไม่ได้โรยอะไร ใช้ทิศทางจากร้านต่างๆที่ผ่านมา ค่อยๆย้อนกลับไปเส้นทางเดิม คราวหน้าจะเอาเข็มทิศมาด้วย ใครจะคิดว่ามาเดินป่าก็ช่าง
สุดท้ายก็มาจนเกือบถึงหน้าประตูเมืองจนได้ เริ่มหิวอีกและอยากลองขนมพื้นบ้านเซียน่า มองเห็นร้านเบเกอรี่เลยเดินเข้าไป มันมีขนมเค้กของ Siena อยู่จริงๆ มีหลายแบบด้วย มีทั้งแบบนิ่มและแข็ง เรียกว่า Panforte (Di Siena) เราเลือกแบบแข็งจะได้นั่งแทะในรถไปเรื่อยๆ เป็นรสชินนามอนหรือ อบเชย หอมมากๆ ราคาเกือบสองยูโร....ชิ้นเล็กๆสามเหลี่ยมแบบในรูปน่ะค่ะ
ซื้อเสร็จก็เดินออกมาจากประตูเมือง มานั่งรอหนาวสั่นอยู่ที่ป้ายรถบัส กว่ารถจะมาอีกเกือบยี่สิบนาที คิดว่าถ้าเรานั่งแข็งตายอยู่นี่จะมาใครมาเก็บมั้ย เพราะมันหนาวมากจนทำให้คิดแบบนั้น แก้หนาวด้วยการจ๊อกกิ้งอยู่กับที่และแทะแพนฟอร์เต้ไปพลางจนรถบัสมา อย่างไรก็ตามแม้อากาศจะแย่ขนาดนั้น การเดินทางไม่สะดวก แต่เราก็ยังคงประทับใจในการมาซานจิ มิญาโน่มาก....ด้วยความน่ารักของเมือง ร้านรวง ขนม ผู้คน รถบัสออกแล้วเพื่อกลับไปป๊อกจิ บอนสิ.....ในใจพลางคิดว่าฉันจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง.
******************************************************************************************************
[CR] ท่องไปในอิตาลี่ ตอน ซาน จิมิญาโน่ ป้อมปราการแห่งทัสคานี ( San Gimignano Of Tuscany )
ในตอนแรกที่ได้ยินชื่อนี้คิดว่าเมืองอะไรชื่อเรียกยากจัง San Gimignano หรือซาน จิ มิญาโน่ เราไม่เคยรู้จักเมืองนี้มาก่อนไม่เคยรู้ว่ามีเมืองนี้อยู่ใกล้ๆกับเซียน่าที่ไปเมื่อปีที่ผ่านมา แต่ได้เห็นในเฟสบุค ITALY ที่มักจะมีสถานที่สวยๆมาหลอกล่อให้เราอยากไปเยือนเสมอๆ ได้เห็นภาพก่อนจะเดินทางไม่นาน...แล้วก็นึกเลยเดี๋ยวนั้นว่า ตรูจะต้องไปให้ได้
มาอ่านข้อมูลของคนที่เคยไปเมืองนี้ มีน้อยและหายากมาก จะเดินทางอยู่ไม่กี่วันแล้ว ไปหาข้อมูลเอาดาบหน้าละกัน มันคงไม่ยากอะไรนักหรอก อย่างดีก็ซื้อตั๋วรถไฟไปเหมือนเมืองอื่นๆนั่นแหละ จากนั้นก็วุ่นวายเรื่องเก็บข้าวของ จัดการเรื่องร้าน ของฝากคนที่อิตาลี่และต่างๆนาๆไม่ได้ใส่ใจอ่านข้อมูลอะไรอีก
ได้ฤกษ์วันหนีจากบ้านอันเดรมาเที่ยวฟลอเร้นซ์คนเดียว พอจับรถไฟมาได้ถึงฟลอเร้นซ์ประมาณ11โมงเช้าลากกระเป๋ามาเช็คอินโรงแรมประจำที่เคยมาพักก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไร หาเพื่อนคือคริสเตียนเจ้าของโรงแรมไม่เจอ เจอคุณพ่อก็ถามคุณพ่อนี่ละ ว่าจะไปยังไงเมืองซาน จิมิญาโน่เนี่ยคะ คุณพ่อก็อธิบายว่าจะไปรถไฟหรือรถบัสก็ได้ ไปลงเซียน่าและนั่งรถบัสไปต่อ เราก็สงสัยว่าไม่มีไดเร็คเทรนหรือบัสเหรอคะ แกบอกไม่มี เวรละ นี่มันสิบเอ็ดโมงละแล้วตรูจะไปถึงกี่โมง พอบอกขอบคุณแกได้ก็รีบบึ่งมาสถานีรถไฟเลย
