ยาบ้ามันคืออะไร แล้วมันไม่ดีตรงไหน อยากรู้มั้ย.... มา เดี๋ยวเราเล่าให้ฟัง....

บทที่หนึ่ง - คนเก่ง
                  ........ประมาณปี 37-38 ผมไม่แน่ใจนัก  รู้แต่ว่าตอนนั้น  ผมเป็นนักดนตรีที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในย่านรังสิตกันเลยทีเดียว  วงของเราชื่อวง แคสเปอร์  ด้วยความที่ตอนนั้น กระแสเพลงอินดี้มาแรงมาก และวงผมก็จัดว่าเป็นวงที่ยังสดใหม่  ในความที่พวกเรายังอายุน้อย และเป็นวงที่เล่นดนตรีสดได้ค่อนข้างมันส์ล่ะมั๊ง  ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของแขกในร้านพอสมควร จำได้ว่า เราต้องเล่นดนตรีกันตั้งแต่รอบเที่ยงวัน รอบสี่โมง รอบสี่ทุ่ม แถมยังต้องวิ่งรอกไปเล่นร้านอื่นกันด้วย เรียกได้ว่า ตื่นมายังไม่ได้ทันอะไร ก็ต้องแหกขี้ตามาเล่นดนตรีกันแล้ว แต่มันก็เป็นความสุขนะ ที่ได้เห็นแขกในร้านมีความสุขกับเรา  แต่เชื่อไหม ในขณะที่รอบตัวผมเต็มไปด้วยอบายมุข แต่ผมแทบจะไม่แตะต้องเหล้าหรือเบียร์เลย นอกเสียจากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เมื่อเวลาที่แขกส่งให้ ก็จำเป็นต้องจิบพอเป็นพิธี บุหรี่นี่ตัดไปเลย ผมไม่ชอบเอาซะเลย รู้สึกว่ามันเหม็นยังไงบอกไม่ถูก ยิ่งเวลาไอ้กั้ง มือเบสวงผมมันสูบเนี่ย  แหม..อยากโดดถีบ เพราะมันเป็นสมาชิกในวงที่มีอายุมากที่สุด และหน้าหม้อที่สุดด้วย เวลามันเล่นเบส  มันจะใชัมือขวาดีดเบส แล้วคีบบุหรี่ไว้ระหว่างนิ้วนางกับนิ้วก้อย แล้วพอจะดูดก็เอามาคีบไว้ที่ปาก ประมาณว่ามันเป็น SLASHมือกีตาร์วง GUN’N ROSE นั่นแหละ มันคงคิดว่ามันเท่ห์เต็มที่ ( ยิ่งเวลาวันใหนมีแขกสาวๆมาเยอะ ไอ้กั้งดูดบุหรี่เป็นโรงสี  โยกหัวกระจาย แต่น่าแปลก ทั้งๆที่หน้าตามันก็ประมาณ น้าเหี่ยวฟ้า ตลกชื่อดัง จนแขกประจำส่วนมากจะเรียกมันว่า น้ากั้ง แต่มันกลับฟาดผู้หญิงเป็นว่าเล่น สาวๆชอบมันเยอะ เคยถึงขนาดจับทอมทำเมียมาแล้ว เอากะมันสิ ..!...)  ใหนจะไอ้แอ๋มือกีตาร์อีกคน ไอ้นี่ไม่หน้าหม้อ ไม่พูด ไม่จอยแขก ไม่สนใจผู้หญิง ไม่อะไรซักอย่าง   มันขี้อาย ( เคยส่งไมค์จะให้มันร้องเพลง มันแทบจะร้องไห้  เฮ้ย....นี่ไมค์นะเฟ๊ย  ไม่ใช่หนังสือศาลาคนเศร้า  ..........) ไอ้แอ๋เนี่ย  โรงงานยาสูบน่าจะติดต่อมันไปเป็นพรีเซ็นเตอร์   เพราะไม่ว่าจะเวลาใด แอ๋จะต้องมีบุหรี่คาบอยู่ที่ปากตลอด ไม่ว่าจะเล่นกีตาร์  ก่อนนอนและหลังตื่นนอน ก่อนอาหารและหลังอาหาร ขี้หรือเยี่ยว ฯลฯ  มันสูบตลอด ( อ้อ ...