หลังจากหายหน้าหายตาไป 5 ปีเต็มกับผลงานสุดท้าย "อินทรีแดง" และกระแสข่าวประกาศจะเลิกทำหนังอีก วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง กลับมาแล้วกับบ้านหลังใหม่อย่าง M๓๙ และหน้าหนังที่ชวนให้สงสัยว่า เป็นหนังของวิศิษฏ์จริงหรือ? อย่าง "รุ่นพี่"
คุณวิศิษฏ์ เคยกำกับหนังผีที่ได้รับคำชมมากมายอย่าง เปนชู้กับผี ที่ดีงามตั้งแต่บท การแสดง บรรยากาศ แคสติ้ง การผูกพล็อตปมเรื่อง ทุกองค์ประกอบลงตัวที่สุดแล้วตั้งแต่เปิดเรื่อง จนถึงบทสรุปปิดท้ายที่คาดไม่ถึง เป็นหนังผีไทยขึ้นหิ้งตลอดกาล
แต่ปัญหาของหนังแบบวิศิษฏ์คือ "มันไม่ทำเงิน!"
ไล่ตั้งแต่ ฟ้าทะลายโจร, หมานคร หรือแม้กระทั่งหนังที่แกเขียนบทอย่าง เฉือน ล้มเหลวด้านรายได้ในไทยตลอด เพราะหนังของเขาไม่แมส ไม่ใช่หนังตลาดที่ดูแบบไม่ต้องคิดอะไรมากมาย จนมาถึงจุดหักเหในชีวิตการทำหนังของเขาคือ อินทรีแดง...
ด้วยความตั้งใจ ทุ่มเท ในหนังทุกเรื่องที่กำกับ อินทรีแดงที่ไม่ประสบความสำเร็จจึงทำให้เขาหายจากวงการไปทำด้านโฆษณา และซุ่มหาทุนทำโปรเจ็กต์เล็ก ๆ ทำหนังนอกกระแส
ด้วยไอเดียที่อยากจะทำหนังแนวฆาตกรรมสืบสวน ทาง M๓๙ ก็อยากได้พล็อตหนังผี จากไอเดียที่ว่าจะทำเป็นนิยาย หรือซีรี่ส์ จึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
หนังไทยแนวฆาตกรรมสืบสวนสอบสวน เช่น เฉือน, บอดี้ศพ #19, คน-โลก-จิต มีปัญหาคือ มันไม่ทำเงิน (อีกแล้ว) ตลาดหนังไทยต่อให้บทดีแค่ไหนมันก็ขายยาก แต่ถ้าเป็นหนัง "วัยรุ่น ลึกลับ ความรักเสมือนดั่งเทพนิยาย" (Teenage Horror Romantic Fiction) ล่ะ?
รุ่นพี่ คือส่วนผสมที่หลากหลาย แต่ลงตัวอย่างน่าประหลาด คือมีทั้งความทันสมัยยุคโซเชียลมีเดีย มาบรรจบกับความคลาสสิคยุค '80 และหนึ่งในสัญลักษณ์ที่น่าสนใจในหนังคือ "ภาพถ่าย"
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ภาพถ่ายเหล่านั้นก็เหมือนหยุดเวลาของคน ๆ นั้นไว้ในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนก็ตาม เช่นเดียวกับผีที่ติดอยู่ในช่วงเวลา สถานที่ ๆ เคยอยู่ก่อนตาย
