ช่วงนี้ชีวิตฉันดูแปลกๆ ราวฉันว่างมาก (ทั้งๆมีงานใช้แรงงานให้ทำจนเหนื่อยขาลาก) จึงแก่มโนเว่อร์วัง ผุดความคิดปั้นงานขึ้นแท่นมาสเตอร์พีซแบบฝันๆ ทั้งๆงานเก่าหลายชิ้นยังค้างคาปิดไม่ลง ส่วนที่ปิดได้ก็ไม่รู้ว่าจะผ่านหรือเปล่า และต้องรอผลด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ ทำไปทำมาฉันคงฟุ้งซ่านน่ะแหละ ที่ถูกบีบคั้นทางเศรษฐกิจราวปลากระป๋อง
...ถึงทางข้างหน้าจะมืดมิด แต่หากเรามีความมุ่งมั่น แสงสว่างปลายอุโมงค์ก็รออยู่...ดูเหมือนโค้ชซิโก้กล่าวคำนี้ไว้ (หรือไม่ก็ใครอื่น) ฉันเป็น fc ตัวเอ้ของทีมช้างศึกและเสนาเมือง ฉันจึงสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ย่อท้อเช่นกัน ถึงฉันจะหมดไม้ขีดและเทียนไขเป็นโหลๆไปแล้วก็ตาม
คนเราอยู่ได้ด้วยความฝัน แค่ลุ้นหวยเดือนละสองครั้งเท่านั้น เราก็ ‘ไฝ้ว์’ กับความฝันกันกระจุยกระจายขวัญแขวน ความฝันคือความงดงาม คือน้ำทิพย์ คือธงชัย คือจุดหมาย คือความหวัง...ให้เราค่อยๆเดินเข้าไปหา หรือบางคราวเงยหน้ามองแล้วยิ้มปลื้ม เรียกพลังใจยามท้อแท้
ฝันฉุดคนล้มให้ลุก
ฝันโอบกอดเมื่อเดียวดาย
ฝันซับน้ำตาและบอกเรา...ว่ายังมีวันพรุ่งนี้รออยู่
ฝันบางคนอาจใหญ่โต หรือโด่งดัง หากบางคนพอใจเพียงรอยยิ้มและความอบอุ่นในครอบครัว ฝันเหมือนการสร้างตึก ที่คนฝันต้องเทพื้น ทำฐาน วางเสา ขึ้นโครง มุงหลังคา ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับว่า...เราลงมือทำมันแล้วหรือยัง...
และ เมื่อเราทำจนถึงที่สุดแล้ว บางคราว...เราอาจพบว่าความฝันก็ยังเป็นเพียงความฝัน...ให้ชอกช้ำ!
ดังฉันเองที่ช้ำชอกมานักต่อนัก...
เอาเหอะ...ฉันกัดฟันกรอดพร้อมขู่อย่างเฮิร์ตๆ ว่าฉันจะ ‘ไม่ลืม’ แต่ตอนนี้แค่ ‘พักยก’ รอเวลาลุย และมองหาฝันใหม่ ก็ในเมื่อคนแทงหวยผิดยังกล้าแทงใหม่ในงวดอื่น แล้วทำไมชีวิตฉันจะเริ่มใหม่ไม่ได้ อย่างเช่นฝันเล็กๆอันหนึ่ง ที่ฉันไม่ได้คิดอะไรมากมาย นอกจากอยากจะทำ
เมื่ออยู่ที่นี่ ฉันเป็นแม่ค้าขายขนมอย่างไม่ได้คาดหมาย และถึงจะมีน้อย หรือบางคราวแทบไม่มี แต่ฉันก็เลือกทำสิ่งหนึ่ง ด้วยการนำขนมไปแบ่งปันที่โรงพยาบาลอย่างเงียบๆ
ที่แห่งนั้น...ใช่ที่ๆใครๆคนธรรมดาอยากข้องแวะ เพราะมันช่างอุดมด้วยความทุกข์ การต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน และการรอคอยความหวัง
ใครหลายคนอาจสมหวัง ในขณะอีกหลายสูญเสีย
ฉันเคยร้องไห้มาก่อน...ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันจึงรู้ซึ้ง ว่าที่สุดแล้ว คนเรามิต้องการอะไรเลย นอกจากความสุข
ฉันมิอาจช่วยรักษาใครได้เพราะไม่ใช่หมอ ฉันจึงทำได้เพียงเป็นกำลังใจน้อยนิด
เย็นย่ำ...ขณะฉันเดินถือตะกร้าขนมลั้ลลา...