ลืมบอกไป  ไอ้สองตัวเนี่ยเค้าเป็นคนบ้านเดียวกัน มาจากเพชรบูรณ์ด้วยกัน  ตอนแรกก็มาพร้อมกับวงมันนั่นแหละ ไปใงมาใงไม่รู้  ทางวงมันหนีกลับบ้านกันหมด เหลือมันสองคนโดนทิ้งอยู่เนี่ย  พอดีตอนที่จะตั้งวง ผมก็ขาดมือกีตาร์กับมือเบสพอดี ก็เลยมารวมวงกันเนี่ยแหละ .....) ลำพังไอ้สองตัวนี่ ผมก็โดนรมควันจะแย่อยู่แล้ว  แล้วใหนจะแขกอีกล่ะ คนกินเหล้า เค้าก็ต้องสูบบุหรี่เป็นธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาน่าจะเป็นผม  เพราะผมไม่เคยเห็นว่าบุหรี่มันเท่ห์ ตรงใหนเลย เหม็นก็เหม็น  แต่ของพรรค์นี้ มันว่ากันไม่ได้นะ  เพราะคนสูบบุหรี่จะไม่รู้หรอกว่ากลิ่นบุหรี่มันเหม็นขนาดใหน  เมื่อใหร่ที่เค้าเลิกบุหรี่นั่นแหละ  เค้าถึงจะรู้ว่า มันเหม็นโคตรๆ  นี่ยังดีที่ไอ้ออดมือกลอง กับไอ้แต้งนักร้องนำ  มันไม่ค่อยดูดเท่าไหร่นะ  กระนั้นก็เถอะ กว่าจะเลิกงาน น้ำหอมของสาวๆ ก็ไม่สามารถ กลบกลิ่นโรลออนกลิ่นบุหรี่ที่เพื่อนๆผู้ปรารถนาดีของผมประเคนมาให้ได้...  พูดถึงในตอนนั้น สิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าเหล้า เบียร์  หรือบุหรี่ ไม่เคยอยู่ในหัวผมเลยนะ  เพราะในช่วงเวลานั้น ผมมีแต่งาน กับความฝัน ที่ผมแบกมาจนเต็มบ่าเท่านั้น   ผมฝันจะเป็นนักร้องออกเทป มีเพลงเป็นของตัวเอง ลืมบอกไปในช่วงนั้นผมเป็นนักแต่งเพลงอยู่ที่ค่ายเทปต่างประเทศแห่งหนึ่งด้วย  แต่ด้วยความที่งานดนตรีที่มีอยู่ล้นมือ  ทำให้ไม่มีเวลาไปทุ่มเทกับการเขียนเพลงได้เต็มที่ ประกอบกับความที่เกรงใจพี่ๆทีมงานเพลงด้วย  ทำให้ผมต้องเดินมาถึงทางแยกที่จำเป็นต้องเลือก  ด้วยความที่เป็นเด็ก ไม่สามารถทนอยู่กับสภาวะบีบคั้นทางอารมณ์และความเครี่ยดได้  ผมขอลาออกมาจากค่ายแห่งนั้นด้วยน้ำตานองหน้า  ยังจำคำที่พี่ปู หัวหน้าทีมแต่งเพลงบอกผมได้ดี ว่าโอกาส  มันไม่ได้มีกันง่ายๆ หลายคนเค้าอยากจะเข้ามายืนตรงนี้ แต่ทำไมผมถึงทิ้งโอกาส  ไม่รู้สิ  ตอนนั้นผมห่วงทางวงผมมากกว่า  ด้วยความที่ผมเป็นหัวหน้าวงด้วยล่ะมั๊ง  ผมรู้สึกสนุกกับงานดนตรีมากกว่าการต้องมาประชุม แล้วกลับไปด้วยการที่เพลงไม่ผ่าน ทุกครั้ง  ผมรู้สึกท้อแท้และยอมแพ้โดยหารู้ไม่ว่านี่คือประสบการณ์อันล้ำค่า  ที่พี่ๆพยามสอนผมให้เรียนรู้มัน ซึ่งมันต้องใช้เวลา แต่ผมก็ถอดใจเสียก่อน นึกแล้วยังเสียใจอยู่ทุกวันนี้ ทั้งๆที่พี่ๆพยายามรั้งผมแล้วนะ ( แต่อย่างว่าแหละนะ  เหมือนชีวิตผมโดนขีดไว้ให้ต้องมาเจอกับประสบการณ์ที่มันยิ่งกว่า ประสบการณ์ที่ต้องแลกด้วยชีวิต จนแทบเอาชีวิตไม่รอด  ซึ่งคุณจะได้รู้และได้สัมผัสกับมันในหนังสือเล่มนี้ ในไม่ช้า ......)  