หนังสร้างทฤษฎีอ้างอิงด้วยวิทยาศาสตร์ในความเชื่อเรื่องผี ซึ่งแหวก และแหกความเชื่อแบบเดิม ๆ คือ ผี เป็นพลังงานที่ค้างไว้ ร่างกาย ก็เหมือนรถ ถ้าไร้ซึ่งพลังงานขับเคลื่อนก็เคลื่อนไหวไม่ได้ พลังงานที่ยังไม่สลายไปอาจเป็นเพราะความยึดติดในสิ่งหนึ่งก่อนตาย ซึ่งประเด็นในหนังจะพูดถึงความยึดติดที่ต้องการความยุติธรรม นั่นคือที่มาของการสืบคดีของคู่หูต่างมิติอย่าง ม่อน (พลอยชมพู ญานนีน) กับรุ่นพี่ (บอม พงศกร)
หนังว่าด้วยเรื่องการสืบคดีของคู่หูนักสืบเป็นพล็อตหลัก มิตรภาพระหว่างแอ้น กับม่อนเป็นพล็อตรอง การตัดต่อสลับไปมาระหว่างทั้งสองเหตุการณ์ยังดูไม่ลงตัวนัก แต่ไม่ถึงขั้นแย่ ช่วงแรกของหนังเหมือนนักแสดงทุกคนยังใหม่จริง ๆ ยังไม่เป็นธรรมชาติ และรู้สึกได้ว่าน่าจะ "ถูกตัดไปหลายฉาก" เพื่อความกระชับ แต่มันทำให้ขาดความผูกพันในตัวละครบางตัว ที่จู่ ๆ ไม่อยากพูดถึงแล้วก็หายไปเฉย ๆ ซะอย่างนั้น
การปรากฎตัวอย่างลึกลับของ รุ่นพี่ ทำให้หนังดูน่าสนใจ น่าติดตามสืบสวนทั้งคดีฆาตกรรมในวังพรรณวดี และการตายของรุ่นพี่เช่นกัน ประเด็นนี้ส่วนตัวคิดว่าคุณวิศิษฏ์ น่าจะขยี้อารมณ์ของอทิติ (ม่อน) ได้อีกว่า ถ้าเกิดสืบไปเรื่อย ๆ จนรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว รุ่นพี่จะเป็นอย่างไรต่อไป จะนำไปสู่บทสรุปที่อินกว่านี้ระหว่างความสัมพันธ์ ความโรแมนติคของคู่หูนักสืบต่างมิติ
โดยภาพรวมบทภาพยนตร์ดี ทุกอย่างมีเหตุมีผลรองรับ ซีจีดูดีมากในระดับหนังไทย มุมกล้องสวยงามและน่าจดจำมากในหลาย ๆ ฉาก ความน่ากลัวของหนังในระดับที่ดูได้ทุกวัย บางฉากชวนให้รู้สึกน่าขยะแขยงมากกว่า
คุณวิศิษฏ์แหวกสไตล์หนังของตัวเองด้วยการเล่าเรื่องชีวิตวัยรุ่นในโรงเรียนคอนแวนต์ ที่เป็นประเด็นร่วมสมัย แต่ไม่ทิ้งความเป็นเรโทร การยึดติดกับอดีต บทสนทนาที่มาจากต่างยุคสมัยของคู่พระ-นาง ทำให้บางคนอาจรู้สึกว่ารุ่นพี่พูดเหมือนท่องบท อยากให้ลองนึกย้อนไปช่วงราว 30 ปีที่แล้วว่าเราใช้ประโยคสนทนากันอย่างไรบ้าง?
