เมื่อได้ยินคำว่า วิญญาณ ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็จะเข้าใจว่าหมายถึง ผี หรือจิตใจของคนเราที่ออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ ซึ่งนี่ไม่ใช่วิญญาณที่พระพุทธเจ้าสอน แต่เป็นความเชื่อว่าจิตใจของคนเรานี้เป็นอัตตา (ตัวตนที่แท้จริง) ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ ตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งความเชื่อเรื่องวิญญาณหรือจิตเป็นอัตตานี้เอง ที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกาย เรื่องนรก สวรรค์ เทวดา นางฟ้า รวมทั้งเรื่องกรรมชนิดข้ามภพพ้ามชาติ เป็นต้น ขึ้นมา เพื่อมารองรับความเชื่อเรื่องจิตหรือวิญญาณที่เป็นอัตตานั่นเอง (ซึ่งต่อมาความเชื่อนี้ก็ได้เข้ามาผสมปลอมปนอยู่ในคำสอนระดับศีลธรรมของพุทธศาสนาในปัจจุบัน)
คำว่าวิญญาณนี้พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้ว่า คำว่า วิญญาณ แปลว่า การรับรู้ คือเป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราวตามอายตนะภายในทั้ง ๖ นั่นเอง และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็จะมีชื่อเรียกไปตามอายตนะภายในที่เกิดขึ้น อันได้แก่
๑. วิญญาณทางตา คือเมื่อมีรูปมากระทบตา ก็จะเกิดการรับรู้ทางตาขึ้น (คือเกิดการเห็นภาพขึ้น)
๒. วิญญาณทางหู คือเมื่อมีเสียงมากระทบหู ก็จะเกิดการรับรู้เสียงขึ้น (คือเกิดการได้ยินเสียงขึ้น)
๓. วิญญาณทางจมูก คือเมื่อมีกลิ่นมากระทบจูก ก็จะเกิดการรับรู้กลิ่นขึ้น (คือเกิดการได้กลิ่นขึ้น)
๔. วิญญาณทางลิ้น คือเมื่อมีรสมากระทบลิ้น ก็จะเกิดการรับรู้รสขึ้น (คือเกิดการได้ลิ้มรสขึ้น)
๕. วิญญาณทางกาย คือเมื่อมีเย็น,ร้อน, อ่อน, แข็ง (โผฐัพพะ) มากระทบกาย ก็จะเกิดการได้รับรู้สิ่งที่มากระทบกายขึ้น (คือเกิดการได้รับรู้การสัมผัสทางกายขึ้น)
๖. วิญญาณทางใจ คือเมื่อมีความจำ, ความคิด, และความรู้สึกต่างๆ (ธรรมารมณ์) มากระทบใจ ก็จะเกิดการรับรู้สิ่งที่มากระทบใจขึ้น (คือเกิดการได้รับการสัมผัสทางใจขึ้น)
วิญญาณหรือการรับรู้ของคนเรานี้ก็มีลักษณะเหมือนไฟฟ้าในทางวัตถุนั่นเอง คือเมื่อมีแสงแดดมากระทบแผ่นโซล่าร์เซลล์ที่ยังดีอยู่ ก็จะเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นมาที่แผ่นโซล่าร์เซลล์นั้นทันที แต่ถ้าไม่มีแสงแดดมากระทบ กระแสไฟฟ้าก็จะไม่เกิดขึ้น หรือถึงแม้จะมีแสงแดดมากระทบ แต่ถ้าแผ่นโซล่าร์เซลล์นั้นเสียหาย กระแสไฟฟ้าที่แผ่นโซล่าร์เซลล์นั้นก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เหมือนกัน
สรุปได้ว่า เราต้องแยกให้ออกก่อนว่า วิญญาณ ที่หมายถึง ผี หรือจิตใจของคนที่ตายแล้วนั้นไม่ใช่วิญญาณที่พระพุทธเจ้าสอน เพราะมันมีลักษณะเป็นอัตตา (ตัวตนอมตะ) ที่เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์เขา ส่วนวิญญาณที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นจะหมายถึง กระแสของการรับรู้ที่เกิดขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราวตามระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าร่างกายตายหรือระบบประสาทใดเสียหาย วิญญาณก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ที่ร่างกายที่ตายแล้วหรือที่ระบบประสาทที่เสียหายแล้วนั้นได้ ซึ่งนี่คือวิญญาณที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าสอน ที่มีลักษณะเกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัย ตั้งอยู่ได้ด้วยเหตุและปัจจัย และดับหายไปเพราะขาดเหตุหรือปัจจัย ตามกฎอิทัปปัจจยตา อันเป็นกฎสูงสุดของธรรมชาตินั่นเอง
