เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย สถานที่ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นห้องแถวแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นตัวผมเองก็เริ่มจะมีสัมผัสที่หกติดตัวมาอยู่บ้างแล้วเนื่องจากการนั่งสมาธิ หรืออะไรผมเองก็ไม่อาจทราบได้ แต่สัมผัสที่หกของผมนั้นผมเพียงแค่รู้สึกถึงการมีตัวตนของเขา ถ้าเขาอยากให้ผมรู้ผมก็จะรับรู้ได้ทันที แต่ผมไม่สามารถมองเห็นเขาได้นะครับ แค่จะรู้สึกได้ว่าเขาอยู่ตรงนั้นเท่านั้นเอง เอ้า!! นอกเรื่องมาพูดเรื่องของตัวผมเองเสียอย่างนั้น ต้องขออภัยผู้อ่านด้วย ผมไม่มีเจตนาที่จะโอ้อวดตัวเองหรืออย่างไร แต่เพียงอธิบายเป็นพรมปูทางต่อไปว่า ทำไมผมถึงรู้สึกอะไรเช่นนั้น เรื่องนี้ค่อนข้างจะยาว เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวผมเองร่วมหนึ่งปีทีเดียว ผมต้องขออนุญาตยายพรผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อนข้างห้อง และผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ทุกท่าน
เรื่องเล่าเรื่องนี้ผมขออุทิศให้ยายพร
ช่วงแรก : เธอคือใคร
เสียงเพลงจากโทรศัทพ์มือถือของผมค่อยๆดังขึ้น ดังขึ้น ในขณะที่ผมยังหลับสนิทอย่างที่สุด สองมือของผมควานหาโทรศัพท์เจ้าของเสียงเพลงดังกล่าว “ฮัลโล สวัสดีครับแม่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “ลูก แม่หาที่พักใหม่ให้ลูกได้แล้วนะ” ที่พักใหม่ สติผมค่อยๆรวมกลับคืนมาหลังจากกระจัดกระจายเสียเต็มฟูกอันเก่าคร่ำครึของหอในของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง “แล้วรายละเอียดเป็นยังไงครับแม่” แม่ผมจึงเล่ารายละอัยดคร่าวๆ แต่ผมก็จับใจความได้ว่า มีญาติทางฝ่ายพ่อผมอยู่ใกล้ๆมหาลัยที่ผมเรียนอยู่ ในระแวกบ้านของแกมีห้องแถวอยู่ พอไปสอบถามดูปรากฎว่าห้องแถวนั้นยังว่างอยู่หนึ่งห้อง บอกให้รีบย้ายเข้าไปอยู่เพราะค่าเช่าไม่แพง อีกทั้งห้องแถวดังกล่าวก็มิได้อยู่ห่างจากมหาลัยของผมมากนัก ผมตอบตกลงและจะเข้าไปดูในวันพรุ่งนี้
พอรุ่งเช้าพ่อกับแม่ผมขับรถกระบะคันเก่าแก่ของบ้านมารับผมที่หน้ามหาวิทยาลัย ช่วงเช้าอากาศเย็นสบายกำลังดี ไม่นานนักประมาณสิบนาทีเห็นจะได้ พ่อก็เคลื่อนรถเลี้ยวเข้ามาในซอยเล็กๆขนาดรถยนต์คันเดียวผ่านประมาณสามสิบเมตรมาจอดบริเวณด้านหน้าห้องแถวแห่งหนึ่ง ขณะนั้นประตูทางเข้าไปยังอาณาบริเวณของห้องแถวนั้นยังปิดสนิทอยู่ “ยายขวัญครับ ยายขวัญอยู่ไหมครับ” พ่อผมตะโกนเรียกชื่อใครบางคนอยู่หน้าประตู หลังจากที่พ่อตะโกนเรียกไม่นานนักก็มีเสียงขานรับมาว่า “อยู่จ๊ะ ซักครู่นะ” ผมกับแม่จึงออกมายืนรอข้างนอกรถ สายตาผมสอดส่ายไปทั่วบริเวณภายในรั้วนั้น แต่ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่ผมสอดส่ายสายตาดูบริเวณโดยรอบ ก็ปรากฎร่างหญิงและชายชราอายุราวๆหกสิบห้าปีเดินมาเปิดประตูต้อนรับเราสามคนพ่อแม่ลูกอย่างช้าๆ พ่อผมจึงแนะนำให้ผมรู้จักกับยายขวัญ และตาอินเจ้าของห้องแถวแห่งนี้
