จากภาพจะเห็นการเปรียบเทียบระหว่างการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED กับตลาดหุ้นไทย จากการสังเกตจะเห็นว่า FED ขึ้นดอกเบี้ยจะเหมือนเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจโลกไปในตัว เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีศักยภาพอย่างมาก เมื่ออเมริกาฟื้นโลกก็จะฟื้นเพราะอเมริกามีอัตราการบริโภคที่สูง โดยเมื่อเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยจะมีเงินไหลออกจากต่างประเทศเพื่อกลับไปลงทุนในอเมริกาเป็นช่วงสั้นๆ ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีขาลงในช่วงสั้นๆเช่นกัน แต่เมื่อเศรษฐกิจอเมริกาฟื้น FED จะค่อยๆขึ้นดอกเบี้ย ภาพรวมเศรษฐกิจโลกก็ฟื้นธุรกิจในไทยก็ฟื้นตามภาพใหญ่ ตลาดหุ้นก็เริ่มขึ้นเช่นกันแต่จะไม่ได้ขึ้นตลอดเพราะเมื่อดอกเบี้ยขึ้นไปสูงมาก จะมีการปรับฐานลงมาเพราะภาคธุรกิจจะต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่หลังจากนั้นหุ้นก็จะปรัขึ้นไปใหม่ซึ่งแสดงถึงภาคธุรกิจปรับตัวได้แล้ว สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าอเมริกามีความสำคัญมากในตลาดทุนในอดีต แต่ในปัจจุบันอาจมีอะไรที่แตกต่างออกไปบ้าง เช่น
1. ในครั้งนี้ที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวมีเพียงอเมริกากับบงประเทศที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจของประเทษที่ยังไม่ฟื้นต้องรับผลกรรมหนักเข้าไปอีก
2. ตลาดในภูมิภาคเอเชียผูกพันอย่างใกล้ชิดกับจีน ซึ่งขึ้นมามีบทบาทในตลาดเงิน ตลาดทุนของโลกอย่างมาก (หยวนเข้าไปอยู่ใน IMF เรียบร้อยแล้ว) โดยในตอนนี้จีนยังประสบปัญหาการถดถอยทางเศรษฐกิจ จึงอาจทำให้การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้กราฟอาจจะไม่เป็นเหมือนเก่า
3. การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้ค่าเงินดอลล่าแข็งค่าขึ้น ซึ่งก็คือทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงไปอีก ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมหรือภาคนำเข้าที่ต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้น
4. เศรษฐกิจอเมริกาเริ่มหันมาเน้นภายในประเทศมากกว่าภายนอก ทำให้การฟื้นของอเมริกาอาจจะไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกเหมือนในอดีตมากนัก
5. การขึ้นมาผงาดของเวียดนามในอาเซียน และการเปิดตลาดของพม่าอาจจะแย่งส่วนแบ่งการลงทุนในไทย เพราะมีภาคการเมืองและเศรษฐกิจที่มีอนาคตกว่าไทย ที่ยังมีปัญหาด้านการเมืองอยู่
6. ปัญจัยด้านสงครามการก่อการร้ายในตะวันออกกลางจะยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง เพราะอาจส่งผลหลักในอนาคตได้ โดยในตอนนี้มีประเทศต่างๆที่เข้าร่วมเพิ่มขึ้น ทั้งอเมริกาที่ลงทุนด้านอาวุธและการเงิน ส่วนฝรั่งเศษ อังกฤษ เยอรมัน กำลังส่งทหารเข้าไปร่วมรบมากขึ้น ในทางฝั่งรัสเซียก็เข้าไปเกินครึ่งแล้ว รอเพียงพันธมิตที่สำคัญอย่างจีนจะเข้ามาเพิ่ม เพราะตอนนี้จีนเข้าทางแอฟริกา
สุดท้ายประเด็นต่างๆ จะกดราคาน้ำมันเช่นนี้ต่อไปจนกว่านักลงทุนจะกังวลเรื่องสงครามมากขึ้น ประเด็นที่ผมยกมาเป็นความเห็นส่วนตัว ผิดถูกอย่างไรชี้แนะตามเหตุผลได้ครับ
ติดตามเพจได้ที่
https://www.facebook.com/Investment-for-student-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-1519848498288167/
หรือกดค้นหา Investment for student - ตัวอ่อนนักลงทุน
Fed ขึ้นดอกเบี้ยส่งผลต่อไทยอย่างไร
จากภาพจะเห็นการเปรียบเทียบระหว่างการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED กับตลาดหุ้นไทย จากการสังเกตจะเห็นว่า FED ขึ้นดอกเบี้ยจะเหมือนเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจโลกไปในตัว เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีศักยภาพอย่างมาก เมื่ออเมริกาฟื้นโลกก็จะฟื้นเพราะอเมริกามีอัตราการบริโภคที่สูง โดยเมื่อเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยจะมีเงินไหลออกจากต่างประเทศเพื่อกลับไปลงทุนในอเมริกาเป็นช่วงสั้นๆ ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีขาลงในช่วงสั้นๆเช่นกัน แต่เมื่อเศรษฐกิจอเมริกาฟื้น FED จะค่อยๆขึ้นดอกเบี้ย ภาพรวมเศรษฐกิจโลกก็ฟื้นธุรกิจในไทยก็ฟื้นตามภาพใหญ่ ตลาดหุ้นก็เริ่มขึ้นเช่นกันแต่จะไม่ได้ขึ้นตลอดเพราะเมื่อดอกเบี้ยขึ้นไปสูงมาก จะมีการปรับฐานลงมาเพราะภาคธุรกิจจะต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่หลังจากนั้นหุ้นก็จะปรัขึ้นไปใหม่ซึ่งแสดงถึงภาคธุรกิจปรับตัวได้แล้ว สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าอเมริกามีความสำคัญมากในตลาดทุนในอดีต แต่ในปัจจุบันอาจมีอะไรที่แตกต่างออกไปบ้าง เช่น
1. ในครั้งนี้ที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวมีเพียงอเมริกากับบงประเทศที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจของประเทษที่ยังไม่ฟื้นต้องรับผลกรรมหนักเข้าไปอีก
2. ตลาดในภูมิภาคเอเชียผูกพันอย่างใกล้ชิดกับจีน ซึ่งขึ้นมามีบทบาทในตลาดเงิน ตลาดทุนของโลกอย่างมาก (หยวนเข้าไปอยู่ใน IMF เรียบร้อยแล้ว) โดยในตอนนี้จีนยังประสบปัญหาการถดถอยทางเศรษฐกิจ จึงอาจทำให้การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้กราฟอาจจะไม่เป็นเหมือนเก่า
3. การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้ค่าเงินดอลล่าแข็งค่าขึ้น ซึ่งก็คือทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงไปอีก ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมหรือภาคนำเข้าที่ต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้น
4. เศรษฐกิจอเมริกาเริ่มหันมาเน้นภายในประเทศมากกว่าภายนอก ทำให้การฟื้นของอเมริกาอาจจะไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกเหมือนในอดีตมากนัก
5. การขึ้นมาผงาดของเวียดนามในอาเซียน และการเปิดตลาดของพม่าอาจจะแย่งส่วนแบ่งการลงทุนในไทย เพราะมีภาคการเมืองและเศรษฐกิจที่มีอนาคตกว่าไทย ที่ยังมีปัญหาด้านการเมืองอยู่
6. ปัญจัยด้านสงครามการก่อการร้ายในตะวันออกกลางจะยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง เพราะอาจส่งผลหลักในอนาคตได้ โดยในตอนนี้มีประเทศต่างๆที่เข้าร่วมเพิ่มขึ้น ทั้งอเมริกาที่ลงทุนด้านอาวุธและการเงิน ส่วนฝรั่งเศษ อังกฤษ เยอรมัน กำลังส่งทหารเข้าไปร่วมรบมากขึ้น ในทางฝั่งรัสเซียก็เข้าไปเกินครึ่งแล้ว รอเพียงพันธมิตที่สำคัญอย่างจีนจะเข้ามาเพิ่ม เพราะตอนนี้จีนเข้าทางแอฟริกา
สุดท้ายประเด็นต่างๆ จะกดราคาน้ำมันเช่นนี้ต่อไปจนกว่านักลงทุนจะกังวลเรื่องสงครามมากขึ้น ประเด็นที่ผมยกมาเป็นความเห็นส่วนตัว ผิดถูกอย่างไรชี้แนะตามเหตุผลได้ครับ
ติดตามเพจได้ที่ https://www.facebook.com/Investment-for-student-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-1519848498288167/
หรือกดค้นหา Investment for student - ตัวอ่อนนักลงทุน