วิญญาณ ๖
คำว่าวิญญาณนี้พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้ว่า คำว่า วิญญาณ แปลว่า การรับรู้ คือเป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราวตามอายตนะภายในทั้ง ๖ นั่นเอง และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็จะมีชื่อเรียกไปตามอายตนะภายในที่เกิดขึ้น อันได้แก่
๑. วิญญาณทางตา คือเมื่อมีรูปมากระทบตา ก็จะเกิดการรับรู้ทางตาขึ้น (คือเกิดการเห็นภาพขึ้น)
๒. วิญญาณทางหู คือเมื่อมีเสียงมากระทบหู ก็จะเกิดการรับรู้เสียงขึ้น (คือเกิดการได้ยินเสียงขึ้น)
๓. วิญญาณทางจมูก คือเมื่อมีกลิ่นมากระทบจูก ก็จะเกิดการรับรู้กลิ่นขึ้น (คือเกิดการได้กลิ่นขึ้น)
๔. วิญญาณทางลิ้น คือเมื่อมีรสมากระทบลิ้น ก็จะเกิดการรับรู้รสขึ้น (คือเกิดการได้ลิ้มรสขึ้น)
๕. วิญญาณทางกาย คือเมื่อมีเย็น,ร้อน, อ่อน, แข็ง (โผฐัพพะ) มากระทบกาย ก็จะเกิดการได้รับรู้สิ่งที่มากระทบกายขึ้น (คือเกิดการได้รับรู้การสัมผัสทางกายขึ้น)
๖. วิญญาณทางใจ คือเมื่อมีความจำ, ความคิด, และความรู้สึกต่างๆ (ธรรมารมณ์) มากระทบใจ ก็จะเกิดการรับรู้สิ่งที่มากระทบใจขึ้น (คือเกิดการได้รับการสัมผัสทางใจขึ้น)
วิญญาณหรือการรับรู้ของคนเรานี้ก็มีลักษณะเหมือนไฟฟ้าในทางวัตถุนั่นเอง คือเมื่อมีแสงแดดมากระทบแผ่นโซล่าร์เซลล์ที่ยังดีอยู่ ก็จะเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นมาที่แผ่นโซล่าร์เซลล์นั้นทันที แต่ถ้าไม่มีแสงแดดมากระทบ กระแสไฟฟ้าก็จะไม่เกิดขึ้น หรือถึงแม้จะมีแสงแดดมากระทบ แต่ถ้าแผ่นโซล่าร์เซลล์นั้นเสียหาย กระแสไฟฟ้าที่แผ่นโซล่าร์เซลล์นั้นก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เหมือนกัน
สรุปได้ว่า เราต้องแยกให้ออกก่อนว่า วิญญาณ ที่หมายถึง ผี หรือจิตใจของคนที่ตายแล้วนั้นไม่ใช่วิญญาณที่พระพุทธเจ้าสอน เพราะมันมีลักษณะเป็นอัตตา (ตัวตนอมตะ) ที่เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์เขา ส่วนวิญญาณที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นจะหมายถึง กระแสของการรับรู้ที่เกิดขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราวตามระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าร่างกายตายหรือระบบประสาทใดเสียหาย วิญญาณก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ที่ร่างกายที่ตายแล้วหรือที่ระบบประสาทที่เสียหายแล้วนั้นได้ ซึ่งนี่คือวิญญาณที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าสอน ที่มีลักษณะเกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัย ตั้งอยู่ได้ด้วยเหตุและปัจจัย และดับหายไปเพราะขาดเหตุหรือปัจจัย ตามกฎอิทัปปัจจยตา อันเป็นกฎสูงสุดของธรรมชาตินั่นเอง