ภายหลักจากที่ทักทายกันเสร็จเรียบร้อยพ่อผมก็ค่อยๆเคลื่อนรถเข้าไปจอดในโรงจอดรถที่ยังว่างอยู่ ขณะเดียวกันผมกับแม่ก็ค่อยๆเดินตามเข้าไป ห้องแถวห้องนี้เป็นห้องแถวชั้นเดียว มีประมาณสิบห้องเห็นจะได้ โดยด้านหน้าที่ติดกับถนนหลักที่ชาวบ้านใช้สันจรก็จะเป็นบ้านของตาอิน กับยายขวัญเป็นบ้านกึ่งไม้กึ่งปูน โดยชั้นล่างเป็นปูน ชั้นสองเป็นไม้ ในขณะที่นั่งคุยเรื่องค่าเช่าออนกันตรงมาหินอ่อนหลังบ้านตาอิน ผมก็รู้สึกว่ามีใครมองผมมาจากชั้นสองของบ้านแต่เมื่อผมหันไปก็พบเพียงหน้าต่างที่เปิดอ้าซ่าไว้พร้อมกับความว่างเปล่า หลังจากเดินยายขวัญก็เปิดห้องพักที่เหลืออยู่เพียงห้องเดียวให้ผมเข้าไปตรวจดูห้อง เป็นห้องธรรมดาเหมือนกับหอพักเลยครับ แต่มีเนื้อที่ว่างกว่าหอพักอยู่มาก มีหน้าต่างที่เป็นบานเกล็ดอยู่สองบานด้านหน้าพร้อมกับเตียงหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่าง ด้านหลังเป็นห้องน้ำติดกับตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้ง และที่ผมลืมเอ๊ะใจไปก็คือประตูหน้ากับประตูหลังนั้นตรงกันเป๊ะ ซึ่งตอนนั้นตัวผมเองก็ไม่มีความรู้เรื่องการดูลักษณะห้องต่างๆด้วยจึงไม่ได้ใส่ใจซักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าสะอาด สงบก็เป็นอันใช้ได้ สุดท้ายแล้วผมตกลงที่จะเช่าห้องแถวแห่งนี้ เนื่องจากข้างห้องที่ผมจะเช่าอยู่นั้น มีเพื่อนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับผมอาศัยอยู่ด้วย อีกอย่างค่าเช่าออนก็เพียงเดือนละหนึ่งพันบาทเท่านั้น ค่าไฟฟ้าติดตามจริง โปรโมชั่นดีขนาดนี้ ไม่ตกลงก็บ้าแล้วล่ะครับ ผมตัดสินใจจะย้ายเข้าอยู่อาทิตย์หน้า
“แมน ให้ช่วยขนของปะวะ” พงษ์ถามผมอย่างรีบร้อน “แกไปเรียนเถอะของไม่เยอะหรอก อีกอย่างวันนี้อาจารย์เช็คชื่อนิ ฝากด้วยนะ” ผมตอบอย่างเข้าใจขณะเดียวกันพงษ์ก็พยักหน้า แล้วรีบสาวท้าวเพื่อไปยังตึกเรียน ผมสาละวนอยู่กับการเก็บของอันเป็นสมบัติของผม ซึ่งมีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นหนังสือกับเสื้อผ้าจำนวนหนึ่ง เพียงครึ่งชั่วโมงผมก็ขนสมบัติของผมบรรทุกด้านท้ายรถกระบะคันเก่าของบ้านเพื่อไปยังที่พักแห่งใหม่ของผม ประมาณสิบโมงเช้าพ่อก็เคลื่อนรถไปจอด ณ. บริเวณโรงจอดรถที่ยังว่างอยู่ ยายพรก็อยู่ต้อนรับอย่างยิ้มแย้ม พร้อมกับยื่นกุญแจห้องให้ ผมเดินเข้าไปในห้องพักพร้อมกับจัดแจงเก็บเสื้อผ้าในตู้ เครื่องประทินโฉมสองสามอย่างของผมก็จัดเรียงไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง “แม่วางผ้าปูที่นอนไว้ตรงนี้นะ ปูเองนะลูก แม่ขอคุยกับยายขวัญซักแป๊ปนึง” แม่พูดพร้อมกับวางผ้าปูที่นอนให้ และเดินออกจากห้องไปยังม้าหินอ่อนที่ยายพรนั่งอยู่ ผมเดินไปหยิบผ้าปูที่นอนมาสูดดมอย่างช้าๆ กลิ่นไอแดดยังจางๆอยู่เลย แสดงว่าแม่เพิ่งจะซักมาแน่ๆ นอนสบายล่ะคืนนี้ ผมคิดในใจ และค่อยๆคลี่ผ้าปูที่นอนออก ขณะที่ผมคลี่อยู่นั้น ผมเจอเศษเล็บ เป็นเศษเล็บที่แห้งกรังดำเขรอะ ราวกับว่ามือคู่นี้เป็นมือที่ขุดดินมาตลอดฉะนั้น หนึ่ง สอง สาม ผมนับจำนวนเศษเล็บไปเรื่อยๆจนถึงสิบ มีสิบชิ้น ตายล่ะหว่านี่มันอะไรกัน ผมซึ่งรู้สึกไม่ค่อยดีนักจึงเก็บเศษเล็บนั้นห่อกระดาษไว้ แล้วจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย ผมจึงออกไปนั่งเสวนากับพ่อ และแม่พร้อมกับแอบถามอ้อมๆเรื่องผ้าปูที่นอนว่ามีใครมายุ่งอะไรไหม แม่ผมก็ตอบว่า “ไม่มีนะ แม่ซักเมื่อวานและพบเก็บเตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้ว ไม่มีใครมายุ่งหรอก ทำไมหรอ” ผมก็ส่ายหัวอย่างมีพิรุท หลังจากร่ำลากันเสร็จพ่อก็ขับรถออกจากรั้วห้องแถวไป ส่วนผมก็มีความคิดรบกวนอยู่ตลอดว่า เศษเล็บนั้นมาจากไหน เพราะคนที่บ้านผมรักษาความสะอาดกันมาก ไม่มีใครเล็บดำเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ
แสงแดดค่อยๆทอประกายลง ผู้คนต่างทยอยกับกลับที่พัก ห้องแถวแห่งนี้ก็เช่นกัน ผมนั่งอยู่ตรงม้าหินอ่อน พร้อมกับยิ้มทักทายทุกคนที่ทยอยกับกลับมายังที่พัก บ้างทำงาน บ้างเรียน ทุกคนก็ทักทายผมอย่างเป็นมิตรเช่นเดียวกัน ผมนั่งรอเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันเพื่อที่จะขอเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับเขา ไม่นานนักบุคคลที่ผมรอก็กลับห้องพักมา เป็นผู้หญิงไม่สูงมาก ผมจึงเดินไปทักพร้อมกับแนะนำตัวเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยผมคนนี้มีชื่อว่าแก้วครับ เราก็คุยกันสรรพเพเหระทั่วไป ไม่นานนักแก้วก็นำสายอินเตอร์เน็ตลากยาวมายังห้องผม ผมกล่าวขอบคุณพร้อมกับกลับเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งผมรู้สึกไม่ชอบมาพากลนัก ในใจพลางคิดไปว่า
“ราตรีกาลการอยู่ค่ำคืนแรก
ในที่แปลกที่ไกลแสนเหน็บหนาว
ต่อจากนี้อาจจะมีหลายเรื่องราว
คงถึงคราวออกสู่ชีวิตจริง”
ผมคงจะกล่าวแบบนี้ได้สิน่า ไม่เคยอยู่คนเดียวเป็นจริงเป็นจังแบบนี้มาก่อน ทั้งยังเจอเหตุการณ์แปลกๆเสียอีก พร้อมกับหันไปมองห่อเล็บเจ้ากรรมนั่น แล้วถอนหายใจก้มหน้าก้มตาเล่นคอมพิวเตอร์เพื่อย้อมใจต่อไป เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน เหตุการณ์ทุกอย่างสงบ ไม่มีอะไรผิดปกติ ผิดจากที่ผมคาดไว้ ด้วยความที่เล่นคอมพิวเตอร์เพลิน จนลืมเวลาอาบน้ำ ผมจึงลุกไปอาบน้ำก่อนเข้านอน ดีเหมือนกัน จะได้นอนสบายๆ กระแสน้ำจากฝักบัวปะทะร่างกายอันแสนเหนื่อยล้ามาทั้งวัน รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ในขณะที่ผมดื่มด่ำกับกระแสน้ำอันสบายตัว ผมก็รู้สึกว่า ทำไม น้ำเจิงนองบนพื้น ราวกับว่าน้ำภายในห้องน้ำนั้น ไม่ระบายออกทางท่อเลย หรือว่าท่อตัน? ผมจึงค่อยๆปิดน้ำพร้อมกับก้มลงไปดูบริเวณท่อระบายน้ำ ผมพบว่าตรงตะแกรงปิดปากท่อนั้นมีเส้นผมติดอยู่จำนวนมาก ผมคิดว่าคงเป็นของคนที่เคยพักกระมัง สงสัยยายขวัญลืมทำความสะอาดแน่ๆเลย ผมจึงหาไม้เพื่อที่จะเขี่ยเสีนผมนั้นออกมา เส้นผมนั้นเป็นเส้นผมที่ยาวพอสมควรเลยครับ พันกันยุ่งเหยิงไปหมด สุดท้ายผมก็ทิ้งลงไปในท่อ และปิดฝาตะแกรงเสีย หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็เข้านอนทันที
