คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
เราเข้าใจความรู้สึกเจ้าของกระทู้ค่ะ
ถึง Training plan จะระบุว่า ต้อง rotate ไปแผนกนี้ แผนกนั้นทุก 4 เดือนนะ แถมยังมีรับรองว่าต้องทำงานไม่ต่ำกว่า 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่พอมาเทรนจริงๆมันก็ไม่เป็นตามที่สัญญาระบุไว้ ของเราก็เป็นค่ะ สิ่งที่เราทำอย่างแรกคือส่งอีเมลหา General Manager ของโรงแรม ก็มีดราม่ากับเมเนเจอร์แผนกที่เราอยู่ นางก็เกลียดเราไปเลยค่ะ แต่เราดีใจที่หลุดพ้นจากนางมาได้ เราเทรนแผนกแรกเกือบ 5 เดือน เทรนก็เหมือนไม่ได้เทรนค่ะ ไม่ได้สอนอะไรจริงๆจังๆ จุดประสงค์ที่จะได้รับจากแผนกต่างๆเขียนไว้สวยหรู แต่เรื่องจริงก็รู้ๆกันอยู่ค่ะ ซึ่งแผนกแรกที่เราต้องเทรนจริงๆคือ F&B แต่แผนกจัดเลี้ยงคนไม่พอ นางเลยขอให้ไปช่วย ก็ตกหลุมพรางไปค่ะ
พอย้ายมา F&B ดูเหมือนจะดี แต่ปัญหาคือ ชั่วโมงทำงานน้อยเพราะพนักงานเยอะค่ะ บางอาทิตย์เราทำแค่ 2-3 วัน เคยได้ pay check ต่ำสุดก็ 300 กว่าดอล เราเลยส่งอีเมลไปหาเอเจนซี่ค่ะ พอดีเอเจนซี่เราเป็นของอเมริกานะคะ เราไม่ค่อยไว้ใจเอเจนซี่ที่ไทยค่ะ เลยสมัครผ่านเอเจนซี่ที่นี่โดยตรง เราก็ส่งตารางงาน pay check ที่เราได้ เขียนไปยาวมากค่ะ ประหนึ่งเขียนเรียงความ เอเจนซี่ก็ตกใจค่ะ เลยไปคุยกับ General Manager ให้ เราก็เอา pay check ไปให้ผู้จัดการ F&B ดู เขาก็ขอโทษเรา หลังจากนั้นชั่วโมงงานก็เพิ่มบ้างลดบ้าง เราเคยขอเอเจนซี่ย้ายโรงแรม แต่เขาก็ไม่ย้ายให้ค่ะ เพราะเขาคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่รับมือได้ นอกจากทำงานร้านอาหารก็ไปช่วยที่บาร์ค่ะ เราไม่มีใบอนุญาตให้แตะต้องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่วันนั้นบาร์ไม่มี bartender เราก็ต้องเสิร์ฟค่ะ เราคิดว่ามันมากเกินไป มันแสดงให้เห็นว่าระบบการจัดการห่วย ทำไมไม่รู้จักหา outsource staff ที่จะ on call ได้เวลามีเรื่องฉุกเฉินน เราโกรธเมเนเจอร์มากค่ะ ไม่คุยด้วย แถมมีหน้ามาบอกให้ปิดเป็นความลับ เรื่องอะไรเราจะต้องปิด เราเลยไปบอก GM ค่ะ ถ้ามีคนมาตรวจ คนที่เดือนร้อนก็คือโรงแรม ก็จบดราม่าไป ที่จริงยังมีอีกเยอะค่ะ ว่างๆก็อยากจะตั้งกระทู้ Internship ขายฝันหรือหลอกสร้างฝัน
มาเข้าเรื่องคำถามที่เจ้าของกระทู้ถามนะคะ เราคิดว่า ไม่สามารถหางานเองได้ค่ะ นอกจากร้านที่จ่ายเงินสด เช่น ร้านอาหารไทยบางที่ สมมติว่าโดนไล่ออก เราคิดว่าโรงแรมก็จะแจ้งไปที่เอเจนซี่ เรื่องถึงสปอนเซอร์ จากนั้น USCIS ก็จะรู้ว่าเราถูกไล่ออก ก็คิดว่าน่าจะต้องกลับทันที
