[Spoil] วิจารณ์และวิเคราะห์ Point Break 2015 vs Point Break 1991 แล้วคุณล่ะ คิดยังไง

เหตุผลหลัก(ส่วนตัว)ในการไปดู Point Break 2015 มีแค่ 2 ข้อ
1 จะไปดูพวกฉาก extreme มันส์ๆ กะวิวทิวทัศน์สวยๆ
2 จะไปจิ้นคู่พระนาง เอ๊ย ไม่ใช่ๆ พระเอก กะ ผู้ร้าย ต่างหาก

หลังดูจบ แล้วจะวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ พบเลยว่า ปัญหาหลักของการที่ผู้กำกับภาพหันมาเป็นผู้กำกับซะเองคือ เขาจะมัวแต่วุ่นวายกับการจะทำให้ภาพในหนังออกมาสวยที่สุด แล้วลืมให้ความสำคัญกับมิติตัวละคร บทภาพยนตร์ และการเดินเรื่อง เพราะในเวอร์ชั่น reboot ปี 2015 สอบตกหมดทุกวิชา ยกเว้น งานภาพ ที่สวยมากจนได้คะแนนเต็มเฉพาะวิชานี้ค่ะ

เรื่องนี้ตอนแรกโดยรวมให้ C+ ค่ะ แต่พอตัดความลำเอียงเรื่องชอบงานภาพสวยมากออกไป ก็ให้แค่ C ธรรมดาพอละกันค่ะ เพราะจะให้ภาพสวยเพียงอย่างเดียวมาทดแทนจุดด้อยมากมายย่อมทำไม่ได้

แล้วพอเรื่องนี้มีเรื่องให้เล่นกับงานภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทะเล น้ำตก ซอกเขา แม่น้ำ ท้องฟ้า หน้าผา ภูเขา ป่าไม้ ภูเขาหิมะ ผู้กำกับยิ่งอดใจไม่ได้ไปกันใหญ่กับการวุ่นอยู่กับความพยายามในการเน้นจับภาพที่สวยที่สุด เฟ้นหาช็อตที่ถ่ายยากที่สุด

ดังนั้น ผลลัพธ์ที่ได้จึงเหมือนนั่งดูสารคดีธรรมชาติ National Geographic สลับกับ สารคดีกีฬาเอ็กซตรีม (แต่ไม่รู้สึกเสียดายค่าตั๋วหรือเสียดายเวลานะ เพราะอย่างไรก็ตาม หนังก็พาคนดูไปเที่ยวหลายประเทศมาก แล้วย้ำว่าภาพธรรมชาติในเรื่องสวยมากจริงๆ และฉากเอ็กซตรีมแต่ละฉากก็เจ๋งมากกกกกกกกกกก) เอาเป็นว่า เวอร์ชั่นนี้ งานภาพและฉากเอ็กซตรีมเป็นเพียงสองจุดขายเดียวเท่านั้นของหนัง อย่างที่ประกาศชัดเจนมาตั้งแต่ trailer หนังที่ปล่อยออกมาแล้วค่ะ

เอาเป็นว่า ถ้าอยากแค่ไปดูฉากวิวทิวทัศน์สวยๆหรือ/และฉากเอ็กซตรีมสนุกๆ เรื่องนี้ก็ไม่น่าพลาด ย้ำว่าฉากกีฬาเอ็กซตรีมนะคะ ไม่ใช่ฉากแอ็คชั่น เพราะเรื่องนี้แทบไม่มีฉากแอ็คชั่นไล่ล่า มีฉากยิงกันฉากเดียวตอนใกล้จบ แล้วก็ยิงกันแบบสาดกระสุนใส่กันแค่นั้น ไม่ได้มีการออกแบบฉากให้ซับซ้อนอะไร เน้นแค่จำนวนกระสุนที่ถูกรัวออกมากับเสียงยิงกันดังลั่นสนั่นโรงระหว่างฝ่ายตำรวจกับผู้ร้าย

พล็อตเรื่องคร่าวๆแบบสั้นสุดๆนะ ก็คือว่า พระเอกเป็น FBI แฝงตัวไปในกลุ่มโจรเพื่อจะจับกุม แต่ดันเกิดความผูกพันฉันเพื่อนกันขึ้น เลยเกิดอารมณ์แบบฉันทำร้ายเธอไม่ลง อะไรประมาณนี้ (แอบยิ้มกริ่มเล็กน้อย 555)

ไม่ค่อยได้ศึกษาข้อมูลภาคใหม่ก่อนไปดูมากนัก แต่หลังจากดูจบเลยเพิ่งรู้ว่า อ่อ หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนัง remake นะคะ แต่เป็นการ reboot เพราะ “ไส้ใน” ของตัวหนังไม่เหมือนเวอร์ชั่นเก่าเลย (รู้ช้ากว่าชาวบ้าน!!!)