ผมไม่คุ้นกับเตียงที่นี่เอาเสียเลย ตามประสาคนนอนแปลกที่นั่นแหละครับ ผมใช้เวลาพอสมควรกว่าที่ผมจะนอนหลับ ในห้วงสติหนึ่งของผม ผมเห็นสถานที่หนึ่งสถานที่นั้นมืดมิดมาก ดำมืดไปหมด แต่กลับปรากฎร่างของหญิงสาวนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ ผมยาวกระเซอะกระเซิงลงมาปิดใบหน้าที่ก้มอยู่ของเธอ เสื้อที่อาจจะเคยเป็นเสื้อสีขาว แต่บัดนี้กลายเป็นเสื้อสีน้ำตาลเสียทั้งตัว กางเกงที่อาจจะเคยเป็นกางเกงขายาวกลับขาดวิ่นเสียเช่นนั้น มือทั้งสองของเธอกำลังขุดดิน ขุด ขุด ขุด พร้อมกับเสียงร้องไห้สะอื้น ผมเรียกเธอ แต่เธอไม่สามารถเงยหน้ามาดูผมได้ เธอพูดพร้อมกับเสียงสะอื้น เป็นประโยคที่ยาวมาก เนื่องจากเธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สะอื้น ผมจึงไม่สามารถฟังออกได้ว่าเธอพูดว่าอย่างไร ผมพยายามขอให้เธอพูดหลายครั้ง พยายามเข้าไปช่วย แต่ผมกลับทำได้เพียงเห็นภาพเธอเท่านั้น จนเธอตะโกนมาสุดเสียงว่า “อย่าอยู่ที่นี่” ผมตกใจจนสะดุ้งตื่นพร้อมกับหันไปมองห่อกระดาษห่อที่ผมใช้ห่อเล็บของใครบางคนไว้ ขณะนั้นเป็นเวลาตีห้าเห็นจะได้ ผมก็คงนอนไม่หลับแล้วล่ะ ชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างที่สุดว่าที่ตรงนี้ต้องมีเหตุการณ์อะไรซักอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเป็นแน่ แล้วหญิงสาวผู้นั้นเธอเป็นใครผมเองก็นึกสงสัยอยู่ในใจ ผมจึงตื่นมานั่งเล่นคอมพิวเตอร์ต่อเพื่อรอ รอให้ถึงรุ่งเช้า
ไม่นานนักแสงแดดยามเช้าเริ่มทอประกายให้เห็นบรรยากาศภายนอกได้อย่างชัดเจน ผมตัดสินใจคว้าห่อกระดาษที่ผมห่อเศษเล็บไว้นั้นใส่ในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ตตัวโปรดของผม พร้อมกับควบรถมอเตอร์ไซค์ออกไปซื้อของเพื่อที่จะไปทำบุญ ผมใช้เวลาในการซื้อของไม่นานนัก และผมก็เดินทางไปที่วัดบริเวณห้องแถวที่ผมเช่าอยู่ “เอ้า มาทำบุญแต่เช้าเลยนะโยม” พระรูปหนึ่งถามผมพร้อมกับใบหน้าอันยิ้มแย้ม ผมจึงขอนิมนต์ท่านเพื่อจะถวายสังฆทาน “โยมจะอุทิศให้ใครล่ะ” พระท่านถามด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ “ผมขออุทิศให้ผู้หญิงคนหนึ่งน่ะครับหลวงพ่อ” หลังจากให้ศีลให้พรเสร็จ ท่านก็ชวนคุยทั่วไป และท่านก็ถามผมว่า “โยมเพิ่งมาอยู่แถวนี้ใช่ไหม แล้วพักอยู่ที่ไหนล่ะ” ผมก็ตอบไปอย่างไม่ลังเลว่า “ห้องแถวของยายขวัญน่ะครับ” เสี้ยววินาทีหนึ่ง สีหน้าหลวงพ่อดูกังวลอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับพูดว่า “งั้นหรอ ขอให้โชคดีนะโยมนะ” ผมก็ขอบคุณท่าน และขอลากลับเพื่อที่จะเตรียมตัวเพื่อที่จะไปเรียนต่อ ผมนึกขึ้นได้ว่าพกเศษเล็บติดมาด้วย ผมจึงแกะห่อกระดาษ และนำไปเทไว้ที่ใต้ต้นโพธิ์หน้าวัด (ผมไม่รู้ว่าเป็นพิธีกรรมที่ถูกต้องไหม แต่ผมทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออยากให้เธอหลุดพ้นเพียงเท่านั้น) แล้วผมก็เดินไปยังมอเตอร์ไซค์ของผม พร้อมกับหันกลับไปมองอีกครั้ง “โชคดีนะ” ผมพูดในใจพร้อมกับควบมอเตอร์ไซค์กลับห้องพักของผม
เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำ : ตอนที่ 4 ที่ดินอาถรรพ์
เรื่องเล่าเรื่องนี้ผมขออุทิศให้ยายพร
ช่วงแรก : เธอคือใคร
เสียงเพลงจากโทรศัทพ์มือถือของผมค่อยๆดังขึ้น ดังขึ้น ในขณะที่ผมยังหลับสนิทอย่างที่สุด สองมือของผมควานหาโทรศัพท์เจ้าของเสียงเพลงดังกล่าว “ฮัลโล สวัสดีครับแม่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “ลูก แม่หาที่พักใหม่ให้ลูกได้แล้วนะ” ที่พักใหม่ สติผมค่อยๆรวมกลับคืนมาหลังจากกระจัดกระจายเสียเต็มฟูกอันเก่าคร่ำครึของหอในของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง “แล้วรายละเอียดเป็นยังไงครับแม่” แม่ผมจึงเล่ารายละอัยดคร่าวๆ แต่ผมก็จับใจความได้ว่า มีญาติทางฝ่ายพ่อผมอยู่ใกล้ๆมหาลัยที่ผมเรียนอยู่ ในระแวกบ้านของแกมีห้องแถวอยู่ พอไปสอบถามดูปรากฎว่าห้องแถวนั้นยังว่างอยู่หนึ่งห้อง บอกให้รีบย้ายเข้าไปอยู่เพราะค่าเช่าไม่แพง อีกทั้งห้องแถวดังกล่าวก็มิได้อยู่ห่างจากมหาลัยของผมมากนัก ผมตอบตกลงและจะเข้าไปดูในวันพรุ่งนี้
พอรุ่งเช้าพ่อกับแม่ผมขับรถกระบะคันเก่าแก่ของบ้านมารับผมที่หน้ามหาวิทยาลัย ช่วงเช้าอากาศเย็นสบายกำลังดี ไม่นานนักประมาณสิบนาทีเห็นจะได้ พ่อก็เคลื่อนรถเลี้ยวเข้ามาในซอยเล็กๆขนาดรถยนต์คันเดียวผ่านประมาณสามสิบเมตรมาจอดบริเวณด้านหน้าห้องแถวแห่งหนึ่ง ขณะนั้นประตูทางเข้าไปยังอาณาบริเวณของห้องแถวนั้นยังปิดสนิทอยู่ “ยายขวัญครับ ยายขวัญอยู่ไหมครับ” พ่อผมตะโกนเรียกชื่อใครบางคนอยู่หน้าประตู หลังจากที่พ่อตะโกนเรียกไม่นานนักก็มีเสียงขานรับมาว่า “อยู่จ๊ะ ซักครู่นะ” ผมกับแม่จึงออกมายืนรอข้างนอกรถ สายตาผมสอดส่ายไปทั่วบริเวณภายในรั้วนั้น แต่ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่ผมสอดส่ายสายตาดูบริเวณโดยรอบ ก็ปรากฎร่างหญิงและชายชราอายุราวๆหกสิบห้าปีเดินมาเปิดประตูต้อนรับเราสามคนพ่อแม่ลูกอย่างช้าๆ พ่อผมจึงแนะนำให้ผมรู้จักกับยายขวัญ และตาอินเจ้าของห้องแถวแห่งนี้
ภายหลักจากที่ทักทายกันเสร็จเรียบร้อยพ่อผมก็ค่อยๆเคลื่อนรถเข้าไปจอดในโรงจอดรถที่ยังว่างอยู่ ขณะเดียวกันผมกับแม่ก็ค่อยๆเดินตามเข้าไป ห้องแถวห้องนี้เป็นห้องแถวชั้นเดียว มีประมาณสิบห้องเห็นจะได้ โดยด้านหน้าที่ติดกับถนนหลักที่ชาวบ้านใช้สันจรก็จะเป็นบ้านของตาอิน กับยายขวัญเป็นบ้านกึ่งไม้กึ่งปูน โดยชั้นล่างเป็นปูน ชั้นสองเป็นไม้ ในขณะที่นั่งคุยเรื่องค่าเช่าออนกันตรงมาหินอ่อนหลังบ้านตาอิน ผมก็รู้สึกว่ามีใครมองผมมาจากชั้นสองของบ้านแต่เมื่อผมหันไปก็พบเพียงหน้าต่างที่เปิดอ้าซ่าไว้พร้อมกับความว่างเปล่า หลังจากเดินยายขวัญก็เปิดห้องพักที่เหลืออยู่เพียงห้องเดียวให้ผมเข้าไปตรวจดูห้อง เป็นห้องธรรมดาเหมือนกับหอพักเลยครับ แต่มีเนื้อที่ว่างกว่าหอพักอยู่มาก มีหน้าต่างที่เป็นบานเกล็ดอยู่สองบานด้านหน้าพร้อมกับเตียงหลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่าง ด้านหลังเป็นห้องน้ำติดกับตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้ง และที่ผมลืมเอ๊ะใจไปก็คือประตูหน้ากับประตูหลังนั้นตรงกันเป๊ะ ซึ่งตอนนั้นตัวผมเองก็ไม่มีความรู้เรื่องการดูลักษณะห้องต่างๆด้วยจึงไม่ได้ใส่ใจซักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าสะอาด สงบก็เป็นอันใช้ได้ สุดท้ายแล้วผมตกลงที่จะเช่าห้องแถวแห่งนี้ เนื่องจากข้างห้องที่ผมจะเช่าอยู่นั้น มีเพื่อนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับผมอาศัยอยู่ด้วย อีกอย่างค่าเช่าออนก็เพียงเดือนละหนึ่งพันบาทเท่านั้น ค่าไฟฟ้าติดตามจริง โปรโมชั่นดีขนาดนี้ ไม่ตกลงก็บ้าแล้วล่ะครับ ผมตัดสินใจจะย้ายเข้าอยู่อาทิตย์หน้า
“แมน ให้ช่วยขนของปะวะ” พงษ์ถามผมอย่างรีบร้อน “แกไปเรียนเถอะของไม่เยอะหรอก อีกอย่างวันนี้อาจารย์เช็คชื่อนิ ฝากด้วยนะ” ผมตอบอย่างเข้าใจขณะเดียวกันพงษ์ก็พยักหน้า แล้วรีบสาวท้าวเพื่อไปยังตึกเรียน ผมสาละวนอยู่กับการเก็บของอันเป็นสมบัติของผม ซึ่งมีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นหนังสือกับเสื้อผ้าจำนวนหนึ่ง เพียงครึ่งชั่วโมงผมก็ขนสมบัติของผมบรรทุกด้านท้ายรถกระบะคันเก่าของบ้านเพื่อไปยังที่พักแห่งใหม่ของผม ประมาณสิบโมงเช้าพ่อก็เคลื่อนรถไปจอด ณ. บริเวณโรงจอดรถที่ยังว่างอยู่ ยายพรก็อยู่ต้อนรับอย่างยิ้มแย้ม พร้อมกับยื่นกุญแจห้องให้ ผมเดินเข้าไปในห้องพักพร้อมกับจัดแจงเก็บเสื้อผ้าในตู้ เครื่องประทินโฉมสองสามอย่างของผมก็จัดเรียงไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง “แม่วางผ้าปูที่นอนไว้ตรงนี้นะ ปูเองนะลูก แม่ขอคุยกับยายขวัญซักแป๊ปนึง” แม่พูดพร้อมกับวางผ้าปูที่นอนให้ และเดินออกจากห้องไปยังม้าหินอ่อนที่ยายพรนั่งอยู่ ผมเดินไปหยิบผ้าปูที่นอนมาสูดดมอย่างช้าๆ กลิ่นไอแดดยังจางๆอยู่เลย แสดงว่าแม่เพิ่งจะซักมาแน่ๆ นอนสบายล่ะคืนนี้ ผมคิดในใจ และค่อยๆคลี่ผ้าปูที่นอนออก ขณะที่ผมคลี่อยู่นั้น ผมเจอเศษเล็บ เป็นเศษเล็บที่แห้งกรังดำเขรอะ ราวกับว่ามือคู่นี้เป็นมือที่ขุดดินมาตลอดฉะนั้น หนึ่ง สอง สาม ผมนับจำนวนเศษเล็บไปเรื่อยๆจนถึงสิบ มีสิบชิ้น ตายล่ะหว่านี่มันอะไรกัน ผมซึ่งรู้สึกไม่ค่อยดีนักจึงเก็บเศษเล็บนั้นห่อกระดาษไว้ แล้วจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย ผมจึงออกไปนั่งเสวนากับพ่อ และแม่พร้อมกับแอบถามอ้อมๆเรื่องผ้าปูที่นอนว่ามีใครมายุ่งอะไรไหม แม่ผมก็ตอบว่า “ไม่มีนะ แม่ซักเมื่อวานและพบเก็บเตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้ว ไม่มีใครมายุ่งหรอก ทำไมหรอ” ผมก็ส่ายหัวอย่างมีพิรุท หลังจากร่ำลากันเสร็จพ่อก็ขับรถออกจากรั้วห้องแถวไป ส่วนผมก็มีความคิดรบกวนอยู่ตลอดว่า เศษเล็บนั้นมาจากไหน เพราะคนที่บ้านผมรักษาความสะอาดกันมาก ไม่มีใครเล็บดำเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ
แสงแดดค่อยๆทอประกายลง ผู้คนต่างทยอยกับกลับที่พัก ห้องแถวแห่งนี้ก็เช่นกัน ผมนั่งอยู่ตรงม้าหินอ่อน พร้อมกับยิ้มทักทายทุกคนที่ทยอยกับกลับมายังที่พัก บ้างทำงาน บ้างเรียน ทุกคนก็ทักทายผมอย่างเป็นมิตรเช่นเดียวกัน ผมนั่งรอเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันเพื่อที่จะขอเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับเขา ไม่นานนักบุคคลที่ผมรอก็กลับห้องพักมา เป็นผู้หญิงไม่สูงมาก ผมจึงเดินไปทักพร้อมกับแนะนำตัวเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยผมคนนี้มีชื่อว่าแก้วครับ เราก็คุยกันสรรพเพเหระทั่วไป ไม่นานนักแก้วก็นำสายอินเตอร์เน็ตลากยาวมายังห้องผม ผมกล่าวขอบคุณพร้อมกับกลับเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งผมรู้สึกไม่ชอบมาพากลนัก ในใจพลางคิดไปว่า
ในที่แปลกที่ไกลแสนเหน็บหนาว
ต่อจากนี้อาจจะมีหลายเรื่องราว
คงถึงคราวออกสู่ชีวิตจริง”
ผมคงจะกล่าวแบบนี้ได้สิน่า ไม่เคยอยู่คนเดียวเป็นจริงเป็นจังแบบนี้มาก่อน ทั้งยังเจอเหตุการณ์แปลกๆเสียอีก พร้อมกับหันไปมองห่อเล็บเจ้ากรรมนั่น แล้วถอนหายใจก้มหน้าก้มตาเล่นคอมพิวเตอร์เพื่อย้อมใจต่อไป เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน เหตุการณ์ทุกอย่างสงบ ไม่มีอะไรผิดปกติ ผิดจากที่ผมคาดไว้ ด้วยความที่เล่นคอมพิวเตอร์เพลิน จนลืมเวลาอาบน้ำ ผมจึงลุกไปอาบน้ำก่อนเข้านอน ดีเหมือนกัน จะได้นอนสบายๆ กระแสน้ำจากฝักบัวปะทะร่างกายอันแสนเหนื่อยล้ามาทั้งวัน รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ในขณะที่ผมดื่มด่ำกับกระแสน้ำอันสบายตัว ผมก็รู้สึกว่า ทำไม น้ำเจิงนองบนพื้น ราวกับว่าน้ำภายในห้องน้ำนั้น ไม่ระบายออกทางท่อเลย หรือว่าท่อตัน? ผมจึงค่อยๆปิดน้ำพร้อมกับก้มลงไปดูบริเวณท่อระบายน้ำ ผมพบว่าตรงตะแกรงปิดปากท่อนั้นมีเส้นผมติดอยู่จำนวนมาก ผมคิดว่าคงเป็นของคนที่เคยพักกระมัง สงสัยยายขวัญลืมทำความสะอาดแน่ๆเลย ผมจึงหาไม้เพื่อที่จะเขี่ยเสีนผมนั้นออกมา เส้นผมนั้นเป็นเส้นผมที่ยาวพอสมควรเลยครับ พันกันยุ่งเหยิงไปหมด สุดท้ายผมก็ทิ้งลงไปในท่อ และปิดฝาตะแกรงเสีย หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็เข้านอนทันที