ถามคุณหญิงคนขายตั๋วรถไฟ เธอบอกว่าให้นั่งรถไปเซียน่าแล้วไปต่อบัส เหมือนคุณลุงที่โรงแรมเป๊ะ เราก็ไม่เอา....พยายามสู้ ไปบัสก็ได้ เผื่อมีรถบัสถึงเลยไม่อยากไปต่อเสียเวลา วิ่งไปที่สถานีรถบัสที่คุณลุงบอกว่าอยู่หลังสถานีรถไฟ หาเท่าไรๆก็หาไม่เจอ.....เจอคุณตำรวจแถวๆนั้นเลยปรี่เข้าไปถามว่าไอ้สถานีรถบัสนี่มันอยู่ตรงไหน ..... โน่น อยู่ในซอยลึกไปอีก ตรงข้ามโบสถ์เล็กๆ เราก็วิ่งไปมาเหมือนหนูเพราะมันเที่ยงกว่าละ เสียเวลามาเยอะแล้ว แต่ต้องไปให้ได้วันนี้
สรุป...น้องชายคนขายตั๋วก็บอก ยังไงพี่ก็ต้องไปต่อรถอีกสายไม่มีรถบัสถึงเมืองนี้ง่ายๆนะครับแถมส่งตารางรถบัสน่ามึนงงประกอบภาษาอิตาเลี่ยน และแถมวงๆไว้ให้ว่ามีเที่ยวบ่ายโมงจะไปมั้ย .....ค่ะ...ไปก็ไปค่ะ....ไปถึงบ่ายสาม อะไรมันจะนานขนาด ระยะทางไม่ได้ไกลเลย แล้วก็เอาตั๋วมาพร้อมนั่งดูตารางรถบนบิลบอร์ดดิจิตอลอย่างตาลาย พอถึงเวลาตารางดิจิตอลนั้นก็จะบอกหมายเลขรถพร้อมด้วยช่องเข้าจอด ตอนนี้ละก็ดูให้ดีๆ มิฉะนั้นจะหลงไปเมืองอื่นได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่มีกระเป๋ากระปี๋คอยบอกเหมือนรถทัวร์บ้านเรา
รถบัสไม่แน่น นั่งสบายพอสมควรแถมไม่หนาว ลืมบอกไปว่าวันนั้นฝนตกตอนเช้าที่มาจากฟลอเร้นซ์อุณหภูมิลดฮวบเหลือแค่ 3 องศา ทั้งหมวกทั้งเสื้อและผ้าพันคอก็ยังหนาวอยู่ .... นั่งไม่นานก็ออกนอกเมืองนั่งมองไรองุ่นไม่นาน .... อุ่นๆแถมเพลียอีกก็หลับไปหน่อยหนึ่ง ตื่นมารถบัสก็เข้ามาในเมืองแล้ว.........ใจก็ตื่นเต้นอีกละว่าตรูจะลงตรงไหนและขึ้นรถบัสคันไหน
รถเริ่มจอดเป็นจุดๆเพราะมีคนลง เราก็เดินไปถามพี่คนขับว่าจะลงได้หรือยังคะต่อรถไปซานจิ มิญาโน่ แกก็รัวภาษาอิตาเลี่ยนมาประมาณว่าป้ายหน้าเป็นป้ายสถานีรถไฟอะไรประมาณนี้ ไม่นานก็ถึงป้ายสถานีรถไฟชื่อน่ารักและน่าจดจำอย่างมาก ป๊อกจิ-บอนสิ Poggibonsi พอลงรถก็เคว้งคว้างอีกทีนี้ แล้วตรูจะขึ้นรถไปซานจิตรงไหน คนที่ลงก็แตกตัวไปกันหมดแล้ว แปลว่าเค้าไม่ได้ไปกับเรา หนาวก็หนาวข้างนอกแบบนี้ เหลือบไปเห็นป้ายจอดิจิตอลอีกละ บอกเวลารถที่จะไปแต่ไม่เห็นบอกว่ารถจอดตรงไหน คือมันเป็นที่กว้างๆ มีรถบัสจอดเป็นระยะ เอาละลองเดินดู.....