พลอยชมพู ญานนีน ภารวี ไวเกล เน็ตไอดอลกับภาพยนตร์เรื่องแรกเต็มตัว ที่รับบท อทิติ หรือม่อน เป็นเด็กเก็บกด มีพฤติกรรมประหลาดจากสัมผัสพิเศษเรื่องการดมกลิ่นวิญญาณ จนทุกคนคิดว่าบ้า เพี้ยน ไม่มีใครคบ การแสดงออกทางสีหน้าจึงเรียบเฉย เย็นชา แสดงได้ตรงกับบุคลิกในนวนิยายดี อาจจะดูแข็ง ๆ บ้างเพราะบทเป็นแบบนั้น สามารถแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้ได้ ม่อนเป็นเด็กบ้าน ๆ ที่สบถคำหยาบคายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งขัดกับบุคลิกตัวจริงของพลอยชมพู ซีนอารมณ์หลายฉากทำได้ดีในมาตรฐานนักแสดงหน้าใหม่ ถือว่าสอบผ่านครับ
บอม พงศกร โตสุวรรณ เป็นรุ่นพี่ที่ดูลึกลับ แต่อบอุ่น น่าสนใจว่าปูมหลังของเขาเป็นใคร ดูขี้เก๊กแต่ก็ขี้เล่น เป็นสุภาพบุรุษสมกับยุคสมัยนั้น ในส่วนของการแสดงบทส่งได้ดีครับ อาจจะแข็งบ้างเพราะยังเป็นน้องใหม่ในวงการ ต่างกับพลอยชมพูที่เคยแสดงหนังสั้น คีตราชนิพนธ์ ที่นำกลับมาฉายใหม่พร้อมกัน หากมีผลงานเรื่องต่อไป น่าจะได้พัฒนาทักษะการแสดงมากขึ้น
เหล่านักแสดงสมทบขอชื่นชมรุ่นใหญ่ทุกท่าน โดยเฉพาะคุณสะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์ ที่ตีบทแตกกระจายในทุกฉาก ส่วนรุ่นเล็กหลายคนยังดูไม่ค่อยรื่นไหลนัก อาจเพราะยังสดใหม่จริง ๆ
ผมมีโอกาสได้อ่านนวนิยาย รุ่นพี่ ที่คุณวิศิษฏ์เขียนเอง ไม่น่าเชื่อว่างานเขียนของแกบางฉากกลับถ่ายทอดได้ดีกว่าการสื่อออกมาในภาพยนตร์ อาจเพราะข้อจำกัดเรื่องเวลาในการเล่าเรื่อง การตัดต่อแปลก ๆ ช่วงต้นเรื่อง ทำให้ดูสะดุดบ้าง เช่น การเล่าพล็อตหลักนักสืบ สลับพล็อตรองเพื่อนซี้ หรือการอธิบายความเป็นมาของตัวละครให้เราผูกพันในนวนิยาย กับในหนังที่เล่าแบบไม่ละเอียดนัก
หนังเรื่องนี้อาจไปไม่ถึงระดับ เปนชู้กับผี ที่เป็นมาสเตอร์พีซของคุณวิศิษฏ์ไปแล้ว แต่อยู่ในระดับมาตรฐานดีครับ บทหนังดูแล้วคิดตามได้ สืบตามได้ รุ่นพี่เป็นผีที่ดูจับต้องได้ สัมผัสได้จริง
หนังมีครบทุกรสชาติทั้งความโรแมนติคชีวิตรักวัยรุ่น ความสยดสยอง ความน่าสนใจในคดีสืบสวนสอบสวน และมิตรภาพระหว่างเพื่อนแท้-เพื่อนตาย ขึ้นอยู่กับลิ้นสัมผัส หรือจริตของคนดูว่ากลมกล่อม หรือลงตัวในส่วนผสมที่ปรุงแต่งเป็น "อาหารจานด่วน" ที่รับประทานง่ายขึ้นกว่าเมนูที่ผ่าน ๆ มาของเชฟวิศิษฏ์
โดยส่วนตัวแล้วหนังเรื่องนี้ทำให้คิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ จากหนังเรื่อง 303 กลัว/กล้า/อาฆาต และ เกิดอีกที ต้องมีเธอ
8.5/10
ปล. รุ่นพี่ คือความหวังสุดท้ายของหนังไทยร้อยล้านเรื่องแรกแห่งปี 2558 (ถ้าไม่นับ อวสานหงสา) อยากให้คนไทยทุกคนได้ชมกัน หนังเรื่องนี้มีอะไรมากกว่าหนังผีดาษ ๆ และเป็นหนังสืบสวนสอบสวนที่ดูเข้าใจไม่ยากครับ
ปล.2 มีประเด็นน่าสนใจมากกับประโยคที่ว่า "เราสัมผัสกันได้ไหม" ตามหลักแล้วรุ่นพี่ไม่สามารถสัมผัสม่อน ที่ในยุคสมัยกว่า 30 ปีที่แล้วไม่มีม่อนอยู่ แต่...ไว้ไปดูรอบสองเก็บรายละเอียดอีกทีดีกว่า เดี๋ยวมาบอกเล่าต่อครับ
#รุ่นพี่ #SeniorTheMovie #เราสัมผัสกันได้ไหม #ฉายแล้วทุกโรงภาพยนตร์
[CR] รุ่นพี่ การกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีของ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง
คุณวิศิษฏ์ เคยกำกับหนังผีที่ได้รับคำชมมากมายอย่าง เปนชู้กับผี ที่ดีงามตั้งแต่บท การแสดง บรรยากาศ แคสติ้ง การผูกพล็อตปมเรื่อง ทุกองค์ประกอบลงตัวที่สุดแล้วตั้งแต่เปิดเรื่อง จนถึงบทสรุปปิดท้ายที่คาดไม่ถึง เป็นหนังผีไทยขึ้นหิ้งตลอดกาล
แต่ปัญหาของหนังแบบวิศิษฏ์คือ "มันไม่ทำเงิน!"