ผมไม่คุ้นกับเตียงที่นี่เอาเสียเลย ตามประสาคนนอนแปลกที่นั่นแหละครับ ผมใช้เวลาพอสมควรกว่าที่ผมจะนอนหลับ ในห้วงสติหนึ่งของผม ผมเห็นสถานที่หนึ่งสถานที่นั้นมืดมิดมาก ดำมืดไปหมด แต่กลับปรากฎร่างของหญิงสาวนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ ผมยาวกระเซอะกระเซิงลงมาปิดใบหน้าที่ก้มอยู่ของเธอ เสื้อที่อาจจะเคยเป็นเสื้อสีขาว แต่บัดนี้กลายเป็นเสื้อสีน้ำตาลเสียทั้งตัว กางเกงที่อาจจะเคยเป็นกางเกงขายาวกลับขาดวิ่นเสียเช่นนั้น มือทั้งสองของเธอกำลังขุดดิน ขุด ขุด ขุด พร้อมกับเสียงร้องไห้สะอื้น ผมเรียกเธอ แต่เธอไม่สามารถเงยหน้ามาดูผมได้ เธอพูดพร้อมกับเสียงสะอื้น เป็นประโยคที่ยาวมาก เนื่องจากเธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สะอื้น ผมจึงไม่สามารถฟังออกได้ว่าเธอพูดว่าอย่างไร ผมพยายามขอให้เธอพูดหลายครั้ง พยายามเข้าไปช่วย แต่ผมกลับทำได้เพียงเห็นภาพเธอเท่านั้น จนเธอตะโกนมาสุดเสียงว่า “อย่าอยู่ที่นี่” ผมตกใจจนสะดุ้งตื่นพร้อมกับหันไปมองห่อกระดาษห่อที่ผมใช้ห่อเล็บของใครบางคนไว้ ขณะนั้นเป็นเวลาตีห้าเห็นจะได้ ผมก็คงนอนไม่หลับแล้วล่ะ ชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างที่สุดว่าที่ตรงนี้ต้องมีเหตุการณ์อะไรซักอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเป็นแน่ แล้วหญิงสาวผู้นั้นเธอเป็นใครผมเองก็นึกสงสัยอยู่ในใจ ผมจึงตื่นมานั่งเล่นคอมพิวเตอร์ต่อเพื่อรอ รอให้ถึงรุ่งเช้า
ไม่นานนักแสงแดดยามเช้าเริ่มทอประกายให้เห็นบรรยากาศภายนอกได้อย่างชัดเจน ผมตัดสินใจคว้าห่อกระดาษที่ผมห่อเศษเล็บไว้นั้นใส่ในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ตตัวโปรดของผม พร้อมกับควบรถมอเตอร์ไซค์ออกไปซื้อของเพื่อที่จะไปทำบุญ ผมใช้เวลาในการซื้อของไม่นานนัก และผมก็เดินทางไปที่วัดบริเวณห้องแถวที่ผมเช่าอยู่ “เอ้า มาทำบุญแต่เช้าเลยนะโยม” พระรูปหนึ่งถามผมพร้อมกับใบหน้าอันยิ้มแย้ม ผมจึงขอนิมนต์ท่านเพื่อจะถวายสังฆทาน “โยมจะอุทิศให้ใครล่ะ” พระท่านถามด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ “ผมขออุทิศให้ผู้หญิงคนหนึ่งน่ะครับหลวงพ่อ” หลังจากให้ศีลให้พรเสร็จ ท่านก็ชวนคุยทั่วไป และท่านก็ถามผมว่า “โยมเพิ่งมาอยู่แถวนี้ใช่ไหม แล้วพักอยู่ที่ไหนล่ะ” ผมก็ตอบไปอย่างไม่ลังเลว่า “ห้องแถวของยายขวัญน่ะครับ” เสี้ยววินาทีหนึ่ง สีหน้าหลวงพ่อดูกังวลอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับพูดว่า “งั้นหรอ ขอให้โชคดีนะโยมนะ” ผมก็ขอบคุณท่าน และขอลากลับเพื่อที่จะเตรียมตัวเพื่อที่จะไปเรียนต่อ ผมนึกขึ้นได้ว่าพกเศษเล็บติดมาด้วย ผมจึงแกะห่อกระดาษ และนำไปเทไว้ที่ใต้ต้นโพธิ์หน้าวัด (ผมไม่รู้ว่าเป็นพิธีกรรมที่ถูกต้องไหม แต่ผมทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่ออยากให้เธอหลุดพ้นเพียงเท่านั้น) แล้วผมก็เดินไปยังมอเตอร์ไซค์ของผม พร้อมกับหันกลับไปมองอีกครั้ง “โชคดีนะ” ผมพูดในใจพร้อมกับควบมอเตอร์ไซค์กลับห้องพักของผม