สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์และรายละเอียดถี่ยิบต่างๆที่ตัวเองไปวอคอินกับสายการบินเอมิเรตส์ (Emirates Airlines) ที่ เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย และแนะนำเคล็ดลับ วิธีการที่จะส่งตัวเองไปให้ถึงจุดหมายปลายฝัน หวังว่าข้อมูลพวกนี้จะมีประโยชน์สำหรับคนที่อยากไปวอคอิน(walk in ) ต่างประเทศนะคะ
เริ่มกันที่เรื่องของตัวเองก่อนนะคะ
เราเพิ่งเรียนจบและกลับมาทำงานที่ไทยไม่ถึงปีเลย แต่อยากออกจากงานแล้วมาเป็นแอร์ ซึ่งสายการบินเป้าหมายก็คือ เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ นี่ล่ะ เรามีพี่สาวเป็นแอร์สายการบินกาต้าร์ ( Qatar Airways ) มา5ปีแล้ว พี่เราสนุกสนาน เอนจอยมาก ว่างั้นเถอะ ชีวิตดี ชีวิตแย่ผสมปนเปกัน บางครั้งได้เป็นตัวแทนไปออกงานอีเวนท์ของบริษัทบ้าง เราว่าสายกาตาร์เค้าก็ดี สวยงาม แต่ส่วนตัวแล้ว เราชอบเอมิเรตส์มากกว่า เพราะตอนเด็กๆเราเคยบินเดี่ยวกับสายการบินนี้มาหลายครั้ง คือประทับใจทั้งบริการ และที่นั่ง แอร์เค้าเปรี้ยวอ่ะ เราชอบบบ แล้วรู้สึกว่าถ้าเราจะทำงานเป็นแอร์ เราจะต้องเป็นแอร์ของสายนี้นี่ล่ะ เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ส
การเป็นลูกเรือ (แอร์โฮสเตส)
เรารู้ว่าการเป็นแอร์โฮสเตสไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เริ่มตั้งแต่ต้องเปิดหนังสือหนาเป็นปึกๆอ่าน สอบให้ผ่านเทรน แล้วยังต้องไปเจอผู้โดยสารเป็นร้อยเป็นพันคน ต้องไปบริการเขา ซึ่งความต้องการของเขาก็หลากหลาย แล้วไหนจะต้องทำงานร่วมกับคนไม่รู้จัก มาจากต่างบ้านเมือง คุยกันคนละภาษา จะเจอใครแย่ๆบนเครื่องบ้างเราก็ไม่รู้ นี่ยังไม่รวมขั้นตอนแต่ละอย่างกว่าจะสมัครเข้าไปทำงานเป็นแอร์ได้ การรอคอย Golden call คือมันไม่ง่ายเลย เราต้องถามตัวเองก่อนเลยว่าเมื่อเราเข้าไปได้เราจะทนไหวไหม เพราะก็มีเหมือนกันสำหรับคนที่เข้าไปเทรนได้แล้ว และไม่ชอบงานนี้ ออกไปเฉยๆเหมือนกัน
สำหรับตัวเรา เราคิดว่าไม่มีอาชีพไหนไม่ลำบาก เพียงแต่เราจะชอบและเข้ากับอาชีพนั้นได้ขนาดไหน จะทนรับความตึงเครียดและความลำบากได้ไหม ซึ่งเรื่องเล่านี้ก็แล้วแต่บุคคลจริงๆ
เราไม่ได้เรียนกับสถาบันสอนแอร์ไหนๆ แต่มีการติว และศึกษาวิธีการกับรุ่นพี่ที่ได้เป็นแอร์เอมิเรตส์ และมีคุณแม่กับพี่สาวที่คอยแนะนำทางให้คำปรึกษา นอกจากนั้นศึกษาข้อมูลจากเวปเพจต่างๆด้วยตัวเองรวมทั้งจากพันทิปด้วยค่ะ
เราจบม.3 ร.ร. ที่ไทย ไปต่ออินเดีย2ปี แล้วนิวซีแลนด์ 1ปีกว่า เข้ามหาวิทยาลัยที่จีน ใช้ชีวิตที่นั่น4 ปีครึ่ง เราค่อนข้างเป็นคนอดทน และปรับตัวง่าย พร้อมที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆ ที่สำคัญคือชอบเที่ยวมากๆ เป็นคนที่พร้อมจะเก็บกระเป๋าออกไปเที่ยวได้ตลอดเวลา ( คืออยู่กับที่แล้วไม่มีความสุข มันกดดัน) จุดตรงนี้ทำให้เราคิดได้ว่าเราเหมาะกับสายอาชีพนี้ และด้วยเรามีพี่สาวที่เป็นแอร์สายแขกตะวันออกกลางเหมือนกัน เราก็เข้าใจแบบซาบซึ้งถึงชีวิตแอร์ (ด้านดราม่าด้วย)