ไล่ตั้งแต่ ฟ้าทะลายโจร, หมานคร หรือแม้กระทั่งหนังที่แกเขียนบทอย่าง เฉือน ล้มเหลวด้านรายได้ในไทยตลอด เพราะหนังของเขาไม่แมส ไม่ใช่หนังตลาดที่ดูแบบไม่ต้องคิดอะไรมากมาย จนมาถึงจุดหักเหในชีวิตการทำหนังของเขาคือ อินทรีแดง...
ด้วยความตั้งใจ ทุ่มเท ในหนังทุกเรื่องที่กำกับ อินทรีแดงที่ไม่ประสบความสำเร็จจึงทำให้เขาหายจากวงการไปทำด้านโฆษณา และซุ่มหาทุนทำโปรเจ็กต์เล็ก ๆ ทำหนังนอกกระแส
ด้วยไอเดียที่อยากจะทำหนังแนวฆาตกรรมสืบสวน ทาง M๓๙ ก็อยากได้พล็อตหนังผี จากไอเดียที่ว่าจะทำเป็นนิยาย หรือซีรี่ส์ จึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
หนังไทยแนวฆาตกรรมสืบสวนสอบสวน เช่น เฉือน, บอดี้ศพ #19, คน-โลก-จิต มีปัญหาคือ มันไม่ทำเงิน (อีกแล้ว) ตลาดหนังไทยต่อให้บทดีแค่ไหนมันก็ขายยาก แต่ถ้าเป็นหนัง "วัยรุ่น ลึกลับ ความรักเสมือนดั่งเทพนิยาย" (Teenage Horror Romantic Fiction) ล่ะ?
รุ่นพี่ คือส่วนผสมที่หลากหลาย แต่ลงตัวอย่างน่าประหลาด คือมีทั้งความทันสมัยยุคโซเชียลมีเดีย มาบรรจบกับความคลาสสิคยุค '80 และหนึ่งในสัญลักษณ์ที่น่าสนใจในหนังคือ "ภาพถ่าย"
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ภาพถ่ายเหล่านั้นก็เหมือนหยุดเวลาของคน ๆ นั้นไว้ในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนก็ตาม เช่นเดียวกับผีที่ติดอยู่ในช่วงเวลา สถานที่ ๆ เคยอยู่ก่อนตาย
หนังสร้างทฤษฎีอ้างอิงด้วยวิทยาศาสตร์ในความเชื่อเรื่องผี ซึ่งแหวก และแหกความเชื่อแบบเดิม ๆ คือ ผี เป็นพลังงานที่ค้างไว้ ร่างกาย ก็เหมือนรถ ถ้าไร้ซึ่งพลังงานขับเคลื่อนก็เคลื่อนไหวไม่ได้ พลังงานที่ยังไม่สลายไปอาจเป็นเพราะความยึดติดในสิ่งหนึ่งก่อนตาย ซึ่งประเด็นในหนังจะพูดถึงความยึดติดที่ต้องการความยุติธรรม นั่นคือที่มาของการสืบคดีของคู่หูต่างมิติอย่าง ม่อน (พลอยชมพู ญานนีน) กับรุ่นพี่ (บอม พงศกร)
หนังว่าด้วยเรื่องการสืบคดีของคู่หูนักสืบเป็นพล็อตหลัก มิตรภาพระหว่างแอ้น กับม่อนเป็นพล็อตรอง การตัดต่อสลับไปมาระหว่างทั้งสองเหตุการณ์ยังดูไม่ลงตัวนัก แต่ไม่ถึงขั้นแย่ ช่วงแรกของหนังเหมือนนักแสดงทุกคนยังใหม่จริง ๆ ยังไม่เป็นธรรมชาติ และรู้สึกได้ว่าน่าจะ "ถูกตัดไปหลายฉาก" เพื่อความกระชับ แต่มันทำให้ขาดความผูกพันในตัวละครบางตัว ที่จู่ ๆ ไม่อยากพูดถึงแล้วก็หายไปเฉย ๆ ซะอย่างนั้น