แต่ยังดีที่ผมยังมีโอกาสมีชื่อบนปกเทปกับเขาครั้งหนึ่งในชีวิตเชียวนะ  ไม่อยากรู้เหรอ เอาน่า  มันเป็นความภูมิใจของผมเลยเชียวนะ   มันนานมากแล้วล่ะ  แต่ถ้าใครมีเทปของ ต้น ชาญณัฐ  เจ้าของเพลงดัง  มหัศจรรย์แห่งรัก นั่นแหละ    เปล่า.... เพลงนี้ผมไม่ได้แต่ง  ผมแต่งเพลงในอีกอัลบั้มของเขา อัลบั้มนั้น มีชื่ออัลบั้มว่า  : ครั้งที่เจ็ด :  .......เพลงที่ผมแต่ง ชื่อเพลง  “  ตาชั้นเดียว ” พลิกดูตรงเครดิตคนแต่ง  นั่นล่ะ  ชื่อผม ภูมิใจมากครับ ถึงแม้มันจะเป็นเพลงที่โดนแก้ จนเหลือเค้าของผมประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นพี่ๆเขาช่วยกันแก้ให้ก็เหอะ  อย่างน้อย ผมก็ทำความฝันข้อแรก จากทั้งหมด สี่ข้อสำเร็จแล้ว       (   ผมมีความฝันในตอนนั้นอยู่สี่ข้อ  ข้อแรก  อยากเป็นนักดนตรี   อันนี้ได้เป็นแล้ว ข้อสอง อยากเป็นนักแต่งเพลง อันนี้ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว     ข้อสาม อยากเป็นนักเขียนการ์ตูน   ข้อนี้เดี๋ยวเล่าให้ฟังต่อ  ข้อสี่ อยากออกเทป ข้อนี้ถือว่าสะเออะมาก แต่อยากอ่ะ ทำไงได้  )    หลังจากที่ผมออกจากการเป็นนักแต่งเพลง ผมก็มาสานฝันอย่างที่สามคือการเป็นนักเขียนการ์ตูน  ในช่วงนั้น การ์ตูนไทยกำลังเข้าสู่ยุดพัฒนา และเข้าสู่ความเป็นมาตรฐานสากลขึ้น หลังจากที่หนังสือการ์ตูนไทยเป็นการ์ตูนPIRATE  ( พูดง่ายๆก็คือเป็นการ์ตูนไม่มีลิขสิทธ์นั่นแหละ..... )  ตอนนั้น หนังสือการ์ตูนไม่มีลิขสิทธิ์ที่ดังมากๆ มีอยู่ 2 – 3 ค่าย  อันดับหนึ่ง ต้องนี่เลย THE ZERO  ของสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ รองลงมาก็น่าจะเป็น THE TALENT ของสำนักพิมพ์มิตรไมตรี  แล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้น  เมื่อสำนักพิมพ์ วิบูลย์กิจ เป็นค่ายแรก ที่เลิกผลิตการ์ตูนไม่มีลิขสิทธ์ อย่างสิ้นเชิง และเปลี่ยนมาเป็นซื้อลิขสิทธ์อย่างถูกต้อง  พร้อมทั้งเปิดตัวหนังสือการ์ตูนการ์ตูนมีลิขสิทธ์เล่มแรก นั่นคือ VIVA FRIDAY  และนั่นก็เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้หนังสือการ์ตูนไม่มีลิขสิทธ์หลายค่ายต้องปิดตัวลง พร้อมทั้งการเกิดขึ้น ของค่ายการ์ตูนลิขสิทธ์ถูกต้องหลายค่ายมาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็น NATION EDDUTENMENT ,  SIAM INTER COMIC, บุรพัฒณ์ ....ฯลฯ  (  อา.....แฟนพันธุ์แท้เหมือนกันแฮะเรา ......)  และในช่วงนี้เอง ค่ายวิบูลย์กิจ ก็ได้เปิดตัวหนังสือการ์ตูนที่เป็นฝีมือของคนไทยแท้ๆ ขึ้นมาอีกเล่ม ( ประมาณว่าเสียตุลการค้าไปเยอะแล้วน่ะนะ ......แฮ่ม  ถึงเวลาเอาคืนจากพี่ยุ่นเค้ามั่งล่ะ....)  ในชื่อว่า THAI COMIC และผมถือว่าหนังสือเล่มนี้นี่แหละที่ทำให้การ์ตูนไทยพัฒนาขึ้นอย่างมาก   ( อะแฮ่ม บ.