สิ่งที่เล็กมากเเละไม่เเน่นอในการเคลื่อนที่ มันเสียเหลือเกิน เล็กมาก มีความแปลกประหลาดไม่ว่าจะล่องหนทะลุสิ่งต่างๆได้ , ย้อนเวลาได้ , เเม้กระทั่งเป็นคลื่นในรูปเเบบมิติเชิงซ้อนกัน (หลายมิติเวลาเดียวกัน)
ปัจจุบันเรายังหาคำตอบที่เเน่ชัดไม่ได้หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เวลาคืออะไร จับต้องได้ไปคุณให้เวลาผมได้รึป่าวคำนิยามจริงๆของมันที่ไม่ได้สมมติเอาเองคืออะไร เวลามีจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้เเน่ชัดเ็นสิ่งสมมติที่ตั้งเอามาทำเป็นปฎิทินของมนุษย์จากการคำนวนวงโคจรโลก , ประจุไฟฟ้า มันคืออะไรทุกวันนี้ยังไม่รู้ รูปร่างเป็นไง มาได้ไง ทำไมถึงมาอยู่กับอิเล็กตรอน โปรตรอนรู้เเค่คำว่า " ประจุ " ที่เราตั้งขึ้นเองเช่นเดียวกับอัตราการเดินของเวลา , มวลคืออะไร ปัจจุบันยังไม่ชัดอะไรทำให้เกิดมวล
ปัจจุบันมนุษย์มีข้อจำกัดมากทั้งด้านความคิด เเละวิทยาการจึงยากจะหาคำตอบทำให้มันตัน โดยไม่เปิดรับสิ่งใหม่ๆใกล้ตัว ก่อนที่การที่ไอน์สไตน์จะคิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพสิ่งเเรกที่ทำคือ "การก้าวข้ามขีดจำกัดทางความคิด" โดยเกิด " insight " (ความหยั่งเห็นหรือการมองทะลุสิ่งต่างๆ)
โดยที่จินตนาการว่าถ้าขี่เเสงได้เวลาจะหยุดนิ่ง จนเกิดเป็นพื้นฐานมากมายในวิทย์ฯปัจจุบันล่าสุดมีการทดลองการส่งย้ายโฟรตรอนจากที่นึงไปอีกที่นึงในทันทีได้เเร้ว , การส่งข้อมูลที่ไวกว่า wi-fi 100 เท่า โดยใช้เเสง ( li-wi ) , คอมพิวเตอร์ควอนตัมเป็นต้น
*** ทฤษฎีต่อไปนี้เป็นทฤษฎีที่เกิดจาก " insight " บวกกับควอนตัมที่มีความแปลกประหลาดในตัวเอง ทำให้เกิดข้อสมมติฐานที่ว่า " การตรงกันข้าม '
ทุกสิ่งล้วนมีเหตุเเละผลของตัวมันเองเสมอ มีเกิดขึ้นเเละดับลง ซ้ายขวา ด้านหน้า-หลังเสมอ เช่นเดียวกันกับ " เเสง "
จุดเริ่มต้นของเเสง คือ จุดกำเนิดเเสง--->โฟรครอน รังสีต่างๆ--->ผ่านช่องว่าง สสารเเละ spacetime ( กาล-อวกาศ )---> จุดสิ้นสุดปลายเเสงตกกระทบ
จากการทดลองวัยเด็กหากทำเลนส์ของเเว่นขยายมาหักเหเเสงจะเกิดพลังงานความร้อนจนไฟลุกไหม้บนกระดาษได้ เเละเเสงทำให้เกิดเงาต่างๆได้
เเต่เคยสงสัยไหมว่า เงาคืออะไร มีตัวตนไหม ตามสมมติฐานข้างต้นใน " ทฤษฎีการตรงกันข้าม " จะเห็นได้ว่าเงาเกิดจากลำเเสง ที่สาดกระทบวัตถุ
ดังนั้นเงาคือสิ่งที่ตรงข้ามกับเเสงนั้นคือ " ความมืด " เคยมีใครนำเงามาหักเหผ่านเลนส์หรือไม่? จากการทดลองนำเงาที่มีความเข้มของ " แสงสีดำ,เเสงมืด "