การปรากฎตัวอย่างลึกลับของ รุ่นพี่ ทำให้หนังดูน่าสนใจ น่าติดตามสืบสวนทั้งคดีฆาตกรรมในวังพรรณวดี และการตายของรุ่นพี่เช่นกัน ประเด็นนี้ส่วนตัวคิดว่าคุณวิศิษฏ์ น่าจะขยี้อารมณ์ของอทิติ (ม่อน) ได้อีกว่า ถ้าเกิดสืบไปเรื่อย ๆ จนรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว รุ่นพี่จะเป็นอย่างไรต่อไป จะนำไปสู่บทสรุปที่อินกว่านี้ระหว่างความสัมพันธ์ ความโรแมนติคของคู่หูนักสืบต่างมิติ
โดยภาพรวมบทภาพยนตร์ดี ทุกอย่างมีเหตุมีผลรองรับ ซีจีดูดีมากในระดับหนังไทย มุมกล้องสวยงามและน่าจดจำมากในหลาย ๆ ฉาก ความน่ากลัวของหนังในระดับที่ดูได้ทุกวัย บางฉากชวนให้รู้สึกน่าขยะแขยงมากกว่า
คุณวิศิษฏ์แหวกสไตล์หนังของตัวเองด้วยการเล่าเรื่องชีวิตวัยรุ่นในโรงเรียนคอนแวนต์ ที่เป็นประเด็นร่วมสมัย แต่ไม่ทิ้งความเป็นเรโทร การยึดติดกับอดีต บทสนทนาที่มาจากต่างยุคสมัยของคู่พระ-นาง ทำให้บางคนอาจรู้สึกว่ารุ่นพี่พูดเหมือนท่องบท อยากให้ลองนึกย้อนไปช่วงราว 30 ปีที่แล้วว่าเราใช้ประโยคสนทนากันอย่างไรบ้าง?
พลอยชมพู ญานนีน ภารวี ไวเกล เน็ตไอดอลกับภาพยนตร์เรื่องแรกเต็มตัว ที่รับบท อทิติ หรือม่อน เป็นเด็กเก็บกด มีพฤติกรรมประหลาดจากสัมผัสพิเศษเรื่องการดมกลิ่นวิญญาณ จนทุกคนคิดว่าบ้า เพี้ยน ไม่มีใครคบ การแสดงออกทางสีหน้าจึงเรียบเฉย เย็นชา แสดงได้ตรงกับบุคลิกในนวนิยายดี อาจจะดูแข็ง ๆ บ้างเพราะบทเป็นแบบนั้น สามารถแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้ได้ ม่อนเป็นเด็กบ้าน ๆ ที่สบถคำหยาบคายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งขัดกับบุคลิกตัวจริงของพลอยชมพู ซีนอารมณ์หลายฉากทำได้ดีในมาตรฐานนักแสดงหน้าใหม่ ถือว่าสอบผ่านครับ
บอม พงศกร โตสุวรรณ เป็นรุ่นพี่ที่ดูลึกลับ แต่อบอุ่น น่าสนใจว่าปูมหลังของเขาเป็นใคร ดูขี้เก๊กแต่ก็ขี้เล่น เป็นสุภาพบุรุษสมกับยุคสมัยนั้น ในส่วนของการแสดงบทส่งได้ดีครับ อาจจะแข็งบ้างเพราะยังเป็นน้องใหม่ในวงการ ต่างกับพลอยชมพูที่เคยแสดงหนังสั้น คีตราชนิพนธ์ ที่นำกลับมาฉายใหม่พร้อมกัน หากมีผลงานเรื่องต่อไป น่าจะได้พัฒนาทักษะการแสดงมากขึ้น
