คุณเห็นอะไรในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่มากกว่าความสนุก

หนังสือนอกจากที่จะเป็นสื่อกลางระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านและยังเป็นเหมือนกระจกคอยสะท้อนให้ผู้อ่านได้เห็นความจริงในสังคม เหมือนกับวลีที่ว่า “เรื่องแต่งมักเขียนมาจากเรื่องจริง”
    “แฮร์รี่ พอตเตอร์” วรรณกรรมเยาวชนอันโด่งดังเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกันนอกจากความสนุกสนานที่ โรว์ลิ่งได้มอบให้แก่ผู้อ่านแล้วยังแอบแทรกสภาพสังคมไว้อีกด้วย
    “แฮร์รี่ พอตเตอร์” วรรณกรรมอันโด่งดัง เรื่องราวการผจญภัยของเด็กหนุ่มที่ต้องต่อสู้กับเจ้าแห่งศาสตร์มืดที่ต้องการที่จะครอบครองโลก
    โลกในหนังสือเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นโลกของพ่อมดแม่มดที่อยู่ร่วมกับโลกของมักเกิ้ล(ผู้ไร้เวทมนต์) ในลักษณะของโลกคู่ขนาน คือต่างฝ่ายต่างอยู่ในโลกของตนเอง เหล่าพ่อแมดแม่มดต้องหลบซ้อนตัว ต้องคอยปกปิดโลกเวทมนต์เป็นความลับในโลกเวทมนต์ก็มีทุกๆอย่างเหมือนกับโลกของมักเกิ้ล มีรัฐบาล นั่นคือกระทรวงเวทมนต์ มีรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนต์
สังคมในโลกเวทมนต์ไม่ได้ต่างไปจากสังคมของเราเลย พวกเค้ามีช่องว่างระหว่างชนชั้นเหมือนกันเรา มีคนรวย คนจน มีการแบ่งชนชั้นระหว่างสายเลือดอย่างชัดเจน  ระหว่างเลือดบริสุทธิ์ เลือดผสม เลือดสีโคลน และมีคนอีกประเภทที่ต้อยต่ำและถูกดูถูกเหยียดหยามไม่ต่างจากพวกเลือดสีโคลนเลยก็คือ พวกคนที่พิการทางเวทมนต์ คือคนที่เกิดมากพ่อมดแม่มดแต่กลับไม่มีเวทมนต์เรียกว่า สควิป มีคนอีกประเภทหนึ่งที่โดนดูถูกอย่างมาก คือ มนุษษย์หมาป่า พวกมนุษย์หมาป่ามักถูกผู้คนในชุมชนผู้วิเศษรังเกียจ พวกเค้ามองว่ามนุษย์หมาป่าเป็นปีศาจที่ไร้วิญญาณและสมควรตาย ไม่มีความสงสารหรือเมตตาต่อมนุษย์หมาป่า
ความรวย - ความจน สภาพของสังคมที่แพร่ขยายมาในหนังสือชุดนี้ก็มีให้พบเห็นอย่างเช่นการเปรียบเทียบครอบครัวสองครอบครัวที่มีความแตกต่างกันเรื่องของเงินทอง นั่นคือ ครอบครัว มัลฟอย และครอบครัววีสลีย์ โรว์ลิ่ง ได้แอบแทรกเอาไวเว่าคนรวยสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่เค้าต้องการเพียงเพราะเค้ามีเงิน แม้แต่ในระบบของความยุติธรรมยังไม่มีความเท่าเทียม ครอบครัวมัลฟอยไม่โดนจับจากข้อหาการมีของวิเศษที่มีอันตรายในครอบครอง เนื่องจากเค้าเป็นตะกูลที่สูงศักดิ์และร่ำรวย
    แฮร์รี่ พอตเตอร์ แม้จะเป็นเรื่องราวในโลกของพ่อมดแม่มดแต่ก็ไม่พ้นที่จะพบเจอปัญหาต่างๆในสังคม ที่บางทีเราอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่เมื่อมันหยั่งรากลึกลงในสังคมกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่จนขนาดทำให้เกิดสงครามขึ้น
    “โวลเดอมอร์” พ่อมดผู้เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด โวลเดอมอร์ เป็นตัวละครที่สะท้อนจิตสำนึกของคนเราได้อย่างชัดเจนนั่นคือ ความต้องการที่จะสำเร็จ ความต้องการที่จะยิ่งใหญ่ อยากชะ อยากมีชื่อเสียง สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งหอมหวานที่ใครก็ตามล้วนปรารถนา แต่มากน้อยแตกต่างกัน โวลเดอมอร์ เป็นเสมือนเครื่องบอกว่า คนเราหันเข้าหาความชั่วร้ายได้ง่ายดายเพียงใด เรามาดูกันเถอะว่าพ่อมดผู้ที่เคยเป็นเด็กชายธรรมดาๆคนหนึ่งจะพาตัวเองขึ้นมาเป็นเจ้าแห่งศาสตร์มืดและก่อความเลวร้ายต่างๆในโลกวิเศษนี้ได้อย่างไร