โดยส่วนตัวเราคิดว่า คนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้แล้ว หรือใช้ภาษาที่สามได้ด้วย มีคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น ความสูง บุคลิกภาพการเดิน ยืน ใช้ได้ ไม่จำเป็นเลยที่ต้องไปเสียเงินหลายๆหมื่นกับสถาบันต่างๆ เราคิดว่าบุคลิกภาพเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ ทำอย่างไรให้ตัวเรามีบุคลิกดีและโดดเด่น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นมิตร ไม่แข็งกระด้าง ไม่ว่าจะเสียเงินไปเรียนกับสถาบันใด ถ้าเราไม่ปรับปรุง พัฒนาตัวเรา ก็สอบไม่ผ่านอยู่ดี ถ้าประหยัดเงินส่วนนั้นได้ ก็สามารถนำเงินนั้นมาใช้จ่ายในการเตรียมตัวค่าไปวอคอินต่างประเทศ ( ซึ่งใช้เงินมากกว่าสมัครที่ไทยแน่นอน)แทน ถึงแม้จะได้ หรือ ไม่ได้ก็ตาม จะได้นำประสบการณ์ที่ได้รับมาพัฒนาตัวเอง
นอกจากเสียจากว่า ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน และไม่มีอะไรสักอย่าง ( มีแต่ความฝันอยากบิน) หรือ วอคอินไปหลายครั้งแล้วก็ไม่ผ่านสักที และไม่รู้ว่าเราควรจะปรับปรุงอะไร แก้ไขส่วนไหน ทำอย่างไร เรียกว่ายังพร่อง และจับทิศทางไม่เจอ แบบนี้ก็ควรต้องพบผู้ชำนาญการจากสถาบันล่ะค่ะ
(รูปนี้นำมาจาก Facebook page ของ Dubai ค่ะ อยากไปดูเองกับตามากแล้ว เหลืออีกไม่กี่วัน)
สำหรับตัวเราเอง เราเริ่มด้วยการที่เราต้องรู้จักตัวเอง แล้วแก้ไข (หลักknow thyself` จากวิชา managementเลยค่ะ 555) เราอยากเป็นแอร์โฮสเตส แต่เราขี้อาย ไม่กล้าพูดต่อหน้าชุมชน หรือ คนเยอะๆ จะทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเวลาอยู่ในท่ามกลางผู้คน เป็นคนไม่มั่นใจ ไม่กล้า คือเรื่องเที่ยว เรื่องจัดการชีวิตเก่งนะ แต่พอมาถึงเรื่องทำอะไรต่อหน้าผู้คนหรือผู้ใหญ่อะไรอย่างนี้ จะกลายเป็นคนที่เกร็งไปหมด ไม่เป็นตัวของตัวเอง พูดเบาๆ หงุมๆหงิมๆ คือเรารู้ตัวเลยว่าเป็นแบบนี้ ไม่เด่น ไม่น่าสนใจ พูดมาก็ฟังไม่รู้เรื่อง น้ำหนักเสียงก็ไม่มี
เราฉุกคิดมาว่า เออเรารู้ตัวแล้ว แล้วข้อเสียแบบนี้มันจะเป็นแอร์ได้หรอ สมัครก็ใช่ว่าจะง่ายๆ คนอยากเป็นแอร์ มีเป็นพันๆคน ดีกรีตัวเองก็ไม่ได้เพอร์เฟคเลิศเลอ ที่สำคัญกรรมการเขาหาคนเก่ง(ในทัศนะของเขา)มาเป็นแอร์ เขาไม่ได้มานั่งอ่านหรอกว่าเราเก่งเพราะเราเรียนที่ไหน จบมหาวิทยาลัยไหน เขาไม่แคร์ส่วนนั้นเลย เราสิ ต้องแสดงให้เขาเห็น ว่าเรามีอะไรที่เขาอยากรับมาทำงานด้วย
เริ่มกันที่ คุณแม่ผู้ประเสริฐของลูกรู้ว่า ลูกอยากเป็นแอร์อีเค แม่ก็ติดตามข่าวสาร แม่จะปังมากเรื่องพวกนี้ คือแม่เป็นคุณครูสอนหนังสืออยู่แล้ว สามารถให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาของเราได้ดี วันหนึ่งแม่ถามว่า อะ พร้อมยัง เนี่ยเอมิเรตส์เค้าจะมาปีนังนะ ( คือแม่เช็คเว็บมาให้เลยจ้า) แม่จะออกตั๋วค่าไปให้ และแม่จะไปด้วย ลองดูถ้าไม่ได้ไม่เป็นไร ค่อยกลับมาสมัครเอมิเรตส์ที่ไทย เราก็อืม ปีนัง คนน้อยกว่า มีโอกาสมากกว่า แต่งตัวแต่งหน้าสบายๆกว่า ( อ่านมาจากเพจต่างๆ) ขอเวลาแม่ไปคิดสองสามคืน หลังจากนั้นเราก็ตอบตกลงไป เราก็กลัวนะว่าจะลงทุนแล้วเสียเงินเปล่า แต่ในเมื่อเรารู้จักว่าตัวเองควรปรับตัวอย่างไร แล้ว เราก็บอกตัวเองเลย ชั้นจะไปสมัครและชั้นจะไม่ทำให้แม่และพี่ผิดหวัง และจะไม่ทำให้ตัวเองเสียใจ ชั้นต้องปรับปรุงจุดอ่อนของตัวเอง สมาธิสำคัญสุดๆ ใส่ความกล้าความมั่นใจเข้าไปซะ
แต่ตอนนั้นพูดเลยว่ากล้าๆกลัวๆ กลัวเสียใจอ่ะ เป็นคนค่อนข้างจะ Perfectionist อยากทำดีที่สุด ไม่อยากพลาด ถ้าผิดหวังอะไร ลึกๆเราต้องเสียใจมากแน่ๆ ถึงแม้จะไม่แสดงออกมาก็ตาม
และแล้วก็เริ่มต้น
1.