ที่มีความมืดที่เเตกต่างกันหักเหด้วยเลนส์บีบอัดให้เกิดความมืดที่มี " แสงสีดำ " ทับซ้อนกันลงในกล่องที่ปิดสนิท สูญญากาศ โดยเเต่ละกล่องข้างในมีสิ่งของเป็นสสารต่างชนิดกันอยู่ ทิ้งไว้เป็นเวลา 72 ชั่วโมงพบว่า " อุณหภูมิของสิ่งของทุกชนิดเย็นลงเเละติดลบ(ซึ่งตรงข้ามกับเเสง) พื้นผิวบูดบวม บิดเบี้ยวเล็กน้อย สรุปได้ว่าความเข้มของเเสงเเละเเสงสีดำมีผลกระทบที่ตรงข้ามกันจากอันตรกิริยาควอนตัมของ "โฟรตรอนเเละอินตโฟรตรอน" (สสารมืด)
ทำให้ทราบหลักการกำเนิดหลุมดำ ลองนึกภาพว่าอยู่ในอวกาศมีลำเเสงส่องเส้นที่มีความเข้มข้นสูงเเต่คุณมบัติตรงข้ามกัน เเสงสีส้มที่ให้ความร้อนเเละความสว่าง กับเเสงสีดำที่ให้ความเย็นจัดส่องผ่าน spacetime โดยการพาสสารของตนเองมาด้วยความเข้มข้นจำนวนมหาศาล "อินตโฟรตรอน" ความเร็วสูงเกิดอันตรกิริยาของอินตโฟรครอนกับสสารมืดชนิดอื่นๆ กำเนิดพลังงานมืด " Dark energy " สร้างช่องโหว่งที่บิดเบี้ยวเเละหมุนวน ดูดทุกอย่างด้วยความเร็วสูงรวมทั้งเวลาเเละกาลอวกาศในบริเวณนั้นเข้าไปสู่ช่องว่างระหว่างเอกภพ
จินตนาการถึงกระเเสน้ำในสระว่ายน้ำที่นิ่งสงบ เเละเริ่มมีการบิดวนหมุนเป็น " น้ำวนขนาดใหญ่ " ด้วยความเร็วสูงจึงก่อให้เกิดพลังงานเเละเเรงโน้มถ่วงตามมา รวมทั้งปล่อยคลื่นกับรังสีต่างๆที่ถูกบดให้ชนปะทะกันบริเวณนั้นปล่อย Gravitational Wave ดึงเเละผลักส่งผลให้ Dark energy , Dark matter , neutrino
โดยรอบเกิดการดูดเข้าเเละเหวี่ยงออก(สสารเเละดวงดาวต่างๆ) กระบวนการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เอกภพนี้เคลื่อนที่เเละขยายตัวออกอย่างช้าๆ
( Antimatter ) ปฏิสสารอื่นๆบริเวณใกล้เคียงจะทำให้ถูกดูดเข้าไปยังเขต " event horizon " เวลาขณะนั้นจะหยุดนิ่งจนติดลบ ( ย้อนเวลาไปเรื่อยๆ ) เเละลึกลงไปห้วงเวลาจะบิดเบี้ยวจนเกิดมิติที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นจนเราไม่อาจสังเกตุการณ์เห็นได้
ความเข้าใจของมนุษย์ยังมีขีดจำกัด บางสิ่งที่ไม่อาจวัดได้ด้วยคณิตศาสตร์ อุปสรรคทางด้านความคิด การมองเห็นหรือสัมผัสได้ ร่วมถึงเครื่องมือที่ใช้วัด " ความลึกของความมืดหรือเเสงสีดำ " ยังไม่สามารถกำหนดเป็นเกณฑ์เเละมาตรวัดใดๆบนโลกได้เปรียบดั่งเช่นความเข้าใจในมิติ,ไฟฟ้า,เวลา,มวล
" มดมองโลกเป็น2มิติ มนุษย์มองโลกเป็น3มิติกล่าวคือขีดจำกัดด้านการรับรู้มีเพียงเท่านี้ จะไม่มีทางมองเห็นหรือจินตนาการมิติที่สูงกว่าได้ในปัจจุบัน