    ทอม มาร์โวโล่ ริดเดิ้ล เด็กกำพร้าธรรมดาๆ เด็กชายผู้น่าสงสาร เค้าเกือบจะเป็นเหมือนเด็กผู้ชายธรรมดาๆเหมือนเด็กคนอื่นๆในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่มีพ่อไม่มีแม่และเคยโหยหา แต่เพราะเค้ามีเวทมนต์ทำให้เค้าพิเศษกว่าคนอื่นๆ เค้ารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เค้าเป็นนั้นแตกต่างจากคนอื่น เค้ารู้ว่าเค้าวิเศษกว่าคนอื่น เค้าใช้สิ่งที่เหนือกว่าคนอื่นกดขี่เด็กคนอื่นๆในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า จนวันที่เค้ารู้ความจริงว่าเค้าเป็นพ่อมดทำให้เค้ารู้สึกมีความหวัง มีความรู้สึกว่าเค้าจะต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่
    ในขณะที่เรียนอยู่ที่ฮอกวอตส์ ทอมเป็นนักเรียนที่โดดเด่นไปด้วยความสามารถ เค้าเรียนเก่ง เป็นคนที่ฉลาดและเก่งกาจ เป็นพรีเฟ็ด(กรรมการนักเรียน) เป็นประธานนักเรียน ได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่น เป็นนักเรียนคนโปรดของนรรดาอาจารย์ทั้งหลาย เค้ากลายเป็นที่เชิดหน้าชูตา บ้าในอำนาจและชื่อเสียงทำให้เค้าหลงละเลิง และปรารถนาที่จะครอบครองโลก นั่นจึงทำให้เค้าหันหน้าเข้าหาศาสตร์มืดและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง จอมมาร
เมื่อเค้าได้ก้าวเข้ามาในโลกของเวทมนต์ เค้าเริ่มที่จะค้นหาพ่อแม่ของเค้า เค้ากระหายที่จะรู้ว่าตัวเองมีเทือกเขาเหล่ากอยังไง มันไม่ได้เป็นสิ่งที่แปลกเลยที่เค้าอยากรู้อยากเห็น เมื่อเค้าค้นพบว่าตัวเองเป็นถึงทายาทของ ซัลลาซาร์ สลิธีริน พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ หนึ่งในผู้ก่อตั้งฮอกวอตส์ ในส่วนนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมที่เรียกว่า “ผู้ดีเก่า” แม้หนังสือเรื่องนี้จะถูกเขียนโดยนักเขียนชาวอังกฤษแต่ก็พบภาพสะท้อนที่คุ้นตา แสดงว่าสิ่งนี้มีในทุกๆสังคม
    เมื่อเค้ารู้ประวัติความเป็นมาของตัวเค้า เค้ายิ่งรู้สึกว่าเค้ายิ่งใหญ่ ไม่เหมือนใคร และยิ่งเกลียดมักเกิ้ล เพราะพ่อของเค้าเป็นมักเกิ้ล เป็นเหมือนปมด้อยในชีวิตของเค้า เค้าได้เปลี่ยนชื่อจาก ทอม ริ้ดเดิ้ล ชื่อที่เค้ารังเกียจ เป็นโวลเดอมอร์ จนผู้คนรุ่นหลังต่างก็ลืมเลือนไปแล้วว่าเค้าเป็นเด็กชายลูกกำพร้า
    ปมด้อยของเค้าอาจเปรียบได้กับการเหยียดเชื้อชาติ เหยียดชนชั้น อย่างเช่นการเรียกพ่อมดแม่มดที่เกิดจากครอบครัวมักเกิ้ลว่า “เลือดสีโคลน” หรือเลือดสกปรก จะขอยกตัวอย่างชนชั้นวรรณะในประเทศอินเดียเพราะสามารถมองเห็นได้ชัดเจน คนห้ามแต่งงานข้ามวรรณะ ใครก็ตามที่ละเมิดกฎ เด็กที่เกิดมาจะถูกจัดอยู่ในชนชั้นของ จัณทาล ชนชั้นที่ต้อยต่ำที่สุด “เลือดสีโคลน”ในความคิดเห็นของพวก    “เลือดบริสุทธิ์” ก็ไม่ต่างจากจัณทาลเลยสักนิด
    พวก“เลือดบริสุทธิ์”เกลียดมักเกิ้ล มองว่าพวกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำไม่ต่างจากสัตว์