จองตั๋วเครื่องบิน แม่ให้จองให้ บินแอร์เอเชียขาไปอย่างเดียวเพราะไม่รู้ชะตากรรม วันที่ 8 ตุ.ค. 2558 จองล่วงหน้าประมาณ 2อาทิตย์ ราคาก็ตกคนละพันกว่าๆ
2.
ที่พัก สถานที่ที่ต้องไป drop CV / interview คือ ที่
Holiday Inn Hotel คือมันอยู่นอกเมืองค่ะ ฝั่งโซนติดทะเล เราเสิรชหาที่พักแบบง่ายๆเลยจาก app Airbnb (ใครไม่รู้จักแอพ นี้ลองศึกษาได้ เราจะเห็นรีวิวจริง แล้วได้ไปนอนบ้านคนหรือคอนโดประมาณนี้ ติดต่อกับโฮสท์เจ้าของที่พักโดยตรง) เราส่งข้อความถามโฮสท์บ้านนี้ที่อยู่บริเวณพื้นที่ที่เรียกว่า
Batu Ferringhi ถามเค้าว่าจากบ้านพักไปโรงแรมไกลไหม ระยะการเดินเท่าไร แล้วขึ้นรถหรือรถเมล์ได้ไหม แล้วก็ถามว่าจากสนามบินไปบ้านเขาอย่างไร โฮสท์น่ารักมากตอบกลับรวดเร็ว สรุปว่าโอเคเลย ไม่ไกลมาก เดินไปโรงแรมประมาณ 10 นาทีภาษาฝรั่งแปลว่า15-20ของคนไทย 55555 แล้วโฮสท์ก็แนะนำให้เราโหลด app My Teksi ซึ่งก็คือ grab taxi ของบ้านเราแต่เป็นฉบับมาเลเซียนี่เอง
(รูปนางฟ้าทั้งสี่เอามาจากgoogleไม่รู้ใครวาด)
และแล้ววันที่ 8 บ่ายๆก็ไปดอนเมืองพร้อมบินกับแม่ ตอนที่ไปก็เจอคนที่จะไปวอคอินเหมือนกันล่ะ แต่เราก็ไม่มีโอกาสได้คุย เพราะพวกเขาไปกันเป็นกลุ่มๆ เราไปกับแม่สองคน ไปถึงปีนังออกมาจากสนามบินก็ค่ำประมาณ 6 โมงกว่า ซื้อซิมการ์ดในสนามบิน ตอนแรก จะงกไม่ซื้อ แต่คิดแล้ว (..ชั่งมัน) คิดว่าเราต้องใช้ ถามหาซิมที่ถูกสุด ราคาประมาณ 28 ริงกิต พนง.น่ารักเอามือถือไปติดตั้งให้เรียบร้อย เราก็โหลดแอพเรียกแท็กซี่มาแล้วสมัครด้วยเบอร์โทรเบอร์ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเนี่ยล่ะ กินข้าวที่แอร์พอร์ตระหว่างนั่งรอหน้าโทรมๆมันๆ ซักพักแท็กซี่ก็มา แต่เค้าให้เราออกไปรอตรงป้ายรถเมล์ เพราะตามกฎแล้วแท็กซี่พวกนี้เข้ามาในหน้าประตูแอร์พอร์ตไม่ได้ นอกจากเราจะใช้แท็กซี่แอร์พอร์ตซึ่งแพงอ่ะ (ไม่เอา งก) ที่จริงโฮสท์บอกว่ามาแล้วว่าสามารถนั่งรถเมล์ไปได้ แต่เราคะเนแล้วว่าไกลมาก ใช้เวลานาน และต้องไปลากกระเป๋าหาบ้าน (ในหมู่บ้าน)เอง แม่เองก็บอกว่า จ่ายค่าแท็กซี่ไปเถอะ จะได้ไปพักผ่อนเตรียมตัว
ใช้เวลาจากแอร์พอตไปบ้านที่พักประมาณ 40 นาที คือมันไกลมาก เพราะถนนบ้านเค้าโล่งมาก ราคาน่าคบ ประมาณ 70 ริงกิต (คูณ 9 เป็นเงินไทย) ไปถึงที่พักประมาณสามทุ่มอาบน้ำเตรียมตัว เอาแฟ้มCV มาตั้ง เตรียมชุด รองเท้าดำขัดให้เงา เตรียมทุกอย่างให้พร้อมเช้ามาจะได้ไม่วุ่นวาย นั่งทำสมาธิและเข้านอน (เชื่อว่าสมาธิและสติสำคัญสุด) บอกเลยว่านอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ตื่นมาตี5 แม่ตื่นก่อนอีกค่ะ