เดินรอบหนึ่งไม่มีรถหมายเลขตรงกับที่ไปซานจิซักคัน กลับมามองป้ายอีก เค้าบอก area 1 อ้าวก็ตรงนี้ละแอเรีย1....รถก็ไม่เห็นมีจอดแต่ไม่เดินไปไหนละ ยืนเด่นรออยู่ตรงนั้นคนเดียวแม้จะหนาวจนมือแข็ง ยังไม่ปวดหัวเท่าไรเพราะมีหมวกแต่จมูกเย็นเจี๊ยบ รอประมาณ 10 นาทีใกล้แข็งละ รถสวรรค์คันนั้นก็มาถึง เฮ้อ พอรถมาถึงผู้คนในสถานีที่หลบอุ่นๆอยู่ก็มาขึ้นกันจนเกือบเต็มรถ เค้าคงว่าอินี่บ้ายืนอยู่ได้หนาวๆ
พอรถวิ่งไปได้ครึ่งทางก็รู้ว่าบัสนี้คนขับต้องชำนาญทางทีเดียว มันเป็นทางขึ้นเขา โค้งหักศอก และมีเหวลึกๆเขียวขจีเป็นระยะ คือเป็นแบบทางขึ้นดอยนั่นเอง อ้อ...เมืองนี้มันอยู่บนเขารถต้องวิ่งไปช้าๆระยะทางไม่ไกลถึงใช้เวลานานนัก ............. พอใกล้ถึงน้ำตาแทบไหล เมืองป้อมปราการที่เห็นอยู่ลิบๆนั่นเหมือนกับในนิยาย โอบล้อมด้วยขุนเขาที่งดงามแห่งทัสคานี ป้อมสูงมากๆจนเห็นได้ในระยะไกล.... เริ่มหลงรักเมืองนี้ซะแล้ว พอใกล้ถึงเมฆฝนมาเลยแล้วฝนก็เริ่มตก ไม่มากแต่ก็ทุลักทุเลพอสมควร อะไรมันจะผจญภัยขนาดนี้ หนาวอีกแล้วตรูต้องลงจากรถแน่ๆ เพราะถึงแล้ว เอาหมวกใส่แถมด้วยฮู้ดกันฝนทับ วิ่งฝ่าจนมาถึงประตูเมือง พอถึงฝนก็หยุดซะงั้น คนที่ขึ้นรถบัสมาด้วยกันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อากาศวันนี้ประหลาดเหลือเกิน ..............แต่ก็ดีละ จะได้ถ่ายรูปท้องฟ้าใสๆบ้าง เบื่อฝนจริง
เข้ามาในเมืองนี้ประทับใจมากๆ เค้ายังคงความสมบูรณ์ของเมืองไว้ได้ 99 % เลยนะ เมืองและร้านต่างๆที่แฝงตัวอยู่ไม่ทำให้เมืองเสียเลย น่ารักมากๆ ความสำคัญของซานจีมิญญาโนเป็นเมืองที่ยังรักษาลักษณะเมืองในยุคกลาง (Medieval)ไว้อย่างพร้อมมูลโดยเฉพาะหอคอยซึ่งจะมองเห็นได้แต่ใกล .......เมืองซานจีมิญญาโนได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990)
อธิบายไปก็อาจจะไม่เห็นภาพเท่าไร ดูรูปเอานะคะ เราเดินเที่ยวชมเมืองไปเรื่อยๆอย่างเพลิดเพลิน แดดเริ่มออก อากาศเริ่มดีขึ้น ร้านค้าต่างๆน่าแวะชมก็มีหลากหลายทั้งเซรามิคสวยๆ เครื่องหนัง งานไม้ อาหารแห้งพวกเส้นพาสต้า ซาลามี่ เครื่องเทศต่างๆ ร้านเบเกอรี่ และที่สำคัญคนเดินสวนทางเราลงมาทุกคนต้องถือคือเจลาโต้นั่นเอง เง้อ ..... ทุกคนจริงๆ เค้าจะกินบ้าง รีบเดินขึ้นเนินมาโดยเร็ว เมืองจะเป็นเนินขึ้นๆลงๆแบบนี้ละคะ ไม่นานก็เจอร้านมีสองร้านใกล้ๆกัน เราก็เลือกร้านหนึ่ง ทั้งสองร้านเขียนว่าเป็นที่สุด เวิลดิ์แชมป์โลกไอศครีมอะไรประมาณนี้ คนแน่นร้านมากและเจลาโต้เหลือน้อยแล้ว เข้าไปรุมๆต่อคิวกะเค้าบ้างจนได้มา ตามรูป ก็อร่อยเข้มข้นจริงๆ จากนั้นก็เดินเที่ยวต่อ มีเวลาเดินถึงหกโมงซึ่งเราจะกลับรถเที่ยวนั้นถึงฟลอเร้นซ์ไม่ดึกเกินไป