จึงต้องพึ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีวิทยาการก้าวล้ำกว่าปัจจุบันจึงจะวัดค่าที่ติดลบในด้านต่างๆของสรรพสิ่งได้ เเละสุดท้าย " เวลา " มิใช่สิ่งเดียวในมิติที่ 4 การรับรู้ในมิติที่ 4 ได้นั้นมนุษย์จำต้องมี "ต่อมความนึกคิด(realitional mind)" ที่ใช้ในการประเมินเเยกเเยะความเป็นจริงในขณะนั้นๆของทุกวัตถุที่มองเห็นอยู่ตลอดเวลา เช่น มิติที่4+ต่อมความนึกคิดจริงนั้นคือ การที่เรายืนอยู่บนโลกเเละรับรู้ได้ในขณะที่โลกหมุนตลอดเวลา เราอยู่ทิศทางไหนของระนาบเวลาที่ต่างกัน หรือรับรู้เวลา "จริง" ที่ต่างกันของวัตถุที่ไกลออกไปในเวลานั้นๆได้ชัดเจนเเบบ real-time โดยไม่พึ่งนาฬิกาหรือเครื่องมืออื่นใด ยกตัวอย่างหากพ่ออยู่บนกระสวยมองเเม่ที่กำลังไปทำงานบนบางนาตราดกิโลเมตรที่20 เเต่ในความเป็นจริง (เเบบ3มิติที่เรารับรู้)เเม่ได้เลยจุดนั้นไปถึงเขตจังหวัดชลบุรีเรียบร้อยเเล้ว หากมีต่อมที่เเยกเเยะความเป็นจริงในมิติที่4 พ่อจะสามารถรับรู้ความบิดเบี้ยวของเวลาที่เเสงตกมากระทบยังตาเเละบอกความจริงในตำเเหน่งของเเม่ได้
ซึ่งต่อมนึกคิดความเป็นจริงนี้จะได้รับจากการตัดต่อพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) จากสัตว์ชนิดนึงที่ยังไม่ถูกค้นพบ(ค้นพบหลัง word war III)
สุดท้ายคือมิติที่เล็กกว่ามดอาจเป็นมิติที่ติดลบ ไร้เวลา ไร้ซึ่งความจริง(หลงทิศ สับสน) มิติเเห่งเควเซอร์ควอนตัม (Quasar quantum dimension)
Griim
ทฤษฎีควอนตัมที่ถูกต้องกับความจริงของแสงเเละกำเนิดหลุมดำ!
ปัจจุบันเรายังหาคำตอบที่เเน่ชัดไม่ได้หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เวลาคืออะไร จับต้องได้ไปคุณให้เวลาผมได้รึป่าวคำนิยามจริงๆของมันที่ไม่ได้สมมติเอาเองคืออะไร เวลามีจริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้เเน่ชัดเ็นสิ่งสมมติที่ตั้งเอามาทำเป็นปฎิทินของมนุษย์จากการคำนวนวงโคจรโลก , ประจุไฟฟ้า มันคืออะไรทุกวันนี้ยังไม่รู้ รูปร่างเป็นไง มาได้ไง ทำไมถึงมาอยู่กับอิเล็กตรอน โปรตรอนรู้เเค่คำว่า " ประจุ " ที่เราตั้งขึ้นเองเช่นเดียวกับอัตราการเดินของเวลา , มวลคืออะไร ปัจจุบันยังไม่ชัดอะไรทำให้เกิดมวล
ปัจจุบันมนุษย์มีข้อจำกัดมากทั้งด้านความคิด เเละวิทยาการจึงยากจะหาคำตอบทำให้มันตัน โดยไม่เปิดรับสิ่งใหม่ๆใกล้ตัว ก่อนที่การที่ไอน์สไตน์จะคิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพสิ่งเเรกที่ทำคือ "การก้าวข้ามขีดจำกัดทางความคิด" โดยเกิด " insight " (ความหยั่งเห็นหรือการมองทะลุสิ่งต่างๆ)