เหล่านักแสดงสมทบขอชื่นชมรุ่นใหญ่ทุกท่าน โดยเฉพาะคุณสะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์ ที่ตีบทแตกกระจายในทุกฉาก ส่วนรุ่นเล็กหลายคนยังดูไม่ค่อยรื่นไหลนัก อาจเพราะยังสดใหม่จริง ๆ
ผมมีโอกาสได้อ่านนวนิยาย รุ่นพี่ ที่คุณวิศิษฏ์เขียนเอง ไม่น่าเชื่อว่างานเขียนของแกบางฉากกลับถ่ายทอดได้ดีกว่าการสื่อออกมาในภาพยนตร์ อาจเพราะข้อจำกัดเรื่องเวลาในการเล่าเรื่อง การตัดต่อแปลก ๆ ช่วงต้นเรื่อง ทำให้ดูสะดุดบ้าง เช่น การเล่าพล็อตหลักนักสืบ สลับพล็อตรองเพื่อนซี้ หรือการอธิบายความเป็นมาของตัวละครให้เราผูกพันในนวนิยาย กับในหนังที่เล่าแบบไม่ละเอียดนัก
หนังเรื่องนี้อาจไปไม่ถึงระดับ เปนชู้กับผี ที่เป็นมาสเตอร์พีซของคุณวิศิษฏ์ไปแล้ว แต่อยู่ในระดับมาตรฐานดีครับ บทหนังดูแล้วคิดตามได้ สืบตามได้ รุ่นพี่เป็นผีที่ดูจับต้องได้ สัมผัสได้จริง
หนังมีครบทุกรสชาติทั้งความโรแมนติคชีวิตรักวัยรุ่น ความสยดสยอง ความน่าสนใจในคดีสืบสวนสอบสวน และมิตรภาพระหว่างเพื่อนแท้-เพื่อนตาย ขึ้นอยู่กับลิ้นสัมผัส หรือจริตของคนดูว่ากลมกล่อม หรือลงตัวในส่วนผสมที่ปรุงแต่งเป็น "อาหารจานด่วน" ที่รับประทานง่ายขึ้นกว่าเมนูที่ผ่าน ๆ มาของเชฟวิศิษฏ์
โดยส่วนตัวแล้วหนังเรื่องนี้ทำให้คิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ จากหนังเรื่อง 303 กลัว/กล้า/อาฆาต และ เกิดอีกที ต้องมีเธอ
8.5/10
ปล. รุ่นพี่ คือความหวังสุดท้ายของหนังไทยร้อยล้านเรื่องแรกแห่งปี 2558 (ถ้าไม่นับ อวสานหงสา) อยากให้คนไทยทุกคนได้ชมกัน หนังเรื่องนี้มีอะไรมากกว่าหนังผีดาษ ๆ และเป็นหนังสืบสวนสอบสวนที่ดูเข้าใจไม่ยากครับ
ปล.2 มีประเด็นน่าสนใจมากกับประโยคที่ว่า "เราสัมผัสกันได้ไหม" ตามหลักแล้วรุ่นพี่ไม่สามารถสัมผัสม่อน ที่ในยุคสมัยกว่า 30 ปีที่แล้วไม่มีม่อนอยู่ แต่...ไว้ไปดูรอบสองเก็บรายละเอียดอีกทีดีกว่า เดี๋ยวมาบอกเล่าต่อครับ
#รุ่นพี่ #SeniorTheMovie #เราสัมผัสกันได้ไหม #ฉายแล้วทุกโรงภาพยนตร์