[BERSERK] บทวิเคราะห์ภาคลอสชิลเดรน



ช่วงนี้แฟนเบอร์เซิร์กคงรู้สึกยินดีเพราะผู้เขียนกลับมาเขียนต่อเนื่องได้หลายเดือนแล้ว ยิ่งในตอนล่าสุดกัทส์และพรรคพวกก็เดินทางถึงเกาะภูตพรายกันแล้วด้วย แต่วันนี้ผมไม่ได้มาพูดถึงเรื่องราวใหม่ๆ แต่ขอหยิบภาคเก่ามารำลึกความหลังกันแทน นั่นคือ ภาคแห่งการพิพากษา บทลอสชิลเดรน (Conviction Arc: Chapter of the Lost Children) นั่นเองครับ

ภาคแห่งการพิพากษา บทลอสชิลเดรน (ผมขอเรียกสั้นๆว่า ภาคลอสชิลเดรน เพื่อความกระชับนะครับ) เป็นเรื่องราวการเดินทางตามล่าสาวกของ กัทส์ หรือ นักรบดำ ช่วงหนึ่ง ในครั้งนี้เขาไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้กับหุบเขาสายหมอกที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนของพวกเอลฟ์และได้พบเด็กสาวชื่อ จิล และต่อสู้กับสาวกที่มีรูปร่างคล้ายเอลฟ์นามว่า โรซีน

หลายท่านคงชอบภาคนี้เพราะมันมีเนื้อหาที่ครบเครื่อง ทั้งการต่อสู้อันดุเดือดและฉากดราม่าที่ลงตัว รวมถึงปมของตัวละครหลักทั้งสองของภาคคือ จิล และ โรซีน ที่แฝงข้อคิดดีๆหลายอย่าง เนื่องจากเนื้อเรื่องภาคนี้ทุกท่านคงยังพอจำกันได้ ผมจึงขอไม่เล่า แต่จะเน้นวิเคราะห์นัยยะแฝงที่อยู่ในเนื้อเรื่องแทนนะครับ



พีคัฟคนนอกคอก

เนื้อหาของภาคนี้มีพูดถึงนิทานเรื่องหนึ่งคือ พีคัฟคนนอกคอก (พีคัฟตาแดง) ซึ่งเป็นนิทานที่มีอิทธิพลต่อความคิดของโรซีนและนำเธอไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด เรามาลองพิจารณากันครับว่านิทานที่จบไม่สวยเรื่องนี้ต้องการสอนอะไร

กาลครั้งหนึ่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีเด็กชายหูยาวตาแดงชื่อว่า พีคัฟ อาศัยอยู่ ด้วยรูปร่างที่แปลกประหลาดทำให้เขาถูกเด็กคนอื่นๆในหมู่บ้านรังแกและล้อเลียนเป็นประจำ แม้เขามีพ่อแม่ที่ใจดีแต่เขากลับคิดว่า “ที่นี่ไม่ใช่บ้านข้า คนพวกนี้ไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของข้า” เพราะว่าพ่อแม่ของเขา รวมทั้งทุกคนในหมู่บ้านไม่มีใครที่มีหน้าตาเหมือนเขาเลย

วันหนึ่งพีคัฟหนีออกจากบ้านแล้วเข้าไปในป่าของพวกภูตซึ่งเป็นสถานที่ต้องห้าม ที่นั่นพีคัฟได้พบกับพวกภูตที่มีหูยาวและตาแดงเหมือนเขา แต่ในขณะที่พีคัฟกำลังดีใจภูตพวกนั้นก็บอกว่า “เจ้าน่ะรึเป็นพวกเดียวกับเรา? ไม่ใช่หรอก เพราะเจ้าไม่มีปีกเหมือนเรานี่” แล้วภูตตนหนึ่งก็เล่าให้เขาฟังว่า ในอดีตมีชายหญิงคู่หนึ่งนำลูกที่ใกล้ตายเข้ามาในป่านี้ ชายหญิงคู่นั้นวิงวอนให้พวกเขาช่วย พวกเขาจึงร่ายคาถารักษาเด็กคนนั้นจนรอดชีวิต แต่ผลข้างเคียงทำให้เด็กมีรูปร่างเหมือนภูตไปครึ่งหนึ่ง แต่แม้เด็กจะมีรูปร่างเปลี่ยนไปแต่ชายหญิงคู่นั้นก็ยินดีมาก ขอแค่ลูกรอดชีวิตก็พอแล้ว