    เมื่อเค้ารู้ว่าเค้าเป็นถึงทายาท ของ ซัลลาซาร์ สลิธีริน เค้าก็เริ่มเดินหน้าสานต่อสิ่งที่บรรพบุรุษเค้าได้เริ่มเอาไว้ นั่นคือการเชิดชู “เลือดบริสุทธิ์” แต่แน่หล่ะเพียงแค่การยกย่องพวก “เลือดบริสุทธิ์” คงไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่การเชิดชูบูชามันไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เค้าต้องการที่จะจัดระเบียบโลกซะใหม่ เหล่าพ่อมดแม่มดออกจากที่ซ้อนตัว พวกมักเกิ้ลควรจะอยู่ในที่ๆพวกนั้นควรจะอยู่คือใต้การปกครองของพ่อมดแม่มด“เลือดบริสุทธิ์”
    เรื่อง “เลือดบริสุทธิ์” มันดูเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อมันอยู่ในขอบเขตของมัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเลยเถิดมีคำว่า “อำนาจ” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว เรื่องเล็กๆกลับลุกลามใหญ่โตจนกลายเป็นสงคราม เพราะ “อำนาจ” เป็นเหมือนกับขนมหวานที่ไม่ว่าใครก็ตามต้องการที่จะมีมัน แม้แต่ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ พ่อมดชราที่มีภาพของความดีติดตาผู้อ่าน ก็ยังเคยที่จะไขว่ขว้ามัน ต้องการที่จะให้พวกมักเกิ้ลยอมจำนน และเหล่าพ่อมดเป็นผู้กำชัย เค้าปรารถนาที่จะอยู่เหนือคนอื่น เค้ากล่อมคนอื่นๆด้วยคำพูดที่กลวงๆว่าสิ่งที่เค้าทำนั้นทำขึ้นเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ เหมือนกับนโยบายเสรีนิยม อ้างว่าเมื่อใดที่นายทุนร่ำรวยเค้าก็จะส่งต่อความร่ำรวยนั้นไปให้แก่คนล่างๆด้วย
    เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นจากการเชิดชูคนแบบผิดๆ เชิดชูใน “เกรียติยศ”และ “เงินทอง” ที่จะได้มาแทนที่จะเป็นความถูกต้อง แต่ก็แน่หล่ะ เมื่อ“เกรียติยศ”และ “เงินทอง”มากองรออยู่ตรงหน้า ใครบ้างที่จะไปปฏิเสธ เหล่าพ่อมดต่างกอบโกยสิ่งต่างๆที่เค้าคิดว่าเค้าควรจะได้ ไม่ต่างจากนายทุนที่ขูดรีดจากเหล่าคนจน นานเท่าไหร่แล้วที่นายทุนทำธุรกิจจนร่ำรวยแต่ทำเพียงโยนเศษเงินของพวกเขาลงมาให้กับคนยากจน แต่ไม่ได้ทำให้ชีวิตของคนยากจนดีขึ้นมาเลยสักนิด
    เมื่อโวลเดอมอร์ ตัดสินใจที่จะสานต่อสิ่งที่ ซัลลาซาร์ สลิธีริน ได้เริ่มไว้เค้าก็ตัดสินใจเดินเข้าสู่ศาสตร์มืด ก่อตั้งกองทัพผู้เสพความตาย สร้างกองทัพที่แข็งแกร่งและโหดร้าย ในช่วงเวลาที่เค้าเรืองอำนาจ มีศาสตร์มือกระจายไปทุกหนทุกแห่ง ผ็คนต่างอยู่ในความหวาดกลัว แม้กระทั่งโลกของมักเกิ้ลก็มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นมากมาย กระทรวงเวทมนต์ถูกครอบงำ
    คุณจะเห็นเลยว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นล้วยนเกิดขึ้นจากจุดเล็กๆที่เรียกว่า “ชนชั้น” และการแบ่งฝ่าย โวลเดอมอร์สังหารคนที่ขัดขวางเค้า ไม่เว้นแม่กระทั้งคนๆนั้นจะเป็นพ่อมดแม่มด  คนที่เป็นพวกเดียวกับเค้าก็ตาม เพียงเพราะความเห็นที่แตกต่าง
คนที่เห็นต่างกันไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมโลกกันได้เลยหรือ คนพวกนั้นผิดเพียงเพราะเค้าไม่เห็นด้วยแค่นั้นหรือ ผู้บริสุทธิ์มากมายต้องสังเวยชีวิต เพียงเพราะเห็นต่างกัน?  
    คุณอาจจะมองว่ามันเป็นเหมือนเรื่องเพ้อฝันเหมือนเรื่องที่เอามาโยงกันเรื่อยเปื่อยแต่คุณลองมองไปรอบๆตัวคุณดูสิว่าคุณได้พบเจอเรื่องอะไรทำนองนี้บ้างไหม ถ้าคุณเจอมันก็ไม่แปลกหรอก เพราะนี้คืองานเขียนที่สะท้อนสังคมแม้จะไม่ได้เขียนสะท้อนแบบโจ่งแจ้งแต่ก็แฝงอยู่ข้างใน
    แล้วตัวคุณหล่ะเจออะไรกันบ้างในหนังสือชุดนี้...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่