ส่วนเรื่องเปลี่ยนวีซ่าเป็นวีซ่านักเรียนก็ไม่ง่ายนะคะ อย่าลืมว่าติดกฎ 2-year rule banned ก็ต้องทำเรื่องขอ waive ออกก่อน ไม่ใช่อยากสมัครเรียนก็สมัครได้เลยนะคะ
เราก็คิดเหมือนเจ้าของกระทู้ค่ะที่ว่า เสียเงินมาแล้ว อะไรที่ไม่ตรงตามสัญญา เราก็ควรทำให้มันถูกต้อง เราบอก GM จนเขารำคาญเราไปแล้วค่ะ แต่เราก็ไม่แคร์ เราก็ปลงๆบ้างเวลาวนมาลูปเดิม ยังไงก็สู้ๆนะคะ ขอให้ทุกอย่างราบรื่นและผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ
ถึง Training plan จะระบุว่า ต้อง rotate ไปแผนกนี้ แผนกนั้นทุก 4 เดือนนะ แถมยังมีรับรองว่าต้องทำงานไม่ต่ำกว่า 32 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่พอมาเทรนจริงๆมันก็ไม่เป็นตามที่สัญญาระบุไว้ ของเราก็เป็นค่ะ สิ่งที่เราทำอย่างแรกคือส่งอีเมลหา General Manager ของโรงแรม ก็มีดราม่ากับเมเนเจอร์แผนกที่เราอยู่ นางก็เกลียดเราไปเลยค่ะ แต่เราดีใจที่หลุดพ้นจากนางมาได้ เราเทรนแผนกแรกเกือบ 5 เดือน เทรนก็เหมือนไม่ได้เทรนค่ะ ไม่ได้สอนอะไรจริงๆจังๆ จุดประสงค์ที่จะได้รับจากแผนกต่างๆเขียนไว้สวยหรู แต่เรื่องจริงก็รู้ๆกันอยู่ค่ะ ซึ่งแผนกแรกที่เราต้องเทรนจริงๆคือ F&B แต่แผนกจัดเลี้ยงคนไม่พอ นางเลยขอให้ไปช่วย ก็ตกหลุมพรางไปค่ะ
พอย้ายมา F&B ดูเหมือนจะดี แต่ปัญหาคือ ชั่วโมงทำงานน้อยเพราะพนักงานเยอะค่ะ บางอาทิตย์เราทำแค่ 2-3 วัน เคยได้ pay check ต่ำสุดก็ 300 กว่าดอล เราเลยส่งอีเมลไปหาเอเจนซี่ค่ะ พอดีเอเจนซี่เราเป็นของอเมริกานะคะ เราไม่ค่อยไว้ใจเอเจนซี่ที่ไทยค่ะ เลยสมัครผ่านเอเจนซี่ที่นี่โดยตรง เราก็ส่งตารางงาน pay check ที่เราได้ เขียนไปยาวมากค่ะ ประหนึ่งเขียนเรียงความ เอเจนซี่ก็ตกใจค่ะ เลยไปคุยกับ General Manager ให้ เราก็เอา pay check ไปให้ผู้จัดการ F&B ดู เขาก็ขอโทษเรา หลังจากนั้นชั่วโมงงานก็เพิ่มบ้างลดบ้าง เราเคยขอเอเจนซี่ย้ายโรงแรม แต่เขาก็ไม่ย้ายให้ค่ะ เพราะเขาคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่รับมือได้ นอกจากทำงานร้านอาหารก็ไปช่วยที่บาร์ค่ะ เราไม่มีใบอนุญาตให้แตะต้องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่วันนั้นบาร์ไม่มี bartender เราก็ต้องเสิร์ฟค่ะ เราคิดว่ามันมากเกินไป มันแสดงให้เห็นว่าระบบการจัดการห่วย