"พระอรหันต์ของบุตรธิดา"
" ..
ทำไมจึงว่าความคิดที่ว่า "มารดาบิดาครูอาจารย์ไม่มีบุญคุณเป็นบาป"
ก็เพราะมารดาบิดาครูอาจารย์ท่านเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะมารดาบิดาด้วยแล้วเป็นผู้มีพระคุณต่อบุตรธิดาเป็นที่สุด
จนพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า "มารดาบิดาเป็นพระอรหันต์ของบุตรธิดา"
พระพุทธองค์นั้นก็ทรงเป็นพระอรหันต์พระองค์หนึ่ง คือพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงพระคุณเหนือท่านผู้ทรงพระคุณทั้งหลาย แต่กระนั้นก็ทรงกล่าวว่า
สำหรับบุตรธิดาแล้วมารดาบิดาเปรียบเหมือนพระอรหันต์ทีเดียว
คือทรงพระคุณต่อบุตรธิดาเหนือท่านผู้ทรงพระคุณทั้งหลายทีเดียว
เช่นนี้แล้วบุตรธิดาใดคิดหรือพูดว่า "มารดาบิดาไม่มีบุญคุณต่อบุตรธิดา
จึงเป็นการทำบาปกรรมเป็นอย่างยิ่ง" เพียงคิดเท่านั้นไม่ต้องพึงปฏิบัติต่อท่านสถานอื่น
ก็เป็นบาปกรรมหนักหนาแล้ว "ยิ่งถึงกับแสดงออกทางกายกรรมต่อท่านด้วยแล้ว
บาปกรรมนั้นก็พ้นประมาณ ถ้าทำให้ท่านถึงกับเสียชีวิต ก็เป็นอนันตริยกรรม"
การพูดก็ตาม การกระทำอื่นใดก็ตาม ที่ไม่สมควรกับมารดาบิดา
ล้วนมีเหตุมาจากความคิดที่ว่า "มารดาบิดาไม่มีบุญคุณทั้งสิ้น"
ดังนั้นจึงกล่าวว่า "ความคิดนั้นเป็นบาป เป็นเหตุแห่งบาปอกุศลอย่างยิ่ง
ผลของบาปนั้นก็ดังได้กล่าวแล้ว เริ่มที่จิตใจของผู้เป็นเจ้าของความคิดที่ไม่ประกอบด้วยเหตุผล
ไม่เป็นความจริง ไม่เที่ยงตรง เป็นความร้อนความวุ่น
"มารดาบิดาทั้งหลายก็เป็นปุถุชน
ย่อมมีเวลาที่ทำสิ่งที่อาจไม่ถูกต้อง ที่เป็นการพลาดพลั้งไปได้มากบ้างน้อยบ้าง"
หากบุตรธิดามีความคิดว่า "ท่านไม่มีบุญคุณเพราะไม่ได้ตั้งใจให้บุตรธิดามาเกิด
เวลาท่านพลาดพลั้งไปบ้างหนักนิดเบาหน่อย บุตรธิดาก็มีปฏิกิริยาต่อท่านอย่างรุนแรง"
แต่ถ้ามีความคิดอยู่ว่า "มารดาบิดาเป็นผู้ทรงพระคุณของบุตรธิดาแล้ว
เวลาท่านพลาดพลั้งไปบ้างตามวิสัยปุถุชน ปฏิกิริยาที่รุนแรงก็จะไม่เกิด"
จะน้อยใจเสียใจก็จะเป็นไปแบบธรรมดา ที่มีความเคารพรักในมารดาบิดาเป็นเหตุ
ความรุนแรงอื่น ๆ จะไม่ตามมา
ทุกวันนี้ มีข่าวบุตรธิดาประทุษร้ายมารดาบิดาบ่อย ๆ จนบางข่าวก็แทบจะเหลือเชื่อ
"คือเป็นการแสดงความอกตัญญูจนเหลือเชื่อ" หรือจะกล่าวว่า
เป็นการไม่กลัวบาปกลัวกรรมที่หนักหนาจนเหลือเชื่อก็ถูกเช่นกัน
นี่ก็เป็นเพราะทุกวันนี้ "มีการคิดการพูดการชักชวนให้เกิดความเข้าใจว่า มารดาบิดาไม่มีบุญคุณ"
ไม่ได้ตั้งใจให้บุตรธิดามาเกิด ชักชวนให้เห็นไปว่า มารดาบิดาเป็นผู้เห็นแก่ตัวเท่านั้น
ซึ่งที่จริงจะหาเหตุผลอะไรมายกให้เห็นว่าเป็นความจริงเช่นนั้นก็หามีไม่
ไม่มีผู้ใดอาจหาเหตุผลมายกประกอบได้เลย ตรงกันข้าม มีเหตุผลบริบูรณ์ที่แสดงว่า
"มารดาบิดามีความรักความเมตตากรุณาต่อบุตรธิดา
ยิ่งกว่ามีความรักความเมตตากรุณาต่อชีวิตของท่านเอง .. "
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