คุณยามมองเหล่ๆลังเลสงสัย แต่ไม่กล้าถาม (ตะกร้าไฮโซมาก) ว่ายัยนี่แอบเนียนเอาของมาขายป่ะวะ
“หนูเอาขนมมาปันกันทานค่ะ” ฉันเองเมื่อขึ้นตึกได้
“หะ...!?” ญาติคนไข้ผงะ ราวฉันผุดมาจากดาวเสาร์ หรือไม่ก็...บ้า!
“ฟรีค่ะ” ฉันต้องยัดเยียดสองสามครั้ง คุณป้าถึงรับอย่างกล้ำกลืน อย่างละอายใจไม่อยากเอาเปรียบหญิงสติไม่ดี (ฉันเอง)
“ตาไม่มีตังค์” คุณตาท่าทางชาวบ้านๆ คนหนึ่งกำลังนั่งเฝ้าคุณยายคู่ทุกข์คู่ยากสารภาพ ฉันเห็นความหม่นกังวลบนใบหน้าเหี่ยวย่นดวงนั้น
หนูก็ภาวนาค่ะคุณตาขา ไม่ว่าคุณยายจะเป็นใครที่หนูไม่รู้จักก็ตาม แต่หนูภาวนาให้คุณยายปลอดภัย และลุกขึ้นมาคุยกับคุณตาได้เหมือนเดิม...ฉันคิดในใจแม้นจะแสร้งยิ้ม
“หนูให้ฟรีค่ะคุณตา” ฉันบอก
“ตาอยากกินนะหนู แต่ก็จนใจ เพราะวันนี้ตาใช้เงินหมดแล้วจริงๆ” แกไม่เชื่อ และพูดความจริงอีกอย่างซื่อๆ
โอ...หนอ นอกจากเจ็บแล้วก็ยังจน...ฉันสะท้อนใจ ฉันเองก็จนไม่ต่างจากตาและยาย หากฉันอาจมีทางเลือกมากกว่า
“หนูเอามาปันให้กินแบบไม่คิดตังค์จริงๆค่ะตา นี่ค่ะ ช่วยรับด้วยนะคะ” ฉันเอาให้ขนมให้แกเลย และรีบเดินหนีก่อนฉันจะร้องไห้ ลูกหลานของสองคนอาจกำลังเดินทาง หรืออยู่ที่ไหนหนอ พวกเขาไม่รู้หรือ ว่าเขากำลังทิ้งสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตให้เดียวดาย...
สิ่งเดียวนี้...ที่ต่อให้มีเงินมหาศาลก็มิอาจซื้อหาได้ คนแก่จะต้องการอะไร นอกจากเห็นหน้าลูกหลานยามเจ็บป่วย
พอหลายๆรายเข้า และชักคุ้นๆ แล้ว หลายคนอยากรู้มาก-ทำไมถึงแจก????????????????????
ฉันตอบแบบนางงามแต่สั้นกว่า-หนูเพียงอยากแบ่งปัน (พร้อมเดินหนีไวๆ กลัวพบคนรู้จัก 555)
คำอวยพรอย่างจริงใจพรั่งพรู แม้นฉันจะโฉบหนีอย่างว่องไวเพราะมิต้องการสิ่งใดหรือให้ใครรู้จัก แต่ฉันก็ยอมรับ ว่าฉันรู้สึกสวยและมีความสุข...แม้นว่าลึกๆแล้ว ฉันกลับมาที่นี่เพราะคิดถึงตอนที่ฉันเคยเฝ้าพ่ออยู่แรมเดือนก็ตาม
หลายวันถัดมา...นางลั้ลลาอีก และเหตุการณ์ผ่านไปด้วยดีเช่นเดิม...จนมาถึงเตียงหนึ่ง ฉันโป๊ะ!