เมื่อพีคัฟรู้ความจริงทั้งหมดเขาก็รีบวิ่งออกจากป่าภูตและมุ่งหน้ากลับบ้าน แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะเวลาในป่าภูตเพียงชั่วครู่ก็เท่ากับเวลาของโลกภายนอกเป็นร้อยปี ตอนนี้หมู่บ้านของเขาไม่มีอีกแล้ว และที่เนินเล็กๆระหว่างหมู่บ้านที่ไม่มีใครรู้จักกับป่าแห่งภูตต้องห้ามนั้นเอง พีคัฟผู้เดียวดายก็เอาแต่ร่ำไห้ จนตาที่แดงของเขายิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก

นิทานเรื่องนี้เป็นเหมือนนิทานเรื่อง ลูกเป็ดขี้เหร่ แต่เป็นฉบับที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรม ในเรื่องลูกเป็ดขี้เหร่นั้น สุดท้ายเจ้าเป็ดก็พบว่าที่ตัวเองแตกต่างจากเป็ดตัวอื่นๆนั้นเป็นเพราะมันไม่ใช่เป็ด แต่เป็นหงส์แสนสวยต่างหาก ตรงกันข้ามกับพีคัฟที่หนีออกจากบ้าน เขาคิดว่าตัวเองเป็นเหมือนลูกเป็ดขี้เหร่และต้องการไปยังที่ที่เขาควรจะอยู่ แต่เมื่อเขาได้พบพวกหงส์ เขากลับพบความจริงว่าเขาไม่ใช่หงส์ แต่เป็นลูกเป็ดผู้โง่เขลาที่ทอดทิ้งพ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเอง

นิทานเรื่องพีคัฟคนนอกคอกสอนให้รู้ว่า คุณค่าที่แท้จริงที่เราแสวงหาอาจอยู่ใกล้ตัวเรามาตลอด และการหนีความจริงมีแต่จะนำไปสู่ความพินาศ

แต่อนิจจา โรซีนไม่เข้าใจสิ่งที่นิทานเรื่องนี้ต้องการจะสอนเลย



จากพีคัฟถึงโรซีน

จิลเล่าว่าโรซีนชอบนิทานเรื่องพีคัฟมาก โรซีนบอกว่าตัวเธอเองก็เป็นเหมือนพีคัฟนั่นแหละ

โรซีนบอกอีกว่า จริงๆแล้วนิทานเรื่องพีคัฟนั้นผิด ที่จริงพีคัฟไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นภูตต่างหาก สำหรับโรซีน พีคัฟคือไอ้เป็ดโง่ที่กลับไปหาฝูงเป็ดทั้งๆที่ตัวเองเป็นหงส์แท้ๆ อย่างตอนที่โรซีนเห็นแพ็คอยู่กับกัทส์ เธอก็บอกว่า “เป็นภูตแล้วไปคุยกับมนุษย์ได้ยังไงกัน แบบนั้นน่ะเขาเรียกว่าพีคัฟคนนอกคอกนะ!

จิลเล่าว่าพ่อของโรซีนมักบอกว่าโรซีนไม่ใช่ลูกของเขาและตบตีทำร้ายเธอเป็นประจำ เพราะครั้งหนึ่งที่หมู่บ้านถูกภาวะสงครามครอบงำ ผู้หญิงในหมู่บ้านหลายคนถูกข่มขืน รวมทั้งแม่ของโรซีนด้วย คำดุด่าของพ่อว่าเธอไม่ใช่ลูกคงทำให้โรซีนรู้สึกเจ็บช้ำใจไม่ต่างจากเจ้าพีคัฟนัก