พระอรหันต์ของบุตรธิดา (สมเด็จพระญาณสังวร)
"พระอรหันต์ของบุตรธิดา"
" .. ทำไมจึงว่าความคิดที่ว่า "มารดาบิดาครูอาจารย์ไม่มีบุญคุณเป็นบาป"
ก็เพราะมารดาบิดาครูอาจารย์ท่านเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะมารดาบิดาด้วยแล้วเป็นผู้มีพระคุณต่อบุตรธิดาเป็นที่สุด
จนพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า "มารดาบิดาเป็นพระอรหันต์ของบุตรธิดา"
พระพุทธองค์นั้นก็ทรงเป็นพระอรหันต์พระองค์หนึ่ง คือพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงพระคุณเหนือท่านผู้ทรงพระคุณทั้งหลาย แต่กระนั้นก็ทรงกล่าวว่า
สำหรับบุตรธิดาแล้วมารดาบิดาเปรียบเหมือนพระอรหันต์ทีเดียว
คือทรงพระคุณต่อบุตรธิดาเหนือท่านผู้ทรงพระคุณทั้งหลายทีเดียว
เช่นนี้แล้วบุตรธิดาใดคิดหรือพูดว่า "มารดาบิดาไม่มีบุญคุณต่อบุตรธิดา
จึงเป็นการทำบาปกรรมเป็นอย่างยิ่ง" เพียงคิดเท่านั้นไม่ต้องพึงปฏิบัติต่อท่านสถานอื่น
ก็เป็นบาปกรรมหนักหนาแล้ว "ยิ่งถึงกับแสดงออกทางกายกรรมต่อท่านด้วยแล้ว
บาปกรรมนั้นก็พ้นประมาณ ถ้าทำให้ท่านถึงกับเสียชีวิต ก็เป็นอนันตริยกรรม"
การพูดก็ตาม การกระทำอื่นใดก็ตาม ที่ไม่สมควรกับมารดาบิดา
ล้วนมีเหตุมาจากความคิดที่ว่า "มารดาบิดาไม่มีบุญคุณทั้งสิ้น"
ดังนั้นจึงกล่าวว่า "ความคิดนั้นเป็นบาป เป็นเหตุแห่งบาปอกุศลอย่างยิ่ง
ผลของบาปนั้นก็ดังได้กล่าวแล้ว เริ่มที่จิตใจของผู้เป็นเจ้าของความคิดที่ไม่ประกอบด้วยเหตุผล
ไม่เป็นความจริง ไม่เที่ยงตรง เป็นความร้อนความวุ่น "มารดาบิดาทั้งหลายก็เป็นปุถุชน
ย่อมมีเวลาที่ทำสิ่งที่อาจไม่ถูกต้อง ที่เป็นการพลาดพลั้งไปได้มากบ้างน้อยบ้าง"
หากบุตรธิดามีความคิดว่า "ท่านไม่มีบุญคุณเพราะไม่ได้ตั้งใจให้บุตรธิดามาเกิด
เวลาท่านพลาดพลั้งไปบ้างหนักนิดเบาหน่อย บุตรธิดาก็มีปฏิกิริยาต่อท่านอย่างรุนแรง"
แต่ถ้ามีความคิดอยู่ว่า "มารดาบิดาเป็นผู้ทรงพระคุณของบุตรธิดาแล้ว
เวลาท่านพลาดพลั้งไปบ้างตามวิสัยปุถุชน ปฏิกิริยาที่รุนแรงก็จะไม่เกิด"
จะน้อยใจเสียใจก็จะเป็นไปแบบธรรมดา ที่มีความเคารพรักในมารดาบิดาเป็นเหตุ
ความรุนแรงอื่น ๆ จะไม่ตามมา
ทุกวันนี้ มีข่าวบุตรธิดาประทุษร้ายมารดาบิดาบ่อย ๆ จนบางข่าวก็แทบจะเหลือเชื่อ
"คือเป็นการแสดงความอกตัญญูจนเหลือเชื่อ" หรือจะกล่าวว่า
เป็นการไม่กลัวบาปกลัวกรรมที่หนักหนาจนเหลือเชื่อก็ถูกเช่นกัน
นี่ก็เป็นเพราะทุกวันนี้ "มีการคิดการพูดการชักชวนให้เกิดความเข้าใจว่า มารดาบิดาไม่มีบุญคุณ"
ไม่ได้ตั้งใจให้บุตรธิดามาเกิด ชักชวนให้เห็นไปว่า มารดาบิดาเป็นผู้เห็นแก่ตัวเท่านั้น
ซึ่งที่จริงจะหาเหตุผลอะไรมายกให้เห็นว่าเป็นความจริงเช่นนั้นก็หามีไม่
ไม่มีผู้ใดอาจหาเหตุผลมายกประกอบได้เลย ตรงกันข้าม มีเหตุผลบริบูรณ์ที่แสดงว่า
"มารดาบิดามีความรักความเมตตากรุณาต่อบุตรธิดา
ยิ่งกว่ามีความรักความเมตตากรุณาต่อชีวิตของท่านเอง .. "
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก