ลูก เป็นความหวังของพ่อแม่ แน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคนคาดหวังให้ลูกของตน โตมาแล้วต้องเป็นเด็กที่ฉลาด เรียนเก่ง มีความสามารถสูง เรียนสูงๆ ได้ทำงานที่ดี มีรายได้เยอะๆ แต่คุณพ่อคุณแม่กำลังหลงลืมอะไรไปหรือไม่ สิ่งที่คุณคาดหวังกับลูกเพราะคุณหวังดีกับลูกหรือเป็นการตอบสนองความต้องการของตัวเอง
การเลี้ยงลูก การดำเนินชีวิตในปัจจุบันเต็มไปด้วยการแข่งขัน เริ่มตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ แม่ต้องมีการแข่งขันที่จะฝากครรภ์กับแพทย์ที่คิดว่าเก่งที่สุด โรงพยาบาลที่ดีที่สุด แม้จะต้องยอมจ่ายค่าฝากครรภ์ที่แพงกว่าปกติก็ตาม ขณะตั้งครรภ์แม่หลายคนเลือกรับประทานอาหารที่คิดว่าดีที่สุดเพื่อให้ลูกเกิดมาเป็นเด็กที่มีมันสมองดี เรียนเก่ง เมื่อคลอดออกมา ในขณะเป็นทารกก็เลือกอาหารและนมที่คิดว่ามีสารอาหารที่ดีที่สุด เมื่อเข้าโรงเรียนก็แข่งขันให้ลูกได้เข้าโรงเรียนที่ดีที่สุด พ่อแม่หลายคนเลือกที่จะให้ลูกได้เรียนเพื่อให้เก่งกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน หรือเรียนเร็วกว่าพัฒนาการตามวัยของเด็ก
1. ต้องให้ลูกเรียนพิเศษเพิ่มเติมจากที่เรียนในห้องเรียนปกติ นอกเหนือจากนั้นก็ยังให้ลูกไปเรียนกิจกรรมอย่างอื่นที่เป็นความสามารถพิเศษ เช่น การเรียนดนตรี ศิลปะ คอมพิวเตอร์ ภาษา ชีวิตของลูกๆคุณถูกกำหนดด้วยตารางการเรียนเต็มไปหมดตลอดทั้งวัน พ่อแม่ที่ทำเช่นนั้น คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาสามารถมอบให้ลูกเพื่อให้ลูกเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่อย่างที่ตัวเองคาดหวังไว้ แต่อยากให้คุณแม่คุณแม่กลับมาทบทวนสักนิดหนึ่งว่า สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้นเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อมหรือไม่ บทความนี้มีข้อคิดดีๆ ที่อยากให้พ่อแม่ได้คิดเพื่อที่ลูกโตมาแล้วจะไม่กลับมาบอกกับเราว่า “ พ่อแม่จ๋าอย่ารังแกหนู”
2. การตั้งเป้าหมายในชีวิตให้ลูก ซึ่งเป้าหมายนั้นเป็นสิ่งที่คุณเคยอยากจะเป็น อยากจะทำแต่ไม่มีโอกาสหรือทำไม่สำเร็จ
การที่พ่อแม่ตั้งเป้าหมายให้ลูกโดยเอาความฝันของตนเองมากำหนด จะเป็นการตัดโอกาสในการค้นหาความฝันของลูก ทำให้ลูกไม่สามารถค้นหาสิ่งที่ตนเองชอบหรืออยากจะเป็นได้อย่าง เมื่อลูกต้องทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบหรืออาจจะไม่เกลียดแต่ลูกจะรู้สึกว่าถูกบังคับ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถทำได้ดี แต่ก็จะทำให้ลูกไม่มีความสุข เมื่อใดที่เกิดปัญหาลูกของคุณจะมีความพยายามน้อยกว่าปกติที่จะหาทางแก้ปัญหานั้นๆ ที่เลวร้ายกว่านั้น ลูกของคุณอาจเป็นคนหนีปัญหา หรือท้อถอยง่ายก็เป็นได้
3. เลือกโรงเรียนดังๆ ผลักดันให้ลูกได้เรียนในห้องเรียนอัจฉริยะ สร้างความเชื่อให้กับลูกว่าเกรดที่ดีเท่านั้นที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
การทำเช่นนี้เป็นการสร้างแรงกดดันให้กับลูก แทนที่ลูกจะได้มีความสบายใจที่ได้เรียน เปิดรับได้เต็มที่ทั้งทางร่างกาย สมองและจิตใจ แต่การตั้งข้อกำหนดเหล่านี้จะสร้างความเครียดให้กับลูก ในขณะเรียนหนังสือลูกของคุณจะไม่มีสมาธิในการเรียน ดังนั้นยิ่งเมื่อคุณคาดหวังให้ลูกเรียนเก่งลูกจะยิ่งเรียนไม่เก่ง หรือถึงแม้เขาจะเรียนเก่งตามที่พ่อแม่คาดหวังแต่สิ่งที่หายไปของลูกก็คือความสุข
4 .เปรียบเทียบลูกตัวเองกับเด็กคนอื่นๆ เสมอ ในความเป็นจริง พ่อแม่คงต้องการสร้างแรงผลักดันให้ลูกมีความกระตือรือร้นที่จะเป็นในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ แต่การทำเช่นนี้จะทำให้ลูกเป็นคนขี้น้อยใจ ขาดความมั่นใจในตัวเอง การที่เด็กขาดความมั่นใจมีผลต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ คือเด็กจะมีการเรียนรู้ช้าเนื่องจากความไม่กล้าที่จะแสดงออกเพราะกลัวว่าสิ่งที่แสดงออกไปจะดูด้อยกว่าคนอื่นแล้วอาจได้รับการต่อว่าจากครูและเพื่อนๆ นอกจากนั้นเด็กจะกลายเป็นคนที่ไม่เคยมีความพอใจในตัวเอง
5. มองสิ่งที่ลูกชอบ ที่ลูกถนัดว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ไม่มีคุณค่า การที่พ่อแม่มีความคิดเช่นนี้ จะทำให้ลูกเป็นเด็กเก็บกดเพราะไม่ได้แสดงออกในสิ่งที่ตัวเองชอบ เด็กอาจจะกลายเป็นคนสองบุคลิก คือต่อหน้าพ่อแม่เป็นลักษณะหนึ่ง แต่ลับหลังเป็นอีกลักษณะหนึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะกับสิ่งที่ลูกชอบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมต่างๆ เด็กจะเกิดการต่อต้านแต่ไม่แสดงออก เมื่อมีปัญหาเด็กจะไม่มีความกล้าที่จะปรึกษาพ่อแม่ การที่ปล่อยให้ลูกเป็นเช่นนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมากเพราะ พ่อแม่ไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงสิ่งที่ลูกกำลังทำอยู่ หากเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายพ่อแม่อาจไม่สามารถช่วยเหลือได้
6. เข้าข้างลูกตัวเอง สร้างความเชื่อให้กับลูกว่าสิ่งที่ลูกทำเป็นสิ่งที่ดีที่สุด คนอื่นไม่ดี การสร้างความเชื่อเช่นนี้จะทำให้ลูกของคุณเป็นเด็กที่ไม่ยอมรับความจริง ไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งไหนควรทำสิ่งไหนไม่ควรทำ เมื่อลูกของคุณทำผิดและถูกคนอื่นว่ากล่าวตักเตือน เด็กอาจไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ที่เลวร้ายกว่านั้นลูกของคุณอาจกลายเป็นคนก้าวร้าว เย่อหยิ่ง ทะนงตัว และโอ้อวด
7. ปกป้องลูกจากอุปสรรคต่างๆ ทั้งหมดในโลกนี้ ทำเช่นนี้เป็นการเก็บลูกของคุณออกจากโลกแห่งความเป็นจริง เด็กจะไม่มีภูมิคุ้มกันด้านจิตใจ เมื่อต้องเผชิญปัญหาจะไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองต้องพึ่งคนอื่นอยู่ตลอดเวลา คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมเรื่องหนึ่งว่า เราไม่ได้มีอายุอยู่ถึง 200 ปี เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถอยู่ปกป้องลูกไปได้ตลอดชีวิตของเขา
สิ่งต่างๆที่พ่อแม่กำลังทำให้กับลูกอยู่ในขณะนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่พ่อแม่คิดว่าดีที่สุดที่จะทำให้ลูกได้ และ เต็มไปด้วยความคาดหวังว่าลูกจะตอบแทนในสิ่งที่พ่อแม่ให้ไป แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่ไม่ได้นึกถึงคือความสุขและความจริงซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินชีวิตในอนาคต หากเราต