แต่งหน้าเองตามแบบที่พี่สาวแนะว่าถ้าสายแขกเค้าชอบแน่นๆ คมๆ เราก็อ่ะ แน่นที่ตาเลย แปะขนตา (ซึ่งต้องแต่งให้ดูเนี๊ยบนะเพราะกฎจริงๆห้ามมีขนตาปลอม แล้วอีกอย่างคอนเทคเลนส์สีๆ บิ๊กอายนี่อย่าใส่เลยนะคะ) อยากให้ตาแน่นกว่าเดิมก็แปะสติกเกอร์เพิ่มชั้นตา บล็อกตาแน่นเลยปากแดงลิปของ sephora น่าจะประมาณ450บาทนะ คือยี่ห้อสีแดงเอมิเรตส์จริงๆ ใช้ดี ทนนานเลยค่ะแต่ค่อนข้างแห้ง ต้องทาลิปมันก่อนนะ ถ้าให้สวยงามแน่นหนากว่าเดิมก็ทาลิปสติกของMACสีแดงเป็นพื้นก่อน เราใช้ Satin steam heat แต่บางทีก็ All fired up มีเพื่อนใช้ red russian ก็ดีเหมือนกันค่ะ (ข้ามมาเรื่องลิป ตอนนี้เราเปลี่ยนมาใช้อีกยี่ห้อ ทาง่ายกว่าติดนานกว่า สีคล้ายกัน เป็นของ stila หาซื้อได้ที่ sephoraเช่นกัน ราคา 800กว่าๆ จำไม่ได้)
โดยส่วนตัว เราชอบปากอิ่มๆอวบๆ (แต่ปากเราไม่อวบ 555) เรามีตัวดูดปากสั่งจากอเมริกา ชอบใช้มากคือดูดแล้วอิ่มดี ดูรีวิวของพวกฝรั่งได้ ใครสนใจลองหาดูได้นะคะแต่ถ้าดูดนานไปมีโอกาสปากบวมได้ 5555 อันนี้ความชอบส่วนตัวล้วนๆ เพราะคิดว่ามันทำให้น่าเราเด่นขึ้น
https://www.youtube.com/watch?v=CbsjGB5q8ww
ต่อมาเรื่องหูและผม หูเราค่อนข้างใหญ่และกาง เราเลือกตุ้มหูกลมๆแบบsizeกลาง เพื่อให้ดูเหมาะสมกับหูของเรา ผม จัดมวยสูงค่ะ คิดว่ามันสวยกว่ามวยต่ำ (แล้วแต่รูปหน้านะคะ) โดนัท ( หมายถึงม้วนใยสังเคราะห์กลมที่ทำเหมือนโดนัท เอาไว้ใช้ทำมวยผม) ก็เลือกsizeใหญ่มา เพราะมันดูเด่นสวยกว่าอันเล็ก ด้วยความที่หูเราใหญ่ก็ต้องจัดให้สมดุล ถุงน่องเลือกแบบซัพพอร์ต มันแน่นและบางดี เล็บมือเล็บเท้าสีแดงเป๊ะเพราะทาแบบเจลมาจากร้านที่ไทย (แบบเจลอาจแพงกว่าทาเล็บธรรมดา ซึ่งหลุด ลอกง่ายกว่า และ เราซ่อมสีเล็บไม่เป็น ต้องยอมจ่ายเงินส่วนนี้ค่ะ )
คือเรื่องยิบย่อยพวกนี้มันมีผลต่อเราค่ะ พี่และแม่เราคอยเตือนและบอกเสมอว่ากรรมการให้ความสำคัญเรื่องการแต่งกาย ผม เล็บ มาก แสดงถึงความปราณีตของตัวเอง วันแรกนี้ First impression มาก่อนเลย กรูมมิ่งเราต้องแน่น ต้องดี
ให้คิดเสียว่าเรา Represent Emirates ตั้งแต่เหยียบโรงแรม
ทำยังไงให้กรรมการประทับใจ เรามีเวลาแค่ไม่กี่วินาทีในการนำเสนอตัวเอง กรรมการมืออาชีพเหล่านี้ตาเหยี่ยวมากค่ะ เขามองแวบเดียวก็จะเห็น เขาเช็ครายละเอียดได้หมดหรือเกือบหมดเลยทีเดียว
#ตอนนี้จะครบ 10,000 คำแล้ว เดี๋ยวมาต่อนะคะ
เมื่อฉันอยากเป็นนางฟ้า Emirates และวันนั้นก็มาถึง
เริ่มกันที่เรื่องของตัวเองก่อนนะคะ