ก วัฒน์ครับ ถ้าจะให้ค่าประชาสัมพันธ์ ผมก็ไม่ว่ากันนะ  5555......) thai comic เปิดโอกาสให้นักเขียนการ์ตูนทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น ได้มีโอกาสนำเสนอผลงาน และหากผลงานใหนเข้าตา ก็จะได้รับการตีพิมพ์และได้รับเงินรางวัลด้วย และนั่นเอง  ทำให้ผม ซึ่งถือได้ว่าพอมีฝีมือในเรื่องวาดภาพอยู่บ้าง ได้นำเสนอผลงานกับเค้าด้วย  ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ หรือว่าชาติที่แล้วผมอาจจะเป็น  ลีโอนาโด ดาวินซี่ แหงๆ   เพราะผลงานที่ผมส่งไปนำเสนอ ผ่านและได้รับการตีพิมพ์ทั้งหมด  ( โอ้ ! พระเจ้า ผมคงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้.....) ผลงานชิ้นแรก เป็นการประกวดวาดฮีโร่ในจินตนาการ  ผมคว้ารางวัลที่สาม  พระเอกในจินตนาการในตอนนั้นของผม มันชื่อ CHILLI MAN              หรือเรียกง่ายๆ ว่ายอดมนุษย์พริกขี้หนูนั่นแหละ เป็นฮีโร่พันธ์พริก จะแปลงร่างทีก็ต้องกินพริกเข้าไป ถึงจะเก่ง ว่างั้นเถอะ ภูมิใจครับ  ดีใจว่าเราก็เป็นหนึ่งในตองอูเหมือนกันนะ  จำได้ว่าตอนนั้นแทบจะปิดซอยเลี้ยงอ้อยควั่นกันทั้งซอย  ยังครับ ยังไม่หมด  ผลงานชิ้นที่สอง ที่ได้รับการตีพิมพ์ เป็นการ์ตูนสี สี่หน้าจบครับ  อันนี้จะเริ่มเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาหน่อย ชื่อเรื่องว่า speed  ครับ เรื่องมันก็ประมาณว่า พระเอกมันปวดขี้น่ะครับ แต่หนทางที่จะไปห้องน้ำมันยากเย็นเหลือเกิน มีแต่มารมาผจญตลอด แต่สุดท้าย พระเอก ก็คือพระเอกนั่นแหละครับ สุดท้ายก็เข้าห้องน้ำจนได้   ถามว่าดีใจใหมที่ได้ตีพิมพ์  แน่นอนครับ   ดีใจมาก  หนนี้ตั้งใจว่าจะเลี้ยงปิดซอยเลี้ยงถั่วต้มกันเลยทีเดียว  หลังจากที่การ์ตูนผ่านไปทั้งสองครั้ง  ความเหิมเกริม มันก็เลยมากขึ้น  คราวนี้ผมตั้งใจเขียนการ์ตูนเป็นเรื่องเลย  ไฟมันแรงน่ะนะ  ผมก็เลยลงมือวาดการ์ตูนขึ้นมาหนึ่งเรื่อง และพระเอกก็ไม่ใช่ใครที่ใหน  มันคือ CHILLI MAN  นั่นเองแหละครับ พระเอกในจินตนาการ ที่ผมเคยได้รางวัลมานั่นเอง ก็เลยเอาเป็นพระเอกคู่บุญไปซะเลย ผมลงมือวาดตอนที่หนึ่งทันที ไม่นานนัก ตอนเปิดตัวก็เสร็จเรียบร้อย  คราวนี้ ผมบุกถึงสำนักพิมพ์เลย      สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ เป็นที่ที่ผมผมตั้งใจไปเสนอผลงาน  และที่นั่นเอง ทำให้ผมได้พบกับผู้ชายมีใฝใจดีคนนีง เขาคือ บ.ก วัฒน์ครับ  ผู้ชายคนนี้แหละ คือผู้ชายในอุดมคติของผม  (  เอ่อ....อย่าพึ่งเข้าใจผิด  ผมไม่ได้เป็นโฮโม และไม่ได้เป็นเกย์ครับ  สาวๆ สบายใจได้.....