ทำไมไม่รู้จักหา outsource staff ที่จะ on call ได้เวลามีเรื่องฉุกเฉินน เราโกรธเมเนเจอร์มากค่ะ ไม่คุยด้วย แถมมีหน้ามาบอกให้ปิดเป็นความลับ เรื่องอะไรเราจะต้องปิด เราเลยไปบอก GM ค่ะ ถ้ามีคนมาตรวจ คนที่เดือนร้อนก็คือโรงแรม ก็จบดราม่าไป ที่จริงยังมีอีกเยอะค่ะ ว่างๆก็อยากจะตั้งกระทู้ Internship ขายฝันหรือหลอกสร้างฝัน
มาเข้าเรื่องคำถามที่เจ้าของกระทู้ถามนะคะ เราคิดว่า ไม่สามารถหางานเองได้ค่ะ นอกจากร้านที่จ่ายเงินสด เช่น ร้านอาหารไทยบางที่ สมมติว่าโดนไล่ออก เราคิดว่าโรงแรมก็จะแจ้งไปที่เอเจนซี่ เรื่องถึงสปอนเซอร์ จากนั้น USCIS ก็จะรู้ว่าเราถูกไล่ออก ก็คิดว่าน่าจะต้องกลับทันที
ส่วนเรื่องเปลี่ยนวีซ่าเป็นวีซ่านักเรียนก็ไม่ง่ายนะคะ อย่าลืมว่าติดกฎ 2-year rule banned ก็ต้องทำเรื่องขอ waive ออกก่อน ไม่ใช่อยากสมัครเรียนก็สมัครได้เลยนะคะ
เราก็คิดเหมือนเจ้าของกระทู้ค่ะที่ว่า เสียเงินมาแล้ว อะไรที่ไม่ตรงตามสัญญา เราก็ควรทำให้มันถูกต้อง เราบอก GM จนเขารำคาญเราไปแล้วค่ะ แต่เราก็ไม่แคร์ เราก็ปลงๆบ้างเวลาวนมาลูปเดิม ยังไงก็สู้ๆนะคะ ขอให้ทุกอย่างราบรื่นและผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ขอคำปรึกษาและแชร์ประสบการณ์ Internship ที่ Riverdale North Dakota, U.S.A.
เริ่มจากเราสนใจทั้งเรื่องเรียนภาษาและโครงการ internship ก็เลยลองมาคิดๆ หาข้อมูล และสรุปได้ว่ามาโครงการ internship 1 ปี ก่อนดีกว่า เพราะว่าโครงการนี้เรามาได้ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าเรียนภาษาเรามากี่ครั้งก็ได้ จะได้ได้ประสบการณ์การทำงานด้วย เราจบทางด้าน Tourism and Hospitality มา งานสายนี้จึงหาไม่ยากนักค่ะ แต่รวมๆ เวลาทำเรื่องก็ 9 เดือนอยู่เหมือนกัน แต่ก็โอเคค่ะ เราเข้าใจ เราจะเร่ง Visa sponsor ก็ไม่ได้
เราทำเรื่องผ่านเอเจนซี่ค่ะ ทางเอเจนซี่นี้เบื้องต้นตอนเราสมัคร เราชอบตรงที่ผ่อนจ่ายได้ระหว่างทำงาน เดือนละ $200 12 เดือน เราจะได้แบ่งเบาภาระที่บ้าน ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด และที่สำคัญคือมีการ Rotate งานทุก 4 เดือน เราอยากลองทำงานหลายๆ แผนก แล้วเอเจนซี่นี้ตรงโจทย์เราตรงนี้พอดีค่ะ แต่ขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อบริษัทและวีซ่าสปอนเซอร์นะคะ
เริ่มจากเรื่อง “เอกสาร” นะคะ
โครงการ internship จะแตกต่างจาก WAT คือ
- เราจะเลือกเมือง เลือกงานเองไม่ได้ค่ะ ถ้าไม่เอาที่นี่ก็ต้องรอแล้วเราจะไม่ทราบว่าที่อื่นที่เปิดรับสมัครโครงการนี้จะเข้ามาอีกเมื่อไหร่
- งานจะต้องตรงตามสายที่เราเรียนมา
- ไม่ทำงานแรงงาน เช่น แม่บ้าน
หลังจากสมัครไปสักพัก พี่เอเจนซี่บอกว่าได้งานแล้วนะ ไม่ต้องสัมภาษณ์ค่ะ ได้งานที่ Riverdale, North Dakota ขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อโรงแรมนะคะ แต่ถ้าลองหาในกูเกิ้ลแล้วทราบแน่นอนค่ะ เรามีเวลาหาข้อมูลเมืองนี้อยู่ 2 วัน ตอนแรกไม่อยากได้เมืองนี้จริงๆ ค่ะ ทางเอเจนซี่บอกว่าถ้าเราไม่เลือกเมืองนี้ต้องรออีกทีปีหน้า ซึ่งเราจะเรียนจบเกิน 1 ปี จะร่วมโครงการนี้ไม่ได้ค่ะ สุดท้ายก็โอเค ตกลง คิดซะว่ามาทำงานแล้วค่อยหาเวลาไปเที่ยวก็ได้ หรือค่อยเก็บเงินมาเรียนอีกทีก็ได้ หลังจากตอบตกลงไป ทางเอเจนซี่ส่งเอกสาร DS 7002 มาให้ ในเอกสารระบุว่าเราได้ 7.25 ต่อชั่วโมงไม่รวมทิป ทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เริ่มงาน 15 กรกฎาค่ะ ก็โอเค เราก็เซ็นไป แต่ดันเกิดปัญหากับระบบบางอย่างในสถานทูตทำให้เราต้องเลื่อนวันทำงานไปเรื่อยๆ จนถึงเดือนพฤศจิกาค่ะ
หลายเดือนต่อมาทางเอเจนซี่ส่งเอกสาร Job Offer มา ระบุว่า
- มียูนิฟอร์มให้
- มีอาหารให้ระหว่างทำงาน
- แต่รายได้ถูกลดเหลือชั่วโมงละ $6.25 (ข้อนี้เราสอบถามทางเอเจนซี่และน้องที่เคยมาค่ะ น้องบอกว่าเค้าจ่ายไม่ตรงตามเอกสารอยู่แล้ว ได้มากกว่านั้นอยู่แล้วค่ะ เราเลยคิดว่า เอ้อออ อาจจะหน้าที่ไม่เหมือนกัน ทำหน้าที่อื่นคงได้เพิ่ม เพราะเอเจ้นบอกว่าเค้าเขียนให้ดูต่ำไว้ก่อน แต่ได้ที่นี่ทิปเยอะมากๆ เพราะว่าน้องที่เคยมาทำช่วงซัมเมอร์ได้กลับไปหลายหมื่นอยู่เหมือนกันค่ะ เราก็โอเค จะได้เก็บเงินไว้มาเรียนภาษาต่อปีหน้า)
หลังจากเซ็นยอมรับไปไม่กี่วัน DS 7002 ส่งมาอีกครั้งค่ะ ระบุว่า
- เราได้หน้าที่ Focus on Customer Service 4 เดือน, Restaurant Operation Focus 4 เดือน และ Service Operations 4 เดือน
- ชั่วโมงงาน 32-40 ชั่วโมง
- พนักงานทั้งหมด 80 คน
- รายได้ $6.25/ชั่วโมง
เราก็นึกถึงว่าทำไมไม่ตรงกับ DS-7002 ฉบับแรก ทางเอเจ้นบอกว่าฉบับแรกคือแบบร่างเฉยๆ ค่ะ แต่ทีนี้เราคิดว่าเราทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเซ็นสัญญาไปแล้ว
หลังจากนั้นเราได้สัมภาษณ์กับวีซ่าสปอนเซอร์ ก็คุยกันทั่วๆ ไปค่ะ เช่น เป็นไงบ้าง เตรียมตัวรึยัง ND หนาวนะ อยู่ได้แน่นะ ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายค่ะ ถึงตอนนั้นจะบอกว่าไม่ได้ค่ะ! ก็ไม่ทันล้าววววว เซ็นเอกสารไปล้าวววว
“ก่อนมาอเมริกา”
เงื่อนไขการจ่ายเงินเปลี่ยนค่ะ แม้สัญญาจะเขียนไว้ว่าเราผ่อนจ่าย 12 เดือน ทางเอเจนซี่ต้องการให้เราจ่ายทั้งหมด เหมือนเอเจนซี่ที่อื่น เราเลยต่อรองว่าตามสัญญาเป็นผ่อนจ่ายนะ เพราะเราอยากออกค่าใช้จ่ายเอง ไม่รบกวนแม่ เลยตกลงกันได้ที่จ่ายก่อน 6 เดือน ที่เหลือผ่อน 6 เดือนเมื่อไปถึงอเมริกาแล้ว เดือนละ $200 ก็โอเค เจอกันครึ่งทาง
“มาถึงอเมริกา”
หลังจากเริ่มงานได้ 2 วัน ร้องไห้ค่าา!! ก่อนหน้านี้เตรียมใจไว้แล้วค่ะว่าเป็นเมืองเล็ก แนวต่างอำเภอบ้านเรา ซึ่งเราอยู่ได้นะ เพราะเราไม่ใช่คนหรูหราฟู่ฟ่าอะไร ไม่ชอบเมืองที่เจริญมากๆ ด้วยซ้ำ เราจะแยกปัญหาที่เราเจอเป็นข้อๆ นะคะ
การใช้ชีวิต
- เมืองนี้ไม่มีแม้กระทั่งร้านสะดวกซื้อ
- ร้านอาหารมีร้านเดียวคือโรงแรมที่เราทำงานค่ะ โรงแรมไม่เล็กไม่ใหญ่
- ร้านคอฟฟี่ชอปมีร้านเดียวเหมือนกันค่ะ เป็นร้านที่นายจ้างเราเป็นเจ้าของ
- เมืองห่างจาก Bismarck ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง นายจ้างมีรถให้ 1 คันสำหรับพนักงาน เวลาไปในเมืองต้องไปพร้อมกันเยอะๆ เพราะแต่ละคนมีธุระแตกต่างกันค่ะ อารมณ์เดียวกะไปทัวร์เลย ซื้อของต้องวิ่ง ต้องรีบซื้อค่ะ เวลามีน้อย
การทำงาน
- พนักงานทั้งหมด 18 คน (ในสัญญา 80 คน) เป็นคนเอเชียทั้งหมดค่ะ ไม่มีคนอเมริกันเลยนอกจากนายจ้าง 2 คน
- เวลาทำงานทั้งหมดวันละ 5 ชั่วโมง 5 วัน 25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (ในสัญญา 32-40 ชั่วโมง) แต่นายจ้างให้เราไปทำที่ร้านคอฟฟี่ชอปด้วยค่ะ อาทิตย์ละ 1 วัน ก็จะเป็น 31 ชั่วโมง ซึ่งก็โอเค แต่พี่คนไทยอีก 2 คนที่มาจากต่างเอเจนซี่กันไม่ได้ทำค่ะ เพราะคนเต็ม
- เบื้องต้นก่อนมีปัญหา เราได้ทำแม่บ้านค่ะ วันละ 2-3 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 2 วัน การทำแม่บ้านคือล้างห้องน้ำกับปูเตียงค่ะ แต่บอกเลยว่าไม่เหมือนโรงแรมที่คิดๆ กัน คือไม่มีมาตรฐานจริงๆ ค่ะ
- ไม่มียูนิฟอร์มให้ เวลาทำแม่บ้านเราก็ใส่ชุดลำลองธรรมดาเลยค่ะ ไม่มีแม้กระทั่งผ้าปิดปาก เราต้องหาซื้อเอง
- ไม่มีอาหารให้ระหว่างทำงาน ถ้าซื้ออาหารของโรงแรมลดได้ 50% ค่ะ ก็จะตกมื้อละ 6 เหรียญ
- ด้วยความที่เป็นช่วง Low Season ซึ่งข้อนี้เราเข้าใจ ลูกค้าจะน้อย ทิปก็จะน้อย ชั่วโมงงานจะถูกลดไปตามจำนวนพนักงานค่ะ บางวันพนักงาน 8 คนลูกค้าโต๊ะเดียวก็มี แต่ข้อนี้เราเข้าใจจริงๆ ค่ะ
- ไม่มีการ Rotate งานตามที่เอกสารแจ้งเอาไว้ค่ะ จะทำแบบนี้ไปทั้งปี คือเช้าทำแม่บ้าน อาทิตย์ละ 2 วัน ตอนเย็นทำบาร์ คือเสิร์ฟบ้าง ชงเหล้าบ้าง
- ไม่มีการเทรนนิ่งค่ะ สอนกันแบบปากต่อปาก แต่ละคนจะสอนไม่เหมือนกัน บางทีก็ครูพักลักจำค่ะ
ทั้งหมดทั้งมวล เรารับไม่ได้ค่ะ ไม่ใช่ว่าเรารักสบาย เรารับงานอีเว้นท์ตอนเรียนตลอด งานแม่บ้านถือว่าเบไปเลยค่ะ แต่เพราะมันไม่ถูกต้อง เราไม่ชอบอะไรที่ไม่แฟร์ การเอาเปรียบเพราะเห็นว่าเราคือผู้น้อย เราจึงเรียกร้อง เบื้องต้นคุยกับเอเจนซี่ค่ะ เค้าบอกว่าเราต้องคุยกับวีซ่าสปอนเซอร์ เพราะเค้ามีอำนาจให้เราย้ายได้ค่ะ แล้วช่วงนั้นวีซ่าสปอนเซอร์จะมาเยี่ยมที่นี่พอดี เราก็เลยรอ เพราะเราอยากอธิบายต่อหน้าด้วย
ขอเกริ่นก่อนนะคะ พนักงานที่มีปัญหาคือคนที่มา internship คืออยู่เกิน 1 ปีค่ะ ส่วนตัวเราคิดว่าที่นี่โอเคกับการมาช่วงซัมเมอร์สั้นๆ จะโอเคมาก แต่ถ้ามาเกินปี ช่วง Low นอกจากอากาศที่ติดลบ ก็เงินนี่แหละค่ะ แทบจะต้องขอที่บ้านเพิ่ม เราปรึกษาพนักงานในโรงแรมบ้างว่าทำไมไม่มีใครทำอะไร ทั้งๆ ที่ไม่พอใจกัน ทุกคนกลัวนายจ้างค่ะ กลัววีซ่าสปอนเซอร์ terminate วีซ่า ทุกคนเคยขอย้ายแล้วค่ะ แต่นายจ้างไม่ให้ย้าย ไม่เคยให้ใครย้ายด้วยค่ะ และเอเจนซี่ทุกคนให้เหตุผลเดียวกันแม้จะคนละประเทศกันว่า “ถ้าไม่เลือกที่นี่ ก็ต้องรอไปอีกหลายเดือน เพราะที่นี่เป็นที่เดียวที่เปิดรับพนักงานตลอด” ทุกคนบอกว่าพยายามคุยกับนายจ้างแล้ว แต่ไม่เกิดผล จึงถอดใจกันไปค่ะ แต่เราไม่คิดแบบนั้น ถ้าเรายอมมันเหมือนวนลูป เหมือนสนับสนุนเค้า แล้วจะมีน้องๆ อีกกี่คนมาเจอแบบนี้
วันที่วีซ่าสปอนเซอร์มาเยี่ยม นายจ้างสั่งให้ทุกคนห้ามพูดเรื่องทำแม่บ้าน แก้ตารางเวลางานที่ทำแม่บ้านเป็น day off ทั้งหมด ห้าม intern และ trainee ไปอยู่หลังบาร์หรือชงเหล้า ไม่ต้องล้างแก้วเหมือนปกติ เราโกรธมากค่ะตอนนั้น เราไม่ชอบที่เค้าปกปิด เราถามเพื่อนร่วมงานว่าจะบอกสปอนเซอร์ตรงๆ มั้ย? ถ้าบอกเรามีโอกาสได้ย้ายงานกันนะ หรือไม่นายจ้างอาจจะปรับปรุงอะไรให้ดีกว่านี้ รุ่นน้องที่มาจะได้ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ เค้าค่อนข้างกลัวและกังวลกันค่ะ ว่าถ้านายจ้างรู้จะทำยังไง? ถ้าเค้าต้องทำงานที่นี่ต่อไปเค้าก็อึดอัด ซึ่งตรงนี้เราก็เข้าใจ ถ้าไม่พูดก็ไม่เป็นไร แต่เราจะพูด เพราะเราคิดว่ามันไม่ถูกต้อง เราตัดสินใจพูดค่ะ