แม้นิทานเรื่องพีคัฟจะตั้งใจสอนคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบโรซีนแท้ๆ แต่เธอกลับมองไม่เห็นความจริง คิดว่าตัวเองเป็นเหมือนพีคัฟ เป็นลูกเอลฟ์ ไม่ใช่ลูกมนุษย์

โรซีนหนีออกจากบ้านไปพร้อมกับไข่อาถรรพ์ เบเฮริท และไปยังหุบเขาสายหมอก เธอนั่งรอคอยวันแล้ววันเล่าแต่ก็ไม่มีเอลฟ์โผล่มาให้เห็นสักที ในที่สุดพ่อและแม่ก็ตามเข้ามาพบเธอ ฝ่ายพ่อเอาแต่ด่าว่าและทุบตี ส่วนแม่ที่เข้าปกป้องเธอก็โดนพ่อทำร้ายไปด้วย และนี่ทำให้ความอดทนของโรซีนมาถึงขีดสุด

โลหิตของโรซีนรินรดบนไข่อาถรรพ์ แล้วมิติประหลาดก็เปิดออก โรซีนถวายพ่อแม่เป็นเครื่องสังเวยแด่ปิศาจเพื่อให้ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงของเธอกลายเป็นความจริงขึ้นมา

ผู้เขียนอาจต้องการสื่อถึงความจริงว่ามนุษย์ทุกคนล้วนต้องพบกับปัญหาชีวิต แต่บางคนก็ไม่สามารถยอมรับมันได้จนต้องหาทางหลีกหนีจากความเป็นจริงอันโหดร้าย แน่นอนว่าโลกของเราไม่มีเบเฮริทหรือก็อดแฮนด์ แต่เราก็มีเครื่องมืออย่างสุรา ยาเสพติด อบายมุข การทำตัวเหลวแหลก การงมงายในศาสนา และอีกสารพัดวิธีที่ทำให้เราหลุดพ้นจากขมขื่นได้ แม้จะเพียงชั่วขณะก็ตาม (ก็อดแฮนด์จึงอาจเป็นตัวแทนของด้านมืดทั้งหลายที่ฉุดดึงมนุษย์ให้ตกต่ำลง เปลี่ยนคนขี้แพ้ให้กลายเป็นอสุรกาย)

ความสุขที่โรซีนได้รับเป็นเพียงภาพลวงตา เธอขายวิญญาณให้ปิศาจเพื่อหลบลี้จากชีวิตจริงอันโหดร้าย แต่สิ่งตอบแทนที่เธอได้รับในท้ายที่สุดก็คือความตาย ตอนนี้เธอไม่มีพ่อแม่และบ้านให้กลับไปอีกแล้ว

เธอน่ะเหมือนพีคัฟจริงๆนั่นแหละ



จากโรซีนถึงจิล

ช่วงหนึ่งโรซีนได้พาจิลไปยังอาณาจักรของเธอที่หุบเขาสายหมอก โรซีนพูดจาโน้มน้าวจิลให้ยอมเป็นพวกเดียวกันเหมือนกับที่เธอเคยโน้มน้าวเด็กคนอื่นๆสำเร็จมาแล้ว ในทีแรกจิลก็ยังลังเล แต่สุดท้ายเธอก็เริ่มคล้อยตาม แต่ยังดีที่ได้แพ็คช่วยทำให้เธอตั้งสติได้ และจากนั้นกัทส์ก็ปรากฏตัวออกมาพอดี

ชีวิตของจิลที่หมู่บ้านไม่ค่อยน่ารื่นรมย์เช่นเดียวกับโรซีน เธอมีชีวิตที่ยากจน เหน็บหนาว พบเจอทั้งความอดอยาก การปล้น และสงคราม แถมยังถูกลวนลามจากผู้ใหญ่หัวงูอีกด้วย พ่อแม่ก็เป็นที่พึ่งพิงไม่ได้ เพราะพ่อเป็นขี้เมาหยำเปเอาแต่พร่ำเพ้อถึงคืนวันเก่าๆ ไม่พอใจอะไรก็ทำร้ายลูกเมีย ส่วนแม่ก็ได้แต่เป็นฝ่ายรองรับอารมณ์ของสามี ไม่เคยมีปากเสียงหรือทำอะไรได้เลย