บ้านเมืองตึกรามล้วนเป็นสีเอิร์ธโทนแนวเดียวกันไปหมด บางตึกมีรากเถาวัลย์ขึ้นแทรก ดูคลาสสิคและลึกลับไปในคราวเดียวกัน เหมือนมาเดินอยู่อีกยุคหนึ่งหรือไม่ก็ในเทพนิยายที่จินตนาการได้ถึงเจ้าหญิงบนหอคอย ป้อมและหอคอยเค้าสูงมากจริงๆ เพื่อเอาไว้เป็นปราการดูเมืองได้รอบด้าน ซอกซอยต่างๆล้วนชวนให้หลงไหล อยากอยู่เมืองนี้นานๆ มันเหมือนกับว่าหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่ทำให้เราลืมความวุ่นวาย ปลดปล่อยสมองและร่างกายให้เบา ไปกับจินตนาการ
ห้าโมงกว่าๆ เริ่มมืดฟ้ามัวดินมาอีกละ เฮ้อ เอาไงดีละถ้าตกหนักต้องฝ่าไปป้ายรถเมล์อีก.....นึกแล้วก็กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ซอกซอยที่ชวนให้หลงไหลก็กลับเป็นชวนให้หลง เพราะถนน บ้าน ตึกต่างๆล้วนเหมือนๆกันไปหมด พูดเลยว่าคือเขาวงกฎตึกสีอิฐนั่นเอง เอาละวา....เริ่มเดินหาทางออกโดยนึกย้อนกลับไปเหมือนแฮนเซลและเกรเทลโรยเศษขนมปัง แต่เราไม่ได้โรยอะไร ใช้ทิศทางจากร้านต่างๆที่ผ่านมา ค่อยๆย้อนกลับไปเส้นทางเดิม คราวหน้าจะเอาเข็มทิศมาด้วย ใครจะคิดว่ามาเดินป่าก็ช่าง
สุดท้ายก็มาจนเกือบถึงหน้าประตูเมืองจนได้ เริ่มหิวอีกและอยากลองขนมพื้นบ้านเซียน่า มองเห็นร้านเบเกอรี่เลยเดินเข้าไป มันมีขนมเค้กของ Siena อยู่จริงๆ มีหลายแบบด้วย มีทั้งแบบนิ่มและแข็ง เรียกว่า Panforte (Di Siena) เราเลือกแบบแข็งจะได้นั่งแทะในรถไปเรื่อยๆ เป็นรสชินนามอนหรือ อบเชย หอมมากๆ ราคาเกือบสองยูโร....ชิ้นเล็กๆสามเหลี่ยมแบบในรูปน่ะค่ะ
ซื้อเสร็จก็เดินออกมาจากประตูเมือง มานั่งรอหนาวสั่นอยู่ที่ป้ายรถบัส กว่ารถจะมาอีกเกือบยี่สิบนาที คิดว่าถ้าเรานั่งแข็งตายอยู่นี่จะมาใครมาเก็บมั้ย เพราะมันหนาวมากจนทำให้คิดแบบนั้น แก้หนาวด้วยการจ๊อกกิ้งอยู่กับที่และแทะแพนฟอร์เต้ไปพลางจนรถบัสมา อย่างไรก็ตามแม้อากาศจะแย่ขนาดนั้น การเดินทางไม่สะดวก แต่เราก็ยังคงประทับใจในการมาซานจิ มิญาโน่มาก....ด้วยความน่ารักของเมือง ร้านรวง ขนม ผู้คน รถบัสออกแล้วเพื่อกลับไปป๊อกจิ บอนสิ.....ในใจพลางคิดว่าฉันจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง.
******************************************************************************************************