บทภาพยนตร์พยายามจะทำให้หนังดูมี “อะไร”มากกว่าต้นฉบับปี 1991 แต่ความพยายามของหนังทำได้ไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะบทภาพยนตร์ที่เขียนได้ไม่สนุกและการเดินเรื่องที่อืดอาด จึงกลายเป็นความพยายามที่ดูมากไปจนน่ารำคาญ และที่สำคัญ ดูไม่น่าเชื่อถือ หนังเลยไปได้ไม่สุด

โดยในเวอร์ชั่นนี้ กลุ่มโจรเปลี่ยนจากกลุ่มนักเซิร์ฟ ไปเป็นกลุ่มนักกีฬาเอ็กซตรีม คงเป็นเหตุผลเพื่อให้เอื้อต่อการมีฉากผาดโผนกันในภูมิทัศน์แบบสุดโต่งได้เยอะๆ สมใจผู้กำกับที่ใจวุ่นอยู่กับเรื่องการขายงานภาพอย่างเดียว

แล้วยังมีการเพิ่มอุดมการณ์ให้กลุ่มโจรเป็นการให้ทำไปเพื่อแสดงความเคารพต่อธรรมชาติ เป็นการ Give Back ให้แก่ธรรมชาติ หนังพยายามไปลากเรื่อง Osaki 8 มาอภิปรายขยายความกันให้ดูมี “อะไร” ให้ “มีเนื้อมีหนัง” ในตัวบทตัวเรื่อง

แต่เนื่องด้วยพฤติกรรมตัวละครกลุ่มโจรที่ดูขัดแย้งกับอุดมการณ์ตัวเอง เลยพาหนังเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่ ทำให้พอคนดูคิดตามอุดมการณ์ของพวกเขาแล้วดูการกระทำของพวกเขา เหตุผลในการกระทำของพวกเขามันก็เลยดูขาดๆเกินๆ อีหลักอีเหลื่อ ไม่หนักแน่น ขัดหูขัดตาไปเสียหมด กลายเป็นกลุ่มโจรแนว “ไม่ทราบว่าต้องการอะไรจากสังคมค่ะ” ไปซะงั้น

ซึ่งตรงจุดนี้ ถ้าเป็นเวอร์ชั่นปี 1991 โจรก็มีอุดมการณ์เหมือนกันนะ แต่อุดมการณ์อันนั้นจะเข้าใจง่ายกว่ากันเยอะ คือพวกเขาต้องการแสดงความกบฏต่อกฎหมาย แสดงพฤติกรรมต่อต้านระบบของบ้านเมือง แล้วพฤติกรรมของโจรปี 1991 ก็น่าเชื่อถือว่า พวกเขาทำตามอุดมการณ์ที่พวกเขาเชื่อจริงๆ เพราะพวกเขาสร้างความวุ่นวายเดือดร้อนด้วยจุดประสงค์ว่าต้องการจะสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายน่ะซิ!!! ตรงไปตรงมาชัดเจนดีค่ะ!!!

.....ต่างจากโจรปี 2015 ที่พฤติกรรมพาคนดูงง คือก็เหมือนพวกเขาจะทำตามอุดมการณ์รักษ์โลกอยู่นะ แต่พฤติกรรมส่วนที่พาชาวบ้านเดือดร้อนมันดูไม่สอดคล้องกับหัวใจสีเขียวของเหล่าโจร คนดูเลยจะอารมณ์แบบรำคาญพวกเมิง พวกเมิงจะเอายังไงกันแน่เนี่ย

อีกทั้งความผูกพันของคู่พระนาง ไม่ใช่ซิ ความผูกพันของพระเอกกะตัวร้าย มันไม่น่าเชื่อถือแบบเวอร์ชั่นเก่า เพราะในเวอร์ชั่นโลกสีเขียวของปีนี้ แม้จะมีข้อเท็จจริงว่า Bodhi (ตัวร้าย นักแสดงคนนี้มีส่วนคล้าย Gerrard Butler นะ คงเพราะหนวดเครา แต่ไม่ใช่นะ เขาคือ Édgar Ramírez) ช่วยชีวิต Utah (พระเอก Luke Bracey นักแสดงที่ถ้าหลับตาแล้วฟังแค่เสียง คุณจะนึกว่า Chris Hemsworth จาก Thor มาแสดงเรื่องนี้ เพราะเสียงคล้ายกันมากกกกกก) ตอนที่ Utah กำลังจะโดนคลื่นกลืนจมน้ำไป (ดีไม่ผายปอดด้วย อิอิ)

แต่ปัญหาคือ ถ้าไม่นับเรื่องคุณโจรสีเขียวช่วยชีวิตพระเอกของเราตอนเจอกันครั้งแรก ตัวละครสองตัวนี้ในเรื่องนี้คือดูแบบนั่งมองหน้ากันไปมาแบบมึนๆ แล้วก็คุยกันบ้างประปราย จนพอเรื่องเดินมาถึงจุด breaking point แล้วฉากคลาสสิคของโลกเซลลูลอยด์ถูกโยนเข้ามา (ฉาก Utah ทำใจยิง Bodhi ไม่ได้ แล้วเขาเลยรัวยิงปืนขึ้นฟ้าแทน) คนดูเลยอารมณ์แบบเมิงไปสนิทผูกพันฉันท์ผัวเมียกันตอนไหน (เอาอีกแล้วๆ ฉันท์พี่น้องค่ะๆ)

สำหรับตัวละครที่ชื่อ แซมซาร่า ตัวละครหญิงหนึ่งเดียวในเรื่อง บทภาพยนตร์ใส่เข้ามาเพื่อสามเหตุผล คือ เพื่อให้มีตัวละครผู้หญิงในเรื่อง เพื่อให้เอาใจคนดูผู้ชาย และเพื่อให้มาได้กับพระเอก จบค่ะ

ในเรื่องมิติตัวละคร Point Break เวอร์ชั่นรักษ์โลก พยายามทำให้ Utah และ Bodhi มีปมดราม่าในชีวิต มีอดีตที่เจ็บปวด บลาๆๆ โดยของพระเอกคือการเสียเพื่อนรักโดยโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง และของโจรหน้าหนวดคือสูญเสียบุคคลที่ตนเคารพไปเลยต้องการสานต่ออุดมการณ์ของเค้าให้ แม้จุดหมายปลายทางจะไม่เหมือนกัน โดย Osaki คือการบรรลุนิพพาน แต่ Bodhi คือ การ Give Back ให้โลก การใส่เรื่องแบบนี้เข้ามา เจตนาก็เพื่อทำให้ตัวละครดูมีอะไร (ความพยายามเดียวกับที่ใส่อุดมการณ์เคารพธรรมชาติ มาเพื่อให้หนังดูมีอะไร)

แต่เวอร์ชั่นเก่า ตัวละครจะไม่มีปมอดีตอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแบบนี้ คือฉบับ 1991 จะเน้นเนื้อเรื่องตรงหน้ามากกว่าอดีตข้างหลัง ขณะที่ฉบับสีเขียว จะสลับกัน มั่นใจว่าเป็นเจตนาของผู้สร้างเพื่อสร้างความแตกต่างแปลกใหม่ สร้างจุดยืนให้เวอร์ชั่นใหม่ของตัวเอง อันนี้ก็ไม่ว่ากันเพราะเป็นเวอร์ชั่น reboot นี่นา การเปลี่ยนธีมเรื่องก็นับว่าดีแล้ว จะได้สดใหม่ไง

ทว่า ปัญหาคือฉบับใหม่ทำได้ไม่สนุกน่ะซิ ผลลัพธ์ที่ได้จึงกลายเป็นแค่ว่า ตัวละครหลักเอาแต่ทำหน้าเครียดหน้าบูดหน้าบึ้งกันทั้งเรื่อง เหมือนกลัวคนดูไม่รู้ว่า กรูคนมีปมนะเว้ยเห้ย แต่บทดันไม่ส่ง และการเดินเรื่องที่อืดอาด เรื่อยๆมาเรียงๆ จ้องแต่จะขายฉากเอ็กซตรีม(ถ้าเป็นหนังสารคดีจะไม่ว่าเลย แต่นี้มันหนังแนว Action แนว Crime แนว Sport ไง มันควรให้สมดุลกันหมดทุกส่วนนะ ไม่ใช่เน้นแต่ส่วนแนว Sport อย่างเดียว ส่วนอื่นหายจ้อยเลย)และขายงานภาพ(ย้ำอีกครั้ง นี้ไม่ใช่ National Geographic นะ แบ่งไปถ่ายภาพตอนตำรวจทำงานกันหรือตอนฉากปล้นแบ็งค์ให้มากกว่านี้ก็ได้นะ) ทำให้พฤติกรรมหน้าบึ้งๆของตัวละครเลยดูน่ารำคาญมากกว่าน่าเห็นใจ

เอาเป็นว่า ความพยายามเพิ่มมิติตัวละครนับเป็นความน่าชื่นชม แต่ตรงๆนะ ถ้าทำได้ไม่ดีก็อย่าทำเลย มันจะออกมาดูน่ารำคาญแทน เอาเวลาไปเพิ่มความมันส์ในการไล่ล่าจับกุมดีกว่า

ส่วนนึงที่ไม่ชอบในบทคือ เขียนบทซะจนพวกตำรวจในเรื่องนี้ดูไม่สำคัญนะ เหมือนมานั่งโง่ๆ ดูไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะ โผล่มาแค่บ่นโน่นนี้ แล้วก็ไป คือแบบเหมือนปล่อยให้ Utah หนุ่มน้อยว่าที่ FBI รับมือกลุ่มโจรแก๊งนี้อยู่คนเดียว นี่มันอะไรกัน นี้อาชญากรรมข้ามทวีปนะคะคุณ!!!

ความสัมพันธ์ระหว่าง Utah กับเจ้าหน้าที่ Pappas มีไม่มากนัก ต่างจากเวอร์ชั่น 1991 ที่ทั้งคู่ทำงานด้วยกันตลอด ประสานงานกันตลอด จึงผูกพันกันและสนิทกัน เรื่องความสัมพันธ์สองคนนี้ที่ไม่เน้นน่ะ คือรับได้นะ เพราะเป็น reboot ไง ไม่จำเป็นต้องทำตามต้นฉบับก็ได้ อันนี้รับได้อยู่ แต่การทำงานด้วยกันของทั้งคู่ก็ควรต้องมีมากกว่านี้อยู่ดี ในเรื่องนี้เหมือนพระเอกทำงานอยู่คนเดียว ส่วน Pappas แค่คอยโผล่หน้ามาบ่นๆ โวยวายเหมือนคนเมาบ้างเป็นครั้งคราว ดูเป็นตัวละครที่ไม่มีประโยชน์อะไรและเกะกะไปซะงั้น บทควรให้เค้าสองคนช่วยกันทำงานมากกว่านี้นะ คือนี้อย่าลืมว่า พวกเธอกำลังตามจับโจรปล้นข้ามทวีปกันอยู่นะ แล้วหนังจะได้ออกมาสมจริงสมจังมากกว่าที่เป็นอยู่

เอาเป็นว่า ถ้าจะละไว้ในฐานที่เข้าใจตรงกันว่า พวกตำรวจเองก็คงทำงานกันอยู่เหมือนกันแหละ ไม่ใช่พระเอกทำอยู่คนเดียว แต่ก็ควรเขียนบทให้เห็นบ้าง ไม่ใช่ละไว้ในฐานที่เข้าใจแบบนี้ เพราะมันจะทำให้หนังดูขาดความน่าเชื่อถือไปมากโขเลยทีเดียวอยู่ดี

ในส่วนฉากจบที่ยึดตามต้นฉบับอยู่ เข้าใจว่า อันนี้ต่อให้เป็นฉบับ reboot ก็คงเปลี่ยนไม่ได้อ่ะนะ เพราะงั้นมันจะไม่ใช่ Point Break น่ะซิ ซึ่งก็คือฉาก Utah ยอมปล่อย Bodhi ไปทำตามความฝันความตั้งใจในการได้โต้คลื่นยักษ์ที่รอมานาน และโดนคลื่นกลืนไป (เป็นฉากที่สื่อว่า Bodhi ตายในที่สุด) แต่มันไม่กินใจเท่าต้นฉบับ แค่ภาพคลื่นสวยกว่าอย่างเดียว (และสาเหตุก็เพราะเวอร์ชั่นเก่าไม่มีเจตนาขายงานภาพอยู่แล้ว เวอร์ชั่นสีเขียวปีนี้จึงย่อมจับภาพออกมาได้สวยกว่าเป็นธรรมดา)

แล้วหนังยังมีฉากที่คนดูหนังบ่อยๆคงเดาได้ง่ายๆ อย่างเช่นฉากที่พระเอกวิ่งไล่ผู้ร้ายในชุดดำไปเพราะคิดว่าคือ Bodhi แต่จริงๆแล้วเป็น ... ต่างหาก หรืออย่างฉากปีนเขามือเปล่าที่พอหนึ่งในกลุ่มโจรไม่สามารถไปต่อได้เลยตัดสินใจปล่อยมือ ทั้งสองฉาก มั่นใจว่าคอหนังมองปราดเดียวก็รู้ว่าหนังพยายามจะเซอร์ไพรซ์อะไรคนดูหรือจะเกิดอะไรต่อไป

แล้วส่วนการเซอร์ไพรซ์เฉลยคนดูว่า Bodhi รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า Utah เป็นตำรวจ (แต่เวอร์ชั่นเก่า จะไม่รู้ตั้งแต่แรกนะ) ก็ทำได้แค่สร้างอารมณ์แบบ “อ๋อเหรอ” ให้กับคนดู เพราะบทหนังน่าเบื่อมาตลอดทั้งเรื่องแล้ว การมาเซอร์ไพรซ์ในเรื่องนี้เลยมาเพิ่มเติมความน่าสนใจและความประหลาดใจให้คนดูไม่ทันเสียแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่