เราเพิ่งเรียนจบและกลับมาทำงานที่ไทยไม่ถึงปีเลย แต่อยากออกจากงานแล้วมาเป็นแอร์ ซึ่งสายการบินเป้าหมายก็คือ เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ นี่ล่ะ เรามีพี่สาวเป็นแอร์สายการบินกาต้าร์ ( Qatar Airways ) มา5ปีแล้ว พี่เราสนุกสนาน เอนจอยมาก ว่างั้นเถอะ ชีวิตดี ชีวิตแย่ผสมปนเปกัน บางครั้งได้เป็นตัวแทนไปออกงานอีเวนท์ของบริษัทบ้าง เราว่าสายกาตาร์เค้าก็ดี สวยงาม แต่ส่วนตัวแล้ว เราชอบเอมิเรตส์มากกว่า เพราะตอนเด็กๆเราเคยบินเดี่ยวกับสายการบินนี้มาหลายครั้ง คือประทับใจทั้งบริการ และที่นั่ง แอร์เค้าเปรี้ยวอ่ะ เราชอบบบ แล้วรู้สึกว่าถ้าเราจะทำงานเป็นแอร์ เราจะต้องเป็นแอร์ของสายนี้นี่ล่ะ เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ส
การเป็นลูกเรือ (แอร์โฮสเตส)
เรารู้ว่าการเป็นแอร์โฮสเตสไม่ใช่เรื่องที่ง่าย เริ่มตั้งแต่ต้องเปิดหนังสือหนาเป็นปึกๆอ่าน สอบให้ผ่านเทรน แล้วยังต้องไปเจอผู้โดยสารเป็นร้อยเป็นพันคน ต้องไปบริการเขา ซึ่งความต้องการของเขาก็หลากหลาย แล้วไหนจะต้องทำงานร่วมกับคนไม่รู้จัก มาจากต่างบ้านเมือง คุยกันคนละภาษา จะเจอใครแย่ๆบนเครื่องบ้างเราก็ไม่รู้ นี่ยังไม่รวมขั้นตอนแต่ละอย่างกว่าจะสมัครเข้าไปทำงานเป็นแอร์ได้ การรอคอย Golden call คือมันไม่ง่ายเลย เราต้องถามตัวเองก่อนเลยว่าเมื่อเราเข้าไปได้เราจะทนไหวไหม เพราะก็มีเหมือนกันสำหรับคนที่เข้าไปเทรนได้แล้ว และไม่ชอบงานนี้ ออกไปเฉยๆเหมือนกัน
สำหรับตัวเรา เราคิดว่าไม่มีอาชีพไหนไม่ลำบาก เพียงแต่เราจะชอบและเข้ากับอาชีพนั้นได้ขนาดไหน จะทนรับความตึงเครียดและความลำบากได้ไหม ซึ่งเรื่องเล่านี้ก็แล้วแต่บุคคลจริงๆ
เราไม่ได้เรียนกับสถาบันสอนแอร์ไหนๆ แต่มีการติว และศึกษาวิธีการกับรุ่นพี่ที่ได้เป็นแอร์เอมิเรตส์ และมีคุณแม่กับพี่สาวที่คอยแนะนำทางให้คำปรึกษา นอกจากนั้นศึกษาข้อมูลจากเวปเพจต่างๆด้วยตัวเองรวมทั้งจากพันทิปด้วยค่ะ
เราจบม.3 ร.ร. ที่ไทย ไปต่ออินเดีย2ปี แล้วนิวซีแลนด์ 1ปีกว่า เข้ามหาวิทยาลัยที่จีน ใช้ชีวิตที่นั่น4 ปีครึ่ง เราค่อนข้างเป็นคนอดทน และปรับตัวง่าย พร้อมที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆ ที่สำคัญคือชอบเที่ยวมากๆ เป็นคนที่พร้อมจะเก็บกระเป๋าออกไปเที่ยวได้ตลอดเวลา ( คืออยู่กับที่แล้วไม่มีความสุข มันกดดัน) จุดตรงนี้ทำให้เราคิดได้ว่าเราเหมาะกับสายอาชีพนี้ และด้วยเรามีพี่สาวที่เป็นแอร์สายแขกตะวันออกกลางเหมือนกัน เราก็เข้าใจแบบซาบซึ้งถึงชีวิตแอร์ (ด้านดราม่าด้วย)
โดยส่วนตัวเราคิดว่า คนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้แล้ว หรือใช้ภาษาที่สามได้ด้วย มีคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น ความสูง บุคลิกภาพการเดิน ยืน ใช้ได้ ไม่จำเป็นเลยที่ต้องไปเสียเงินหลายๆหมื่นกับสถาบันต่างๆ เราคิดว่าบุคลิกภาพเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ ทำอย่างไรให้ตัวเรามีบุคลิกดีและโดดเด่น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นมิตร ไม่แข็งกระด้าง ไม่ว่าจะเสียเงินไปเรียนกับสถาบันใด ถ้าเราไม่ปรับปรุง พัฒนาตัวเรา ก็สอบไม่ผ่านอยู่ดี ถ้าประหยัดเงินส่วนนั้นได้ ก็สามารถนำเงินนั้นมาใช้จ่ายในการเตรียมตัวค่าไปวอคอินต่างประเทศ ( ซึ่งใช้เงินมากกว่าสมัครที่ไทยแน่นอน)แทน ถึงแม้จะได้ หรือ ไม่ได้ก็ตาม จะได้นำประสบการณ์ที่ได้รับมาพัฒนาตัวเอง
นอกจากเสียจากว่า ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน และไม่มีอะไรสักอย่าง ( มีแต่ความฝันอยากบิน) หรือ วอคอินไปหลายครั้งแล้วก็ไม่ผ่านสักที และไม่รู้ว่าเราควรจะปรับปรุงอะไร แก้ไขส่วนไหน ทำอย่างไร เรียกว่ายังพร่อง และจับทิศทางไม่เจอ แบบนี้ก็ควรต้องพบผู้ชำนาญการจากสถาบันล่ะค่ะ
(รูปนี้นำมาจาก Facebook page ของ Dubai ค่ะ อยากไปดูเองกับตามากแล้ว เหลืออีกไม่กี่วัน)
สำหรับตัวเราเอง เราเริ่มด้วยการที่เราต้องรู้จักตัวเอง แล้วแก้ไข (หลักknow thyself` จากวิชา managementเลยค่ะ 555) เราอยากเป็นแอร์โฮสเตส แต่เราขี้อาย ไม่กล้าพูดต่อหน้าชุมชน หรือ คนเยอะๆ จะทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเวลาอยู่ในท่ามกลางผู้คน เป็นคนไม่มั่นใจ ไม่กล้า คือเรื่องเที่ยว เรื่องจัดการชีวิตเก่งนะ แต่พอมาถึงเรื่องทำอะไรต่อหน้าผู้คนหรือผู้ใหญ่อะไรอย่างนี้ จะกลายเป็นคนที่เกร็งไปหมด ไม่เป็นตัวของตัวเอง พูดเบาๆ หงุมๆหงิมๆ คือเรารู้ตัวเลยว่าเป็นแบบนี้ ไม่เด่น ไม่น่าสนใจ พูดมาก็ฟังไม่รู้เรื่อง น้ำหนักเสียงก็ไม่มี
เราฉุกคิดมาว่า เออเรารู้ตัวแล้ว แล้วข้อเสียแบบนี้มันจะเป็นแอร์ได้หรอ สมัครก็ใช่ว่าจะง่ายๆ คนอยากเป็นแอร์ มีเป็นพันๆคน ดีกรีตัวเองก็ไม่ได้เพอร์เฟคเลิศเลอ ที่สำคัญกรรมการเขาหาคนเก่ง(ในทัศนะของเขา)มาเป็นแอร์ เขาไม่ได้มานั่งอ่านหรอกว่าเราเก่งเพราะเราเรียนที่ไหน จบมหาวิทยาลัยไหน เขาไม่แคร์ส่วนนั้นเลย เราสิ ต้องแสดงให้เขาเห็น ว่าเรามีอะไรที่เขาอยากรับมาทำงานด้วย
เริ่มกันที่ คุณแม่ผู้ประเสริฐของลูกรู้ว่า ลูกอยากเป็นแอร์อีเค แม่ก็ติดตามข่าวสาร แม่จะปังมากเรื่องพวกนี้ คือแม่เป็นคุณครูสอนหนังสืออยู่แล้ว สามารถให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาของเราได้ดี วันหนึ่งแม่ถามว่า อะ พร้อมยัง เนี่ยเอมิเรตส์เค้าจะมาปีนังนะ ( คือแม่เช็คเว็บมาให้เลยจ้า) แม่จะออกตั๋วค่าไปให้ และแม่จะไปด้วย ลองดูถ้าไม่ได้ไม่เป็นไร ค่อยกลับมาสมัครเอมิเรตส์ที่ไทย เราก็อืม ปีนัง คนน้อยกว่า มีโอกาสมากกว่า แต่งตัวแต่งหน้าสบายๆกว่า ( อ่านมาจากเพจต่างๆ) ขอเวลาแม่ไปคิดสองสามคืน หลังจากนั้นเราก็ตอบตกลงไป เราก็กลัวนะว่าจะลงทุนแล้วเสียเงินเปล่า แต่ในเมื่อเรารู้จักว่าตัวเองควรปรับตัวอย่างไร แล้ว เราก็บอกตัวเองเลย ชั้นจะไปสมัครและชั้นจะไม่ทำให้แม่และพี่ผิดหวัง และจะไม่ทำให้ตัวเองเสียใจ ชั้นต้องปรับปรุงจุดอ่อนของตัวเอง สมาธิสำคัญสุดๆ ใส่ความกล้าความมั่นใจเข้าไปซะ
