ทริป พังงา- อุบล-จำปาสัก (สปป.ลาว) 15-19 ตุลาคม 2558 วันที่ 2 ตอนที่ 2

หลังจากพี่พิมพ์ขับรถเข้าสู่ถนนลูกรังและได้เข้าไปจอด ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่แวดล้อมไปด้วยป่า ต้นไม้ต้นสูงๆ ใหญ่โต มีร้านขายของที่ระลึกจำพวก ผ้าซิ่นลาว เสื้อผ้า (ได้แต่บ่นกับตัวเองว่า ของจำพวกนี้ไม่ใช่รสนิยมของเรา สาวใต้อย่างเราหลงใหลในผ้าปาเต๊ะมากกว่า) เหลือบหันไปเห็นป้าย จะอ่านได้ว่า “ตาดเยือง” (เก่งเหมือนกันนะเรา ไม่ถึงวันเริ่มอ่านภาษาลาวได้แล้ว)  ใช่แล้วค่ะ สถานที่แห่งนี้เป็นน้ำตกชื่อว่าตาดเยือง พี่พิมพ์ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนสถานภาพจากเจ้าของรถเช่า ทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็น แนะนำเราว่า สถานที่นี้ชื่อว่า ตาดเยือง เราจะต้องเดินลงไปดูด้านล่าง หลังจากเสียค่าเข้าชมคนละ 10,000 กีบ (เป็นราคาสำหรับนักท่องเที่ยว คิดเป็นเงินไทยประมาณ 40 บาท หากเป็นชาวลาว จะเสียค่าเข้าชม 5,000 กีบ) เราก็เดินมุ่งไปตามเสียน้ำไหลทันที สถานที่แรกที่เราเข้าไปเป็นธารน้ำ ที่ไหลผ่านพูสะหวันรีสอร์ท ธารน้ำที่นี้มีน้ำใส ไหลเย็นเห็นตัวปลา มีนักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อนที่นี่ ถัดจากพูสะหวันรีสอร์ท ก็จะเป็นตาดเยือง “ตาดเยือง” เป็นน้ำตกที่สวยงามมากแห่งหนึ่งในแขวงจำปาสัก สายน้ำที่ไหลลงมาจากหน้าผา ทำให้สายน้ำแตกกระเซ็นเป็นละอองที่สวยงาม และยังมีจุดชมวิวสำหรับถ่ายรูปสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี จะชักช้าอยู่ใย เรารีบไต่บันไดลงไปยืนที่บริเวณจุดชมวิวน้ำตกด้านล่างทันที เราได้สัมผัสกับสายลมพร้อมละอองน้ำที่ปลิวมาด้านล่างอย่างเย็นสบาย ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะอยู่ ณ จุดนี้ให้นานที่สุด เพื่อดูดดื่มความสวยงามที่สรรค์สร้างโดยธรรมชาติ ณ จุดนี้เราได้พบนักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคน

หลังจากที่เราได้ดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติจนจุใจ เราก็ค่อยๆพาตัวเองไต่ราวบันได ขึ้นมาจากน้ำตก เหนื่อยเอาการ ก่อนจะกลับขึ้นรถ เราก็เดินสวนทางกับกลุ่มนักเรียนสาวๆ ไอ้เราก็ปากดีเอาการ เลยเข้าไปทักทายน้องๆกลุ่มนั้น ถามด้วยความอยากรู้ว่าทำไมนักเรียนถึงไม่อยู่ที่โรงเรียน (วิญญาณครูเข้าสิงแน่ๆ) ได้ความว่าน้องๆกลุ่มนี้เรียนอยู่ชั้น ม. 7 และตอนนี้ก็ว่างเนื่องจากไม่มีการเล่าเรียน เป็นช่วงให้นักเรียนทำกิจกรรม (โล่งอกไป)

ขึ้นรถต่อไปเพื่อเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวแห่งที่สอง พี่พิมพ์ก็ทำหน้าที่เป็นอย่างดี ช่วยอธิบาย ช่วยตอบข้อสงสัยของพวกเราเป็นอย่างดี ก็เราชอบที่จะซักถามโน้นนี่ด้วยความอยากรู้ ก่อนจะถึงแหล่งท่องเที่ยวที่ชื่อว่า “ตาดฟาน” ตอนนี้เราก็เกิดความกระจ่างว่า ตาด หรือ น้ำตกในลาว อยู่ในความดูแลของเอกชนที่เข้าไปขอสัมปทานจากรัฐบาล ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราที่น้ำตกจะอยู่ในคามดูแลของอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้
    ตอนนี้รถของเราก็มาถึงแหล่งท่องเที่ยวที่เรียกว่า ตาด เป็นแห่งที่สอง “ตาดฟาน” เราต้องเสียค่าเข้าชมอีกคนละ 40 บาท เมื่อเดินเข้าไปภายใน เราทั้งหมดก็ตะลึงในความสวยงามของน้ำตกแห่งนี้ ตาดฟาน เป็นน้ำตกที่ตกจากหน้าผาที่มีความสูงประมาณ 200 เมตร ไม่สามารถเล่นน้ำได้ เป็นน้ำตกที่ไหลออกมาจากเขตป่าอนุรักษ์ดงหัวสาว แยกเป็น 2 สาย ไหลลงไปในหุบเหวที่มองแทบไม่เห็นพื้น ความแรงและความสูงของน้ำตก ทำให้เกิดละอองขาวนวลคล้ายเมฆหมอกสวยงาม เราทำได้แค่มองจากจุดชมวิวที่อยู่บนเขาคนละลูกกับน้ำตก ชื่นชมความงามที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรได้ดั่งที่ใจปรารถนา

จากนั้นเราก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังตาด แห่งที่ 3 ซึ่งเราต้องเดินทางย้อนกลับสู่เส้นทางเดิมที่จะกลับไปสู่ปากเซ ระหว่างทางพี่พิมพ์ก็พาพวกเราแวะชมไร่ชาองลอง “องลอง” เป็นชื่อของเจ้าของไร่ชา ซึ่งเป็นชาวเขมร ที่ได้มาตั้งรกรากและมีภรรยาเป็นชาวลาว ทำมาหากินโดยการปลูกไร่ชา และยังมีพืชพันธุ์ไม้ต่างๆ ให้ชมอีกมาก บรรยากาศในไร่ชาเย็นสบาย ระหว่างเดินชมไร่ชา เราสามารถทดลองเด็ดยอดอ่อนใบชา หลังจากที่ได้สนุกสนานกับกิจกรรมเด็ดใบชา เราก็มานั่งพักภายในบ้านของคุณตาองลอง ซึ่งมีอุปกรณ์คั่วใบชา เราสามารถชิมชาอร่อยๆ รสชาติดีและหอมมากๆ เลยต้องซื้อกลับไปชิมต่อที่เมืองไทยสักหน่อย

เราเดินทางออกจากเมืองปากซอง จนถึงทางแยกที่เราจอดซื้อบัตรเติมเงิน ในตอนขามา พี่พิมพ์พาเราเลี้ยวขวา มุ่งหน้าสู่เมืองบาเจียง  สองข้างทางก็มีบ้านเรือนทั่วไป ลักษณะคล้ายเป็นชนบท เราผ่านหมู่บ้านชาวเขา แต่ไม่มีเวลาที่จะได้ไปแวะชม เพราะจุดหมายปลายทางของเรา คือ “ตาดผาส้วม” ซึ่งเป็นน้ำตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของแขวงจำปาสัก เป็นน้ำตกที่ไหลลงมาจากที่สูง โดยตัวน้ำตกมีลักษณะโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม
    น้ำตกแห่งนี้ มีน้ำไหลตลอดทั้งปี และมีธรรมชาติ ป่าไม้ ให้ร่มเงา นำมาซึ่งความชุ่มชื่น และร่มเย็น ทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสไอน้ำอันเย็นช่ำ พร้อมชมความงามของน้ำตก ท่ามกลางแท่งหินยักษ์ เหมือนกับถูกนำมาเรียงราย ตกแต่งไว้ ดูยิ่งใหญ่อลังการ

เหลือบดูนาฬิกา ตอนนี้ก็ปาไปเกือบบ่ายสามแล้ว ว่าทำไมถึงแสบท้อง วันนี้เราท่องเที่ยวจนเพลิน จนลืมทานอาหารกลางวัน ที่ตาดผาส้วมมีร้านอาหารไว้บริการ บรรยากาศของร้านอาหารก็แวดล้อมไปด้วยแมกไม้ ฟังเสียงน้ำตกที่ไหลผ่านแก่งหินยักษ์ อาหารมื้อนี้ น่าจะเป็นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุด เมนูมื้อนี้ มี ส้มตำ(ปลาร้า) ปลาเผา ลาบหมู (ที่นี่ลาบหมูจะออกเป็นสีดำๆ เพราะใช้ข้าวเหนียวมาทำเป็นข้าวคั่ว) ข้าวผัด ไข่เจียว สำหรับน้องไนท์ และข้าวเหนียว (กระติบใหญ่จริงๆ) อาหารที่นี้อร่อยมากจริงๆ ผักที่ใช้ในการปรุงอาหาร เป็นผักที่ทางรีสอร์ทปลูกขึ้นมาเอง มั่นใจได้เลยว่าเราได้รับประทานอาหารที่ปลอดจากสารพิษ และที่สำคัญ ที่นี่ไม่ใช่ผงชูรส พนักงานของร้านมาแนะนำของหวาน ขึ้นชื่อสำหรับที่นี่ ชื่อไม่น่ารับประทาน “หมาน้อย” อย่างนี้ต้องพิสูจน์ค่ะว่าหน้าตาของหมาน้อยจะเป็นอย่างไร เมื่อพนักงานนำของหวานมาเสิรฟ พวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตา ตั้งใจ พินิต พิเคราะห์ ของหวานชนิดนี้ ประดุจว่าเป็นของวิเศษ (555+++) ลักษณะของเจ้าหมาน้อยจะคล้ายๆกับเฉาก๊วย แต่แทนที่จะมีสีดำ กลับเป็นสีเขียว เวลาจะนำมารับประทาน จะนำมาผสมกับน้ำเชื่อมและน้ำกะทิ ใส่น้ำแข็งเล็กน้อย ก็จะได้เป็นวุ้นหมาน้อยที่รับประทานคลายร้อน ได้เป็นอย่างดี
    ทริปท่องเที่ยววันนี้ ทำเอาพวกเราเพลียสุดๆ พี่พิมพ์ก็พาเราเดินทางกลับสู่ปากเซ พาไปส่งยังที่พักที่ชื่อว่า “โรงแรมคำฟอง” เราก็อำลากับพี่พิมพ์ ด้วยความอาลัยอาวรณ์ ในน้ำใจ ในการบริการเราเป็นอย่างดี

โรงแรมคำฟอง เป็นโรงแรมที่มีบรรยากาศสบายๆ เงียบๆ เนื่องจากไม่ได้อยู่ในใจกลางเมือง ราคาก็ไม่แพงประมาณ 600-700 บาท ได้ที่พักเราก็เข้าไปล้างหน้าล้างตา แล้วทุกคนก็มานั่งพักผ่อนบริเวณห้องโถงของโรงแรม (แบบไม่ได้นัดหมาย) เพื่อ........ใช่ค่ะ แต่ละคนมาอัฟรูปลงใน FB หรือติดต่อกับคนไกลที่อยู่ในเมืองไทย ผ่านโปรแกรมไลน์หรือแชท เนื่องจากบริเวณนี้มี wifi และแรงมาก (ก็ลาวใช้ระบบ 3 G มานานแล้ว) นอกจากนี้พวกเราต่างมาร่วมชื่นชมความงามของตัวเองกับธรรมชาติ 3 ตาดที่เราได้ไปเยี่ยมเยือนมาในวันนี้ (รูปถ่ายเราเยอะมาก)
    ได้เวลาใกล้ 6 โมงเย็น เพื่อนชาวลาว หนุ่มใหญ่ ใจดี และที่สำคัญคือโสด (พี่แกบอกมาค่ะ) ชื่อว่า “อ้ายสมศักดิ์” ก็แวะมาดูแลเรา จะพาเราไปทานอาหารมื้อค่ำ ทุกคนรีบปฎิเสธในทันที เพราะเราอิ่มแปร้กับอาหารมื้อกลางวันที่ทานกันช่วงบ่าย  3 นี่เอง อ้ายสมศักดิ์ก็แสนดีจะพาพวกเราไปให้ได้ เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ เราก็ตกลงกันว่าขอเป็นอาหารแบบเบาๆ อ้ายสมศักดิ์ก็พาพวกเราไปชมวิวทิวทัศน์ในเมืองปากเซย่ามค่ำคืน ระหว่างทางผ่านเส้นทางเลียบลำน้ำโขง ซึ่งมีงาน มีการขายสินค้าตลอดเส้นทาง บรรยากาศเหมือนงานวัดบ้านเราในสมัยก่อน มีปาโปง สาวน้อยตกน้ำ และการจำหน่ายสินค้ามากมาย อ้ายสมศักดิ์บอกว่าเป็นเทศกาลช่วงจะออกพรรษา
    และในที่สุดอ้ายสมศักดิ์ก็พาเราไปยังโรงแรมปากเซ ขึ้นไปยังชั้นที่ 7 ซึ่งเป็นร้านอาหารและเป็นจุดชมวิวยามค่ำคืนของเมืองปากเซ แห่งนี้
ระหว่างที่ดื่มเครื่องดื่มตามความชอบของแต่ละคน เราก็พูดคุยถึงการเดินทางของเราในวันนี้ให้อ้ายสมศักดิ์ฟัง โต๊ะข้างๆ (ซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน) มาร่วมสนทนากับเราด้วย เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนเช่นกับเรา พี่ผู้หญิงเป็นคนไทย ส่วนผู้ชายเป็นชาวต่างประเทศ เราก็ไม่ได้ถามหรอกว่ามาจากประเทศไหน แต่พี่ผู้ชายเล่าให้ฟังว่า มาทำงานอยู่ที่เมืองไทยมานานแล้ว (มิน่าพูดไทยชัดเชียว) พี่เค้าทำงานแถวๆสมุทรปราการ เราก็พูดคุยถึงการเดินทางและแหล่งท่องเที่ยวในลาวใต้ ก่อนจะลาจากกันพี่ผู้หญิงบอกกับเราว่า เมื่อมาลาวใต้ ต้องไปที่คอนพะเพ็งให้ได้ แค่คำพูดนี้ พวกเราลงความเห็นว่า แน่นอนวันพรุ่งนี้เราจะเปลี่ยนแปลงการเดินทางจากปราสาทวัดกู่ เป็น “คอนพะเพ็ง” ให้ได้ ออกจากโรงแรมปากเซ อ้ายสมศักดิ์ก็พาเราไปนั่งทานขนมที่ร้านแห่งหนึ่ง สไตล์การตกแต่งร้านน่ารักมาก ออกแนวเกาหลี พนักงานก็แต่งตัวเหมือนวัยรุ่นเกาหลี แต่เว้าภาษาลาวจ้า เรานั่งตรงนี้เห็นขนมน่าทาน อดใจไม่ได้ ต้องลองชิมขนมเค้กไปคนละชิ้น ดึกพอสมควร อ้ายสมศักดิ์ก็พาเราไปส่งยังที่พัก โรงแรมคำฟอง เรามีนัดกับอ้ายสมศักดิ์ในวันรุ่งขึ้น เวลา 07.00 น. เพื่อไปเยี่ยมชมตลาดเช้าแห่งเมืองปากเซ ต้องรีบนอนแล้วล่ะค่ะ ราตรีสวัสดิ์
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่