เราบอกสปอนเซอร์ว่าเราไม่มีความสุขที่อยู่ที่นี่ เราต้องการย้าย มันไม่ตรงจุดประสงค์ด้วย แล้วหลายๆ อย่างก็ไม่ตรงตามสัญญา รายได้ที่เราได้ไม่พอใช้ เพราะชั่วโมงงานไม่ถึง เค้าก็โยนไปทางเอเจนซี่ที่ไทยว่าทางเอเจนซี่ควรบอกข้อมูลให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่โยนมาเป็นปัญหาของเค้า เราก็แก้ต่างให้เอเจนซี่ที่ไทยว่า เพราะพวกเค้าไม่รู้ คนที่มาที่นี่ไม่เคยพูดว่าได้ทำอะไรบ้าง เพราะกลัวนายจ้างโกรธ กลัวถูก terminate วีซ่า คือก็เถียงกันไปมาสักพัก ด้วยความที่เราก็ตรงแล้วข้อมูลเราครบจริงค่ะ เราถ่ายรูปไว้หมด ตอบได้ทุกคำถาม แต่ถ้าอันไหนเราผิด เราก็ยอมรับ เช่น เรื่องเซ็นสัญญา เราก็ขอโทษที่ทำให้เค้าวุ่นวาย แต่เราไม่เหมาะกับที่นี่ จนเค้าจนมุมบอกว่าโอเคจะเอาเรื่องเข้าที่ประชุมกับทางบริษัทแล้วกัน คำพูดเค้าค่อนข้างเข้าข้างที่นี่ และชอบที่นี่ค่ะ เราเห็นด้วยที่เค้าบอกนายจ้างดูแลพนักงานดี บ้านดี ยอมรับค่ะ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเหมือนกันที่เค้าทำผิดสัญญาแล้วจงใจปกปิด
วันต่อมาสปอนเซอร์บอกนายจ้างว่ามีคน Complain เรื่องทำแม่บ้านค่ะ นายจ้างโกรธแล้วหาตัวคนพูด ซึ่งทุกคนรู้อยู่แล้วแหละว่าเป็นเรา เพราะเรากบฎสุดๆ แล้วก็ตรงสุดๆ แต่วันนั้นเราหยุดพอดี เลยไม่ได้คุยกับนายจ้าง แต่ด้วยความที่สปอนเซอร์คนที่มากับนายจ้างเค้าทำธุรกิจร่วมกัน นายจ้างเลยพูดว่าอยากบอกก็บอกไปสิ ฉันไม่แคร์ เราก็เลยเอะใจแล้ว ว่าสปอนเซอร์คนที่มาช่วยเราไม่ได้แน่ เราเลยแจ้งเอเจนซี่ว่าคุยกันไปแล้วนะ เค้าเลยหางานให้ค่ะ แต่ทีนี้ทางสปอนเซอร์เมล์มาบอกว่า เค้าไม่คิดว่าเรื่องยูนิฟอร์มกับอาหารจะเป็นปัญหาใหญ่ (ไม่พูดถึงเรื่องอื่นเลยค่ะ อย่างเรื่องแม่บ้านที่ผิดกฏ) และเราควรอยู่ที่นี่ จบ! ใช่ค่ะ พัง รีเซ็ตตัวเองไปสองสามวัน ยอมรับเลยว่าคิดเรื่องหนี ใจมันไม่อยู่แล้ว นายจ้างก็รู้ว่าเรากบฏ แต่คิดไปคิดมา เราไม่ผิดหนิ เราไม่หนีสิ เราจะกลัวทำไม คนที่ทำผิดสัญญาคือนายจ้าง ก็ทน(อีกแล้ว) คิดไปยันเรื่องกลับไปเปลี่ยนวีซ่านักเรียน อยากเก็บเงินมาเอง แต่พอมาคำนวณ โอ้โห! เงินจะกินจะใช้ยังไม่พอเลยค่ะ ไม่อยากขอที่บ้านแล้ว ที่มารวมค่าเครื่องก็สามแสนแล้วค่ะ สงสารที่บ้าน ยังอยากสู้ต่อนะ แต่พักไปคิดหาวิธีอยู่ 2-3 วัน
(ต่อด้านล่างค่ะ)
ปล.กระทู้แรก หากผิดพลาดประการใด ขออภัยนะคะ