แต่ตอนนั้นพูดเลยว่ากล้าๆกลัวๆ กลัวเสียใจอ่ะ เป็นคนค่อนข้างจะ Perfectionist อยากทำดีที่สุด ไม่อยากพลาด ถ้าผิดหวังอะไร ลึกๆเราต้องเสียใจมากแน่ๆ ถึงแม้จะไม่แสดงออกมาก็ตาม
และแล้วก็เริ่มต้น
1. จองตั๋วเครื่องบิน แม่ให้จองให้ บินแอร์เอเชียขาไปอย่างเดียวเพราะไม่รู้ชะตากรรม วันที่ 8 ตุ.ค. 2558 จองล่วงหน้าประมาณ 2อาทิตย์ ราคาก็ตกคนละพันกว่าๆ
2. ที่พัก สถานที่ที่ต้องไป drop CV / interview คือ ที่ Holiday Inn Hotel คือมันอยู่นอกเมืองค่ะ ฝั่งโซนติดทะเล เราเสิรชหาที่พักแบบง่ายๆเลยจาก app Airbnb (ใครไม่รู้จักแอพ นี้ลองศึกษาได้ เราจะเห็นรีวิวจริง แล้วได้ไปนอนบ้านคนหรือคอนโดประมาณนี้ ติดต่อกับโฮสท์เจ้าของที่พักโดยตรง) เราส่งข้อความถามโฮสท์บ้านนี้ที่อยู่บริเวณพื้นที่ที่เรียกว่า Batu Ferringhi ถามเค้าว่าจากบ้านพักไปโรงแรมไกลไหม ระยะการเดินเท่าไร แล้วขึ้นรถหรือรถเมล์ได้ไหม แล้วก็ถามว่าจากสนามบินไปบ้านเขาอย่างไร โฮสท์น่ารักมากตอบกลับรวดเร็ว สรุปว่าโอเคเลย ไม่ไกลมาก เดินไปโรงแรมประมาณ 10 นาทีภาษาฝรั่งแปลว่า15-20ของคนไทย 55555 แล้วโฮสท์ก็แนะนำให้เราโหลด app My Teksi ซึ่งก็คือ grab taxi ของบ้านเราแต่เป็นฉบับมาเลเซียนี่เอง
(รูปนางฟ้าทั้งสี่เอามาจากgoogleไม่รู้ใครวาด)
และแล้ววันที่ 8 บ่ายๆก็ไปดอนเมืองพร้อมบินกับแม่ ตอนที่ไปก็เจอคนที่จะไปวอคอินเหมือนกันล่ะ แต่เราก็ไม่มีโอกาสได้คุย เพราะพวกเขาไปกันเป็นกลุ่มๆ เราไปกับแม่สองคน ไปถึงปีนังออกมาจากสนามบินก็ค่ำประมาณ 6 โมงกว่า ซื้อซิมการ์ดในสนามบิน ตอนแรก จะงกไม่ซื้อ แต่คิดแล้ว (..ชั่งมัน) คิดว่าเราต้องใช้ ถามหาซิมที่ถูกสุด ราคาประมาณ 28 ริงกิต พนง.น่ารักเอามือถือไปติดตั้งให้เรียบร้อย เราก็โหลดแอพเรียกแท็กซี่มาแล้วสมัครด้วยเบอร์โทรเบอร์ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเนี่ยล่ะ กินข้าวที่แอร์พอร์ตระหว่างนั่งรอหน้าโทรมๆมันๆ ซักพักแท็กซี่ก็มา แต่เค้าให้เราออกไปรอตรงป้ายรถเมล์ เพราะตามกฎแล้วแท็กซี่พวกนี้เข้ามาในหน้าประตูแอร์พอร์ตไม่ได้ นอกจากเราจะใช้แท็กซี่แอร์พอร์ตซึ่งแพงอ่ะ (ไม่เอา งก) ที่จริงโฮสท์บอกว่ามาแล้วว่าสามารถนั่งรถเมล์ไปได้ แต่เราคะเนแล้วว่าไกลมาก ใช้เวลานาน และต้องไปลากกระเป๋าหาบ้าน (ในหมู่บ้าน)เอง แม่เองก็บอกว่า จ่ายค่าแท็กซี่ไปเถอะ จะได้ไปพักผ่อนเตรียมตัว