“ไม่เอา” ญาติคนไข้ท่าทางมีการศึกษาบอกอย่างไม่ได้พูดเล่น ด้วยท่าทีระแวง
อะไรกัน หน้าตาฉันเหมือนโจรขนาดนั้นเลยหรือฟระ...ฉันถึงกับขาดความมั่นใจ
“ไม่เอา” อีกคนที่มาด้วยก็ปฏิเสธแล้วเดินหนี
โอมาย...ฉันหน้าแตก สตั้นท์ไปหลายวิ กำลังใจถดถอย ลังเลว่าจะไปต่อหรือหันหลัง บางทีขนมที่ฉันแจก ถึงฉันจะทำอย่างอร่อยแต่ก็อาจไก่กา จนคนคิดว่าดูถูกก็ได้ ทันใดนั้นฉันฮึด เรียกกาวตราช้างปะหน้า แล้วไปต่อ และคราวนี้มันยิ่งกว่าโป๊ะ...
มีคนรู้จักหนึ่งโขยง...ถึงไม่สนิท และไม่เคยพูดกันมาก่อนก็เหอะ โอย...!
อะไรแว้...ยิ่งไม่อยากเจอก็ยิ่งพบ!
เอาไงดีวะ...ฉันคิด ก่อนเชิญองค์สตรอเบอรี่ลง แล้วแถเยี่ยมไข้เมื่อหนีไม่ออก
แต่พวกเขาคิดว่าฉันเอาขนมมาเร่ขาย...
อุต๊ะ!...ฉันอ้าปากค้าง ใครๆต่างหาว่าฉันบ้าที่อยู่ดีๆ ก็ทิ้งกรุงเทพฯมาอยู่บ้านนอก ตอนนี้ใครๆก็คงคิดประมาณฉันหมดทางไปจนต้องเร่ขายของอย่างน่าเวทนา
“เปล่าค่ะ หนูเอามาแจกให้กินฟรีๆ” ฉันบอก
พรึ่บ! ในสองวิฯจนเกือบเกลี้ยงตะกร้า...
อะไรแว้!
อะไรแว้...
...ถึงทางข้างหน้าจะมืดมิด แต่หากเรามีความมุ่งมั่น แสงสว่างปลายอุโมงค์ก็รออยู่...ดูเหมือนโค้ชซิโก้กล่าวคำนี้ไว้ (หรือไม่ก็ใครอื่น) ฉันเป็น fc ตัวเอ้ของทีมช้างศึกและเสนาเมือง ฉันจึงสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ย่อท้อเช่นกัน ถึงฉันจะหมดไม้ขีดและเทียนไขเป็นโหลๆไปแล้วก็ตาม
คนเราอยู่ได้ด้วยความฝัน แค่ลุ้นหวยเดือนละสองครั้งเท่านั้น เราก็ ‘ไฝ้ว์’ กับความฝันกันกระจุยกระจายขวัญแขวน ความฝันคือความงดงาม คือน้ำทิพย์ คือธงชัย คือจุดหมาย คือความหวัง...ให้เราค่อยๆเดินเข้าไปหา หรือบางคราวเงยหน้ามองแล้วยิ้มปลื้ม เรียกพลังใจยามท้อแท้
ฝันฉุดคนล้มให้ลุก
ฝันโอบกอดเมื่อเดียวดาย
ฝันซับน้ำตาและบอกเรา...ว่ายังมีวันพรุ่งนี้รออยู่
ฝันบางคนอาจใหญ่โต หรือโด่งดัง หากบางคนพอใจเพียงรอยยิ้มและความอบอุ่นในครอบครัว ฝันเหมือนการสร้างตึก ที่คนฝันต้องเทพื้น ทำฐาน วางเสา ขึ้นโครง มุงหลังคา ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับว่า...เราลงมือทำมันแล้วหรือยัง...
