[CR] พักความวุ่นวาย ปล่อยกายปล่อยใจที่บ้านน้ำเอ่อ...เอ่อคือว่า...ดี



ออกตัวก่อนเลยนะคะว่าเป็นการเขียนรีวิวทริปท่องเที่ยวครั้งแรกในชีวิต หากผิดพลาดข้อมูลตกหล่นเรื่องใดขออภัยแรงๆเลยนะคะ

ทริปนี้หวยไปออกที่อุทยานแห่งชาติพุเตย จังหวัดสุพรรณบุรี และลากยาวไปที่แพน้ำเอ่อ อ.ศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี  สมาชิกร่วมเดินทางในครั้งนี้มี6คน ซึ่งก็เป็นแก๊งที่ร่วมเดินทางด้วยกันบ่อยๆ ด้วยเพราะชอบท่องเที่ยวแนวไม้ป่าเดียวกัน ไม่ช่าย! ชอบแนวธรรมชาติเหมือนๆกัน

ในเมื่อเป้าหมายเดียวกัน อุดมการณ์ตรงกัน รออะไรล่ะฮ้าา ลุยย!!



ล้อหมุนออกจากกรุงเทพฯตอน4ทุ่มคืนวันศุกร์เลยค่ะ เนื่องจากอุดมการณ์ตั้งมั่น แต่ความฝันก็ต้องใช้เงิน ดังนั้นเรื่องลางานเที่ยวให้ระคายเคืองเจ้านายไม่มีค่ะ ในคืนแรกพวกเราตั้งใจไปพักกันที่กระเสียวรีสอร์ท อำเภอด่านช้างจังหวัดสุพรรณบุรี โดยได้โทรไปจองเต็นท์สองหลังไว้ก่อนล่วงหน้า ขับตามGPSนำทางไปเรื่อยๆ มีทางเล็ก ทางเปลี่ยวบ้าง ช่วยกันดูทาง คลำทางกันมาจนถึงในที่สุดค่ะ

เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านั่งอัดเป็นปลากระป๋องกันมาหลายชั่วโมง ก้าวขาลงจากรถ วินาทีแรกที่เห็น ตึงงง!! มืดสนิท!! ทิศไหนน้ำ ทิศไหนเขา โอเคไม่เป็นไร เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน แยกย้ายกันเข้านอน (เราไปช่วงเดือนตุลาคม อากาศตอนกลางคืนกำลังเย็นสบายค่ะ นอนแบบไม่ร้อนไม่หนาวอะไร ลมโกรกตลอดๆค่ะ)



6โมงเช้าทุกคนตื่นพร้อมกันแบบไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก เที่ยวแบบนอนกลางดินกินกลางทรายแบบนี้นอนนานไม่ได้ ไม่ใช่รีบร้อนอะไรนะคะ แต่มันปวดหลัง ไม่ได้แบกฟูกแบกเบาะกันมา เอาเป็นว่าเป็นสไตล์มินิมอลเก๋ๆกลัวรถเต็มค่ะ
เปิดเต็นท์ออกมา ภาพแรกที่เห็น ดีจังเลยค่ะ ทางรีสอร์ท กางเต็นท์ให้เราตรงริมน้ำเลย เราจึงได้สัมผัสวิวแบบพาโนรามา ทั้งอ่างเก็บน้ำทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ภูเขาเรียงรายล้อมรอบ พระอาทิตย์ที่กำลังขึ้น ไหนจะแพปลาของชาวบ้านแถวนั้น ให้ความรู้สึกถึงวิถีชีวิต สำหรับเรามันสวยงามเหมือนภาพวาดในแบบเรียนตอนเด็กๆเลย คุ้มค่ากับการที่มานอนรอเพื่อจะตื่นมาได้เห็นภาพนี้แล้วในความรู้สึกเรานะ





หลังจากยืนประชุมกันว่าจะไปยังไงกันต่อในห้องประชุมที่ธรรมชาติที่สุด ก็รีบอาบน้ำอาบท่า เพื่อไปต่อ เป้าหมายต่อไป พุเตย..



พวกเราแวะตุนเสบียงของสดกันจากตลาดละแวกนั้นและแวะทานมื้อเช้ากันก่อนมุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติพุเตย จากตัวอำเภอด่านช้าง ถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติพุเตยนั้นใช้ระยะเวลาไม่นาน และทางเป็นทางลาดยางขับสบายๆ หากนักท่องเที่ยวต้องการกางเต็นท์ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่จัดลานกางเต็นท์ไว้ให้นั้นก็สามารถขับรถยนต์มาตามอัธยาศัยได้เลย แต่หากท่านต้องการขับรถไปยัง จุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ทะเลหมอก  ศาลเลาดาห์ หรือป่าสนสองใบ ทางอุทยานแนะนำว่าควรเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น เนื่องจากระยะทางค่อนข้างลาดชันและเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทาง



ลุย!! ฮะรอไรฮะ ทางจะเป็นยังไงไม่สน รถเราพร้อม คนก็พร้อมมาก



ทางค่อนข้างโหดจริงๆแอบสงสารคนขับและรถของคนขับ



พวกเราแวะจุดแรกที่จุดเครื่องบินตก ซึ่งยังคงปรากฏเศษซากเครื่องบินบางส่วนอยู่ และมีศาลเพียงตาตั้งอยู่เรียงราย โดยจุดนี้เป็นจุดที่พบผู้เสียชีวิตเยอะที่สุดถึง 223 ราย โดยหลังจากกลับมาเราได้มาหาข้อมูลเรื่องเครื่องบินตกที่หลัง นับเป็นเรื่องน่าสะเทือนใจเพราะเป็นอุบัติเหตุทางเครื่องบินครั้งร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจวบจนบัดนี้ โดยเครื่องบินออกจากดอนเมืองได้ไม่กี่นาที พบความขัดข้องของระบบ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเช่นกันเครื่องบินสูญเสียแรงยกและฉีกออกเป็นส่วนๆกลางอากาศที่ระดับความสูง 1,200เมตร และแน่นอนว่าไม่พบผู้รอดชีวิตค่ะ จากการดูสารคดีความสูญเสียที่เกิดขึ้นให้อะไรกับคนที่อยู่ข้างหลังมากมาย ขอไว้อาลัยให้กับผู้สูญเสียด้วยค่ะ



หลังจากนั้นพวกเรามุ่งหน้าต่อไปที่ป่าสนสองใบ ระยะทางประมาณ 3.5 กิโลเมตรจากจุดเครื่องบินตก 3.5กิโลเมตรทางเรียบนี่เผลอตดยังไม่ทันหายเหม็นก็ถึงแล้วใช่ไหมคะ  แต่ทางหลุมบ่อ จะไม่ปราณีเราค่ะ โค้งและชันนี่มันสุดจริงค่ะ เราต้องสตรองมาก ระหว่างทางพบชาวบ้านขี่รถมอเตอร์ไซค์ซ้อนสองบ้างสามบ้างจนอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาเข้ามาทำอะไรกัน หลังจากหาคำตอบจึงได้พบว่าชาวบ้านมาเก็บเห็ดโคนกันค่ะ เห็ดโคนถือว่าเป็นของดีของเด็ดในละแวกนี้มาก เก็บไปขายได้กิโลละหลายร้อย พวกเราไม่รอช้า ซื้อราคาหน้าป่ากันเลยทีเดียว ได้มาประมาณนึง 150บาท ตุนเป็นเบียงสำหรับมื้อเย็น  เมื่อ3.5กิโลเมตรผ่านไปก็จะสุดทางที่รถขับมาได้ ต่อจากนั้นก็จะต้องใช้คนขับเคลื่อนสองเท้าเข้าป่ากันเองจ้า



เดินมาไม่ไกลนักจะพบกับจุดชมวิวแรกค่ะ สวยงามตามท้องเรื่องค่ะ มองเห็นภูเขาเรียงรายทั้งน้อยทั้งใหญ่ทอดยาวไปจนสุดตา ธรรมชาติรังสรรค์ความสวยงามให้แก่มนุษย์เสมอค่ะ



จากนั้นเดินต่อไปยัง ป่าสนสองใบ เดินประมาณ10นาทีก็ถึงค่ะ เหนื่อยนิดหน่อย พอได้เหงื่อ ที่ป่าสนสองใบนี้ให้บรรยากาศเหมือนเรื่องทไวไลท์ยังไงอย่างนั้นเลยค่ะ สวัดดีค่าเอดเวิร์ด เฮนโหลวเบลล่าจ้ะ



ยืนพูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ชมนกชมไม้ ถ่ายรูปธรรมชาติกันพอได้อรรถรส จากนั้นก็เดินกลับ สนุกสนานกันต่อกับความโคงเคลงในขากลับ ก่อนมุ่งหน้าไปแพน้ำเอ่อ คิดว่าโอเค ลาก่อนความโคลงเคลง บ๊ายบายจ้ะหลุมบ่อ ที่ไหนได้ ของจริงรออยู่ค่า
ทางไปบ้านน้ำเอ่อนั้น บอกเลยว่ารถคุณจะต้องสตรองมากจริงๆ ทางทั้งโค้งทั้งชัน ทั้งหลุมทั้งบ่อ เรียกได้ว่าทางวิบากของแท้และแน่นอน เราไม่ได้เป็นคนขับยังถอดใจแทนคนขับหลายทีมาก ไม่ถึงที่หมายสักที ป้ายสักป้ายก็ไม่มี บ้านสักหลังก็ไม่มี คนสักคนยังแทบไม่เห็น ก็เรียกได้ว่าฝ่าฟันกันไปแบบไม่รู้จุดหมายปลายทาง
ทันใดนั้นเองเมื่อเริ่มเลาะมาจนถึงคุ้งน้ำ ธรรมชาติเริ่มเห็นถึงความพยามของเรา และธรรมชาติได้กล่าวต้อนรับเราอย่างเต็มใจ



พระอาทิตย์กำลังจะตกแต่ยังสาดแสงอ่อนๆ สะท้อนกับพื้นน้ำระยิบระยับจับตาจับใจเรามาก ความรู้สึกเรามันเหมือนหลุดมาอีกโลกนึง ที่นี่อาจยากแก่การมาถึง แต่มันทั้งสงบ ทั้งสวยงาม จนถามตัวเองและได้คำตอบว่า ถ้าให้มาอีกทีก็ยังจะมา



เราเลือกพักกันที่แพแพหนึ่ง ซึ่งที่นั่นจะมีหลายแพที่เปิดให้เช่า แพที่เราเลือกเช่านั้น ความสะดวกสบายค่อนข้างน้อย เรียกได้ว่าสัมผัสธรรมชาติกันแบบถึงแก่น คือ ไม่ต้องมีกำแพงกั้น ไม่ต้องมีห้องหับใดๆ ห้องน้ำเป็นสังกะสีล้อมรอบ ไฟมีดวงเดียวพ่วงกับแบต น้ำหรอ ตักเอาสิจ๊ะที่รายล้อมอยู่นั่น



ที่บ้านน้ำเอ่อนี้ ทำให้เราคิดถึงความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันจนเราแทบจะร้องไห้ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ทำให้เราคิดอะไรได้หลายอย่างมาก จริงอยู่ที่ทุกสิ่งที่นี่ทำให้การใช้ชีวิตมันยากลำบาก น้ำสะอาดต้องออกเรือไปซื้อจากชาวบ้าน น้ำอาบต้องพายไปตักไกลๆ น้ำแข็งหายากมากและมีค่ามากที่นี่ ไฟไม่ต้องพูดถึงมีแค่แบตเตอรี่ก้อนเดียว แต่เราลองคิดดูดีๆ มันคือความเรียบง่ายที่ธรรมชาติมอบให้ และมันก็คือสิ่งที่จริงแท้เสมอ ธรรมชาติคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับความจริงที่สุด และมันคือสิ่งที่ยั่งยืน ความสะดวกสบายต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ทำให้มนุษย์เรายุ่งยากกันไปเอง และอยู่รวมกับธรรมชาติได้ไม่ง่ายเลย

พอได้ลองมองมุมกลับได้ปรับมุมมองดูสักครู่หนึ่ง ก็พบว่าชีวิตเราใช้ให้มันง่ายขึ้นบ้างก็ได้ ซับซ้อนน้อยลงบ้างก็ได้ ชีวิตคนเราแท้จริงก็แค่นี้ กินอิ่ม นอนหลับสบาย อะไรที่หามาแบกหามแล้วมันทุกข์ก็ต้องรู้จักปลดรู้จักวางบ้าง พอคิดได้แล้วใจก็เย็นขึ้นเยอะ