เมื่อได้เห็นโลกใหม่ที่สวยงามของโรซีน จิลก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโรซีนถึงเลือกเดินตามวิถีของปิศาจ



จากจิลถึงกัทส์

หลังจากที่การต่อสู้อันดุเดือดจบลงและกัทส์กำลังจะออกเดินทางต่อ จิลก็เข้าไปหากัทส์และร้องขอติดตามไปด้วย เพราะเธอไม่อยากอยู่กับชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายและหวาดหวั่นในหมู่บ้านนั้นอีกแล้ว

แม้จิลจะพบบทเรียนของโรซีนมาแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังคิดจะหนีจากความจริงเหมือนเดิม

กัทส์แสดงให้เห็นจิลเห็นว่ารอบกายเขามีแต่ภูตผีปิศาจและความมืดมิด ความหมายที่ผู้เขียนต้องการบอกในที่นี้คือการหนีปัญหามีแต่ทำให้พบกับปัญหาใหม่ที่อาจเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

ปลายทางของการหนีไม่มีแดนสวรรค์หรอก สิ่งที่รอคอยอยู่จะมีเพียงสนามรบเท่านั้น” กัทส์กล่าว

คำพูดนี้ของกัทส์มีความหมายเช่นเดียวกันกับสิ่งที่นิทานเรื่อง พีคัฟคนนอกคอก ต้องการจะบอก และยังเหมือนเรื่องราวของโรซีนด้วย พีคัฟและโรซีนยอมรับความจริงที่โหดร้ายไม่ได้และหนีเตลิดไปเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า แต่สุดท้ายแล้วทั้งสองก็สูญเสียทุกอย่างจนหมดสิ้น

แม้จะร้องไห้คร่ำครวญ แต่ในตอนจบจิลก็คิดขึ้นได้ว่า แทนที่จะหนีจากความจริงหรือเอาแต่คิดอยากให้สิ่งรอบข้างเปลี่ยนแปลงอย่างที่ใจเราต้องการ ทำไมเราไม่หันมาเปลี่ยนแปลงตัวเองดูก่อนล่ะ?

และแล้วใบหน้าของจิลก็เปลี่ยนไป จากใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาก็กลับกลายเป็นใบหน้าของเด็กสาวผู้เด็ดเดี่ยว



สรุป

จากที่เล่ามาทั้งหมดจะเห็นว่า ผู้เขียนได้วางโครงเรื่องโดยสอดแทรกคติธรรมอย่างชาญฉลาด เป็นนิทานที่ซ้อนอยู่ในนิทาน และยังแสดงผลลัพธ์ของการตัดสินใจทั้งรูปแบบที่ผิดพลาด (พีคัฟ โรซีน และจิลในช่วงแรก) และรูปแบบที่ถูกต้อง (จิลในตอนจบ) นอกจากนั้น การปรากฏตัวของกองทัพศาสนจักรที่นำโดยฟาร์เนเซ่ยังเชื่อมไปสู่เนื้อหาในบทต่อไปอย่างแนบเนียนอีกด้วย (นัยหนึ่งภาคนี้ก็จบสมบูรณ์ในตัวมันเอง แต่อีกนัยหนึ่งก็เปิดทางไปสู่ภาคต่อไป)

อย่างที่กัทส์บอกว่าทุกคนล้วนแต่มีนิทานของตัวเอง ทั้งพีคัฟ โรซีน จิล และกัทส์ต่างก็มีเรื่องราวที่แตกต่างกันไป ทุกคนต่างพบเจอปัญหาในรูปแบบของตัวเองทั้งนั้น แต่ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ตาม เราก็ควรเชื่อมั่นในตัวเองและพยายามหาทางออกให้ได้เสมอ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่ตัดสินว่านิทานของเราจะจบลงอย่างไรก็คือตัวเรานั่นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่