อะแฮ่ม...) พี่วัฒน์เป็นคนที่รักการ์ตูนจริงๆ  โดยที่ไม่ต้องพร่ำเพ้อสรรพคุณ เหมือนนักการเมืองทั่วไป  ผมรู้สึกได้ พี่วัฒน์คุยกับผมถึงเรื่องราวทั้งหมด โดยคร่าวๆ ผมก็เล่าให้แกฟัง แกก็อือๆ  อาๆ  ไปตามเรื่อง เหมือนจะไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไหร่  แต่ผมสิ  เกร็งซะเยี่ยวเหนียวไปหมด  มันมีความรู้สึกว่าเหมือนเรากำลังไปเกณฑ์ทหาร ยังใงยังงั้นเลย นึกภาพประมาณ นักโทษ กำลังรอฟังผลการตัดสินจากผู้พิพากษาประมาณนั้นแหล่ะ ผมกำลังรู้สึกอย่างงั้นเลย   และแล้วการรอคอยที่ยาวนานก็สิ้นสุดลง เมื่อพี่วัฒน์บอกว่า ให้ผมลงมือเขียนตอนต่อไป  แล้วให้เอามาส่งแกทุกเดือน จนกว่าจะจบ โอ! มันหมายความว่าการ์ตูนของผมผ่านหรือครับพี่   ตอนนั้นผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงของพี่วัฒน์เลยด้วยซ้ำไป ว่าให้ไปเปิดบัญชีของธนาคารกสิกรไทย เพื่อจะจ่ายค่าต้นฉบับ โอย...ผมทำสำเร็จแล้ว  พี่วัฒน์ตอบรับต้นฉบับของผมแล้ว  ผมอยากจะกลับไปเล่าให้หลวงพ่อ แม่ และพี่ต๋อม ซึ่งเป็นครอบครัวของผมฟังจังเลย  ว่าผมทำสำเร็จแล้ว  แต่ผมก็ไม่สามารถทำได้ เพราะครอบครัวของผม  มันแตกสาแหรกขาดไปหมดแล้ว  หลวงพ่ออยู่ทางนึง แม่อยู่ทางนึง พี่แต๋มพี่สาวของผมก็อยู่ไปอีกทางนึง ผมไม่สามารถส่งความภูมิใจของผมไปให้พ่อแม่พี่น้องผมได้เลย  ผมได้แต่ภูมิใจอยู่ลึกๆในใจคนเดียว  ผมกลับมาตั้งหน้าตั้งตาเขียนการ์ตูน พร้อมทั้งเล่นดนตรีไปด้วย  บางวันที่ไม่มีเวลา หรืองานมันรัดตัว จะมีหลายๆคนเห็นผมเล่นดนตรีเสร็จ แล้วไปนั่งเขียนการ์ตูนอยู่หลังร้าน ผมเขียนการ์ตูนพร้อมทั้งเล่นดนตรีไปด้วย ในตอนนั้นผมพยายามจะเขียนการ์ตูนส่งพี่วัฒน์ประมาณเดือนละ 16 หน้า  ยอมรับว่าตอนนั้นการ์ตูนเรื่องDRAGON BALL ค่อนข้างจะมีอิทธิพลกับผมมาก อาจารย์ โทริยาม่า อากิระ แกจะวาดเรื่องDRAGON BALL ตอนละสิบหกหน้าเหมือนกัน  ผมก็เลยเอาอย่างแก  ผมวาดการ์ตูนตอนละ 16 หน้าต่อเดือน แต่เรื่องราวของผมเป็นคนละอย่างกับอาจารย์โทริยาม่า การ์ตูนเรื่องCHILLI MAN ของผมเป็นการต่อสู้ของพืชผัก ผลไม้  ไม่มีการต่อสู้ที่รุนแรงถึงชีวิต แต่เป็นการต่อสู้แบบน่ารัก พระเอกของผมเป็นพริก  ตัวโกงเป็นดอกทานตะวัน จะว่าตลกก็ไม่เชิง แต่สิ่งที่ผมต้องการนำเสนอ คือผมเชื่อว่า ไม่มีใครที่เลวไปซะหมด และไม่มีใครที่ดีไปซะทุกอย่าง  ในความเป็นพระเอกของCHILLI MAN ก็มีส่วนที่ไม่ดีในตัวเค้า  และในการเป็นตัวโกงของดอกทานตะวันก็จะมีความน่ารักในแบบฉบับของเขาซ่อนอยู่ เช่นกัน ในมุมหนึ่ง คุณอาจจะเห็นว่าโรบินฮู๊ด เป็นโจร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่