ใช้เวลาจากแอร์พอตไปบ้านที่พักประมาณ 40 นาที คือมันไกลมาก เพราะถนนบ้านเค้าโล่งมาก ราคาน่าคบ ประมาณ 70 ริงกิต (คูณ 9 เป็นเงินไทย) ไปถึงที่พักประมาณสามทุ่มอาบน้ำเตรียมตัว เอาแฟ้มCV มาตั้ง เตรียมชุด รองเท้าดำขัดให้เงา เตรียมทุกอย่างให้พร้อมเช้ามาจะได้ไม่วุ่นวาย นั่งทำสมาธิและเข้านอน (เชื่อว่าสมาธิและสติสำคัญสุด) บอกเลยว่านอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ตื่นมาตี5 แม่ตื่นก่อนอีกค่ะ
แต่งหน้าเองตามแบบที่พี่สาวแนะว่าถ้าสายแขกเค้าชอบแน่นๆ คมๆ เราก็อ่ะ แน่นที่ตาเลย แปะขนตา (ซึ่งต้องแต่งให้ดูเนี๊ยบนะเพราะกฎจริงๆห้ามมีขนตาปลอม แล้วอีกอย่างคอนเทคเลนส์สีๆ บิ๊กอายนี่อย่าใส่เลยนะคะ) อยากให้ตาแน่นกว่าเดิมก็แปะสติกเกอร์เพิ่มชั้นตา บล็อกตาแน่นเลยปากแดงลิปของ sephora น่าจะประมาณ450บาทนะ คือยี่ห้อสีแดงเอมิเรตส์จริงๆ ใช้ดี ทนนานเลยค่ะแต่ค่อนข้างแห้ง ต้องทาลิปมันก่อนนะ ถ้าให้สวยงามแน่นหนากว่าเดิมก็ทาลิปสติกของMACสีแดงเป็นพื้นก่อน เราใช้ Satin steam heat แต่บางทีก็ All fired up มีเพื่อนใช้ red russian ก็ดีเหมือนกันค่ะ (ข้ามมาเรื่องลิป ตอนนี้เราเปลี่ยนมาใช้อีกยี่ห้อ ทาง่ายกว่าติดนานกว่า สีคล้ายกัน เป็นของ stila หาซื้อได้ที่ sephoraเช่นกัน ราคา 800กว่าๆ จำไม่ได้)
โดยส่วนตัว เราชอบปากอิ่มๆอวบๆ (แต่ปากเราไม่อวบ 555) เรามีตัวดูดปากสั่งจากอเมริกา ชอบใช้มากคือดูดแล้วอิ่มดี ดูรีวิวของพวกฝรั่งได้ ใครสนใจลองหาดูได้นะคะแต่ถ้าดูดนานไปมีโอกาสปากบวมได้ 5555 อันนี้ความชอบส่วนตัวล้วนๆ เพราะคิดว่ามันทำให้น่าเราเด่นขึ้น https://www.youtube.com/watch?v=CbsjGB5q8ww
ต่อมาเรื่องหูและผม หูเราค่อนข้างใหญ่และกาง เราเลือกตุ้มหูกลมๆแบบsizeกลาง เพื่อให้ดูเหมาะสมกับหูของเรา ผม จัดมวยสูงค่ะ คิดว่ามันสวยกว่ามวยต่ำ (แล้วแต่รูปหน้านะคะ) โดนัท ( หมายถึงม้วนใยสังเคราะห์กลมที่ทำเหมือนโดนัท เอาไว้ใช้ทำมวยผม) ก็เลือกsizeใหญ่มา เพราะมันดูเด่นสวยกว่าอันเล็ก ด้วยความที่หูเราใหญ่ก็ต้องจัดให้สมดุล ถุงน่องเลือกแบบซัพพอร์ต มันแน่นและบางดี เล็บมือเล็บเท้าสีแดงเป๊ะเพราะทาแบบเจลมาจากร้านที่ไทย (แบบเจลอาจแพงกว่าทาเล็บธรรมดา ซึ่งหลุด ลอกง่ายกว่า และ เราซ่อมสีเล็บไม่เป็น ต้องยอมจ่ายเงินส่วนนี้ค่ะ )
คือเรื่องยิบย่อยพวกนี้มันมีผลต่อเราค่ะ พี่และแม่เราคอยเตือนและบอกเสมอว่ากรรมการให้ความสำคัญเรื่องการแต่งกาย ผม เล็บ มาก แสดงถึงความปราณีตของตัวเอง วันแรกนี้ First impression มาก่อนเลย กรูมมิ่งเราต้องแน่น ต้องดี
ให้คิดเสียว่าเรา Represent Emirates ตั้งแต่เหยียบโรงแรม
ทำยังไงให้กรรมการประทับใจ เรามีเวลาแค่ไม่กี่วินาทีในการนำเสนอตัวเอง กรรมการมืออาชีพเหล่านี้ตาเหยี่ยวมากค่ะ เขามองแวบเดียวก็จะเห็น เขาเช็ครายละเอียดได้หมดหรือเกือบหมดเลยทีเดียว
#ตอนนี้จะครบ 10,000 คำแล้ว เดี๋ยวมาต่อนะคะ