และ เมื่อเราทำจนถึงที่สุดแล้ว บางคราว...เราอาจพบว่าความฝันก็ยังเป็นเพียงความฝัน...ให้ชอกช้ำ!
ดังฉันเองที่ช้ำชอกมานักต่อนัก...
เอาเหอะ...ฉันกัดฟันกรอดพร้อมขู่อย่างเฮิร์ตๆ ว่าฉันจะ ‘ไม่ลืม’ แต่ตอนนี้แค่ ‘พักยก’ รอเวลาลุย และมองหาฝันใหม่ ก็ในเมื่อคนแทงหวยผิดยังกล้าแทงใหม่ในงวดอื่น แล้วทำไมชีวิตฉันจะเริ่มใหม่ไม่ได้ อย่างเช่นฝันเล็กๆอันหนึ่ง ที่ฉันไม่ได้คิดอะไรมากมาย นอกจากอยากจะทำ
เมื่ออยู่ที่นี่ ฉันเป็นแม่ค้าขายขนมอย่างไม่ได้คาดหมาย และถึงจะมีน้อย หรือบางคราวแทบไม่มี แต่ฉันก็เลือกทำสิ่งหนึ่ง ด้วยการนำขนมไปแบ่งปันที่โรงพยาบาลอย่างเงียบๆ
ที่แห่งนั้น...ใช่ที่ๆใครๆคนธรรมดาอยากข้องแวะ เพราะมันช่างอุดมด้วยความทุกข์ การต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน และการรอคอยความหวัง
ใครหลายคนอาจสมหวัง ในขณะอีกหลายสูญเสีย
ฉันเคยร้องไห้มาก่อน...ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันจึงรู้ซึ้ง ว่าที่สุดแล้ว คนเรามิต้องการอะไรเลย นอกจากความสุข
ฉันมิอาจช่วยรักษาใครได้เพราะไม่ใช่หมอ ฉันจึงทำได้เพียงเป็นกำลังใจน้อยนิด
เย็นย่ำ...ขณะฉันเดินถือตะกร้าขนมลั้ลลา...
คุณยามมองเหล่ๆลังเลสงสัย แต่ไม่กล้าถาม (ตะกร้าไฮโซมาก) ว่ายัยนี่แอบเนียนเอาของมาขายป่ะวะ
“หนูเอาขนมมาปันกันทานค่ะ” ฉันเองเมื่อขึ้นตึกได้
“หะ...!?” ญาติคนไข้ผงะ ราวฉันผุดมาจากดาวเสาร์ หรือไม่ก็...บ้า!
“ฟรีค่ะ” ฉันต้องยัดเยียดสองสามครั้ง คุณป้าถึงรับอย่างกล้ำกลืน อย่างละอายใจไม่อยากเอาเปรียบหญิงสติไม่ดี (ฉันเอง)
“ตาไม่มีตังค์” คุณตาท่าทางชาวบ้านๆ คนหนึ่งกำลังนั่งเฝ้าคุณยายคู่ทุกข์คู่ยากสารภาพ ฉันเห็นความหม่นกังวลบนใบหน้าเหี่ยวย่นดวงนั้น
หนูก็ภาวนาค่ะคุณตาขา ไม่ว่าคุณยายจะเป็นใครที่หนูไม่รู้จักก็ตาม แต่หนูภาวนาให้คุณยายปลอดภัย และลุกขึ้นมาคุยกับคุณตาได้เหมือนเดิม...ฉันคิดในใจแม้นจะแสร้งยิ้ม
“หนูให้ฟรีค่ะคุณตา” ฉันบอก
“ตาอยากกินนะหนู แต่ก็จนใจ เพราะวันนี้ตาใช้เงินหมดแล้วจริงๆ” แกไม่เชื่อ และพูดความจริงอีกอย่างซื่อๆ
โอ...หนอ นอกจากเจ็บแล้วก็ยังจน...ฉันสะท้อนใจ ฉันเองก็จนไม่ต่างจากตาและยาย หากฉันอาจมีทางเลือกมากกว่า
“หนูเอามาปันให้กินแบบไม่คิดตังค์จริงๆค่ะตา นี่ค่ะ ช่วยรับด้วยนะคะ” ฉันเอาให้ขนมให้แกเลย และรีบเดินหนีก่อนฉันจะร้องไห้ ลูกหลานของสองคนอาจกำลังเดินทาง หรืออยู่ที่ไหนหนอ พวกเขาไม่รู้หรือ ว่าเขากำลังทิ้งสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตให้เดียวดาย...