โดยที่จินตนาการว่าถ้าขี่เเสงได้เวลาจะหยุดนิ่ง จนเกิดเป็นพื้นฐานมากมายในวิทย์ฯปัจจุบันล่าสุดมีการทดลองการส่งย้ายโฟรตรอนจากที่นึงไปอีกที่นึงในทันทีได้เเร้ว , การส่งข้อมูลที่ไวกว่า wi-fi 100 เท่า โดยใช้เเสง ( li-wi ) , คอมพิวเตอร์ควอนตัมเป็นต้น
*** ทฤษฎีต่อไปนี้เป็นทฤษฎีที่เกิดจาก " insight " บวกกับควอนตัมที่มีความแปลกประหลาดในตัวเอง ทำให้เกิดข้อสมมติฐานที่ว่า " การตรงกันข้าม '
ทุกสิ่งล้วนมีเหตุเเละผลของตัวมันเองเสมอ มีเกิดขึ้นเเละดับลง ซ้ายขวา ด้านหน้า-หลังเสมอ เช่นเดียวกันกับ " เเสง "
จุดเริ่มต้นของเเสง คือ จุดกำเนิดเเสง--->โฟรครอน รังสีต่างๆ--->ผ่านช่องว่าง สสารเเละ spacetime ( กาล-อวกาศ )---> จุดสิ้นสุดปลายเเสงตกกระทบ
จากการทดลองวัยเด็กหากทำเลนส์ของเเว่นขยายมาหักเหเเสงจะเกิดพลังงานความร้อนจนไฟลุกไหม้บนกระดาษได้ เเละเเสงทำให้เกิดเงาต่างๆได้
เเต่เคยสงสัยไหมว่า เงาคืออะไร มีตัวตนไหม ตามสมมติฐานข้างต้นใน " ทฤษฎีการตรงกันข้าม " จะเห็นได้ว่าเงาเกิดจากลำเเสง ที่สาดกระทบวัตถุ
ดังนั้นเงาคือสิ่งที่ตรงข้ามกับเเสงนั้นคือ " ความมืด " เคยมีใครนำเงามาหักเหผ่านเลนส์หรือไม่? จากการทดลองนำเงาที่มีความเข้มของ " แสงสีดำ,เเสงมืด "
ที่มีความมืดที่เเตกต่างกันหักเหด้วยเลนส์บีบอัดให้เกิดความมืดที่มี " แสงสีดำ " ทับซ้อนกันลงในกล่องที่ปิดสนิท สูญญากาศ โดยเเต่ละกล่องข้างในมีสิ่งของเป็นสสารต่างชนิดกันอยู่ ทิ้งไว้เป็นเวลา 72 ชั่วโมงพบว่า " อุณหภูมิของสิ่งของทุกชนิดเย็นลงเเละติดลบ(ซึ่งตรงข้ามกับเเสง) พื้นผิวบูดบวม บิดเบี้ยวเล็กน้อย สรุปได้ว่าความเข้มของเเสงเเละเเสงสีดำมีผลกระทบที่ตรงข้ามกันจากอันตรกิริยาควอนตัมของ "โฟรตรอนเเละอินตโฟรตรอน" (สสารมืด)
ทำให้ทราบหลักการกำเนิดหลุมดำ ลองนึกภาพว่าอยู่ในอวกาศมีลำเเสงส่องเส้นที่มีความเข้มข้นสูงเเต่คุณมบัติตรงข้ามกัน เเสงสีส้มที่ให้ความร้อนเเละความสว่าง กับเเสงสีดำที่ให้ความเย็นจัดส่องผ่าน spacetime โดยการพาสสารของตนเองมาด้วยความเข้มข้นจำนวนมหาศาล "อินตโฟรตรอน" ความเร็วสูงเกิดอันตรกิริยาของอินตโฟรครอนกับสสารมืดชนิดอื่นๆ กำเนิดพลังงานมืด " Dark energy " สร้างช่องโหว่งที่บิดเบี้ยวเเละหมุนวน ดูดทุกอย่างด้วยความเร็วสูงรวมทั้งเวลาเเละกาลอวกาศในบริเวณนั้นเข้าไปสู่ช่องว่างระหว่างเอกภพ
จินตนาการถึงกระเเสน้ำในสระว่ายน้ำที่นิ่งสงบ เเละเริ่มมีการบิดวนหมุนเป็น " น้ำวนขนาดใหญ่ " ด้วยความเร็วสูงจึงก่อให้เกิดพลังงานเเละเเรงโน้มถ่วงตามมา รวมทั้งปล่อยคลื่นกับรังสีต่างๆที่ถูกบดให้ชนปะทะกันบริเวณนั้นปล่อย Gravitational Wave ดึงเเละผลักส่งผลให้ Dark energy , Dark matter , neutrino