อาหารหลักของการมาเยือนที่น้ำเอ่อ ที่เรียกว่าจะเป็นความทรงจำของพวกเราเลยคือสุกี้ ฟังดูดีนะค้า ที่จริงคือมีอะไรก็จับโยนลงไป เห็ดที่ได้มาจากชาวบ้านก็ล้างก็ปลอกกันในน้ำแล้วจับโยนลงหม้อพร่วดๆ มื้อแรกที่นั่นของเราคือมื้อเย็น บอกเลยอิ่มเอมมาก อากาศเย็นสบาย กินกันไปคุยกันไป ดูพระอาทิตย์ตก ดูแสงสะท้อนในน้ำ ดูฟากฟ้า ดูภูเขา ดูอะไรพวกนี้ ขอใช้คำว่า พวกเราดูได้ไม่รู้เบื่อจริงๆ



เริ่มมืดแมลงก็เริ่มมากันยกใหญ่ กิจกรรมจะไปมีอะไรทำได้นอกจากตั้งวง คุยกันทั้งเรื่องเก่า เรื่องใหม่ นึกอะไรได้ก็ขุดขึ้นมาคุยกันยาว

ช่วงสี่ทุ่มดาวเริ่มเต็มท้องฟ้า ประกอบกับที่แพน้ำเอ่อนั้นไม่มีไฟฟ้าใช้จึงทำให้ค่อนข้างมืดสนิท เห็นดาวชัดเจนมาก เราทำสิ่งที่ไม่คิดว่าถ้าอยู่ที่กรุงเทพฯเราจะทำแบบนี้กัน เพราะคงเขินๆ พวกเรานอนเรียงกันบนแพที่โคลงไปโคลงมา ดูดาวที่ระยิบระยับเต็มฟ้า ชี้ดาวนั่นทีดาวนี่ที เราประทับใจความรู้สึกตอนนั้นที่สุด วินาทีนั้นเราไม่มีตำแหน่งหน้าที่ ทุกคนวางตัวตน วางบทบาทในสังคมของตน เราคือเพื่อน เพื่อนที่ร่วมทุกข์และสุขด้วยกันตลอดการเดินทาง เรามีอุดมการณ์เดียวกัน และพึงพอใจกับวิถีนี้ร่วมกัน สำหรับเรามันมีคุณค่า และมันเป็นคำพูดเชยๆที่ว่า... เงินซื้อไม่ได้จริงๆ



คืนนั้นเรานอนกางเต็นท์กันบนแพ ความโคลงไปโคลงมาจะอยู่ร่วมกับเราไปจนจบทริป(--') เช้ามา มีสายหมอกไหลผ่านหุบเขา เป็นภาพประทับใจอีกครั้ง พี่เจ้าของแพบอกว่า หากมาในเดือนธันวาคม หมอกจะลอยขึ้นจากผิวน้ำ คงจะสวยน่าดู







อาหารกันตายของพวกเราคือสุกี้รีพีท ต้มแล้วต้มอีกกินแล้วกินอีก สรุปนับแล้วสามมื้อรวดติดกัน เพราะพวกเราไม่ได้หาข้อมูลจริงๆว่าของกินจะหายากขนาดนั้น พวกเราทุกคนกลับมากรุงเทพฯโดยที่ทุกคนงดกินสุกี้ไปสักพัก และเป็นมุกแซวกันประจำกลุ่มโดยปริยาย

สรุปทริปนี้นะคะ หากคุณชอบท่องเที่ยวแบบธรรมชาติจริงจัง ไม่เน้นความสบาย ไม่เน้นฮิปๆโก้ๆ แต่ได้ความหมายของชีวิต เชิญที่ บ้านน้ำเอ่อ จังหวัดกาญจนบุรีค่ะ





ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
ขอบคุณเพื่อนผู้ร่วมทริปทุกคนที่ร่วมประสบการณ์
ขอบคุณใจของเราที่พาร่างกายไปถึง
ขอบคุณทุกๆสิ่งเลยค่ะที่ทำให้ทริปนี้เกิดขึ้น
ชื่อสินค้า:   แพน้ำเอ่อ
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่