สิ่งเดียวนี้...ที่ต่อให้มีเงินมหาศาลก็มิอาจซื้อหาได้ คนแก่จะต้องการอะไร นอกจากเห็นหน้าลูกหลานยามเจ็บป่วย
พอหลายๆรายเข้า และชักคุ้นๆ แล้ว หลายคนอยากรู้มาก-ทำไมถึงแจก????????????????????
ฉันตอบแบบนางงามแต่สั้นกว่า-หนูเพียงอยากแบ่งปัน (พร้อมเดินหนีไวๆ กลัวพบคนรู้จัก 555)
คำอวยพรอย่างจริงใจพรั่งพรู แม้นฉันจะโฉบหนีอย่างว่องไวเพราะมิต้องการสิ่งใดหรือให้ใครรู้จัก แต่ฉันก็ยอมรับ ว่าฉันรู้สึกสวยและมีความสุข...แม้นว่าลึกๆแล้ว ฉันกลับมาที่นี่เพราะคิดถึงตอนที่ฉันเคยเฝ้าพ่ออยู่แรมเดือนก็ตาม
หลายวันถัดมา...นางลั้ลลาอีก และเหตุการณ์ผ่านไปด้วยดีเช่นเดิม...จนมาถึงเตียงหนึ่ง ฉันโป๊ะ!
“ไม่เอา” ญาติคนไข้ท่าทางมีการศึกษาบอกอย่างไม่ได้พูดเล่น ด้วยท่าทีระแวง
อะไรกัน หน้าตาฉันเหมือนโจรขนาดนั้นเลยหรือฟระ...ฉันถึงกับขาดความมั่นใจ
“ไม่เอา” อีกคนที่มาด้วยก็ปฏิเสธแล้วเดินหนี
โอมาย...ฉันหน้าแตก สตั้นท์ไปหลายวิ กำลังใจถดถอย ลังเลว่าจะไปต่อหรือหันหลัง บางทีขนมที่ฉันแจก ถึงฉันจะทำอย่างอร่อยแต่ก็อาจไก่กา จนคนคิดว่าดูถูกก็ได้ ทันใดนั้นฉันฮึด เรียกกาวตราช้างปะหน้า แล้วไปต่อ และคราวนี้มันยิ่งกว่าโป๊ะ...
มีคนรู้จักหนึ่งโขยง...ถึงไม่สนิท และไม่เคยพูดกันมาก่อนก็เหอะ โอย...!
อะไรแว้...ยิ่งไม่อยากเจอก็ยิ่งพบ!
เอาไงดีวะ...ฉันคิด ก่อนเชิญองค์สตรอเบอรี่ลง แล้วแถเยี่ยมไข้เมื่อหนีไม่ออก
แต่พวกเขาคิดว่าฉันเอาขนมมาเร่ขาย...
อุต๊ะ!...ฉันอ้าปากค้าง ใครๆต่างหาว่าฉันบ้าที่อยู่ดีๆ ก็ทิ้งกรุงเทพฯมาอยู่บ้านนอก ตอนนี้ใครๆก็คงคิดประมาณฉันหมดทางไปจนต้องเร่ขายของอย่างน่าเวทนา
“เปล่าค่ะ หนูเอามาแจกให้กินฟรีๆ” ฉันบอก
พรึ่บ! ในสองวิฯจนเกือบเกลี้ยงตะกร้า...
อะไรแว้!