โดยรอบเกิดการดูดเข้าเเละเหวี่ยงออก(สสารเเละดวงดาวต่างๆ) กระบวนการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เอกภพนี้เคลื่อนที่เเละขยายตัวออกอย่างช้าๆ
( Antimatter ) ปฏิสสารอื่นๆบริเวณใกล้เคียงจะทำให้ถูกดูดเข้าไปยังเขต " event horizon " เวลาขณะนั้นจะหยุดนิ่งจนติดลบ ( ย้อนเวลาไปเรื่อยๆ ) เเละลึกลงไปห้วงเวลาจะบิดเบี้ยวจนเกิดมิติที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นจนเราไม่อาจสังเกตุการณ์เห็นได้
ความเข้าใจของมนุษย์ยังมีขีดจำกัด บางสิ่งที่ไม่อาจวัดได้ด้วยคณิตศาสตร์ อุปสรรคทางด้านความคิด การมองเห็นหรือสัมผัสได้ ร่วมถึงเครื่องมือที่ใช้วัด " ความลึกของความมืดหรือเเสงสีดำ " ยังไม่สามารถกำหนดเป็นเกณฑ์เเละมาตรวัดใดๆบนโลกได้เปรียบดั่งเช่นความเข้าใจในมิติ,ไฟฟ้า,เวลา,มวล
" มดมองโลกเป็น2มิติ มนุษย์มองโลกเป็น3มิติกล่าวคือขีดจำกัดด้านการรับรู้มีเพียงเท่านี้ จะไม่มีทางมองเห็นหรือจินตนาการมิติที่สูงกว่าได้ในปัจจุบัน
จึงต้องพึ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีวิทยาการก้าวล้ำกว่าปัจจุบันจึงจะวัดค่าที่ติดลบในด้านต่างๆของสรรพสิ่งได้ เเละสุดท้าย " เวลา " มิใช่สิ่งเดียวในมิติที่ 4 การรับรู้ในมิติที่ 4 ได้นั้นมนุษย์จำต้องมี "ต่อมความนึกคิด(realitional mind)" ที่ใช้ในการประเมินเเยกเเยะความเป็นจริงในขณะนั้นๆของทุกวัตถุที่มองเห็นอยู่ตลอดเวลา เช่น มิติที่4+ต่อมความนึกคิดจริงนั้นคือ การที่เรายืนอยู่บนโลกเเละรับรู้ได้ในขณะที่โลกหมุนตลอดเวลา เราอยู่ทิศทางไหนของระนาบเวลาที่ต่างกัน หรือรับรู้เวลา "จริง" ที่ต่างกันของวัตถุที่ไกลออกไปในเวลานั้นๆได้ชัดเจนเเบบ real-time โดยไม่พึ่งนาฬิกาหรือเครื่องมืออื่นใด ยกตัวอย่างหากพ่ออยู่บนกระสวยมองเเม่ที่กำลังไปทำงานบนบางนาตราดกิโลเมตรที่20 เเต่ในความเป็นจริง (เเบบ3มิติที่เรารับรู้)เเม่ได้เลยจุดนั้นไปถึงเขตจังหวัดชลบุรีเรียบร้อยเเล้ว หากมีต่อมที่เเยกเเยะความเป็นจริงในมิติที่4 พ่อจะสามารถรับรู้ความบิดเบี้ยวของเวลาที่เเสงตกมากระทบยังตาเเละบอกความจริงในตำเเหน่งของเเม่ได้
ซึ่งต่อมนึกคิดความเป็นจริงนี้จะได้รับจากการตัดต่อพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) จากสัตว์ชนิดนึงที่ยังไม่ถูกค้นพบ(ค้นพบหลัง word war III)
สุดท้ายคือมิติที่เล็กกว่ามดอาจเป็นมิติที่ติดลบ ไร้เวลา ไร้ซึ่งความจริง(หลงทิศ สับสน) มิติเเห่งเควเซอร์ควอนตัม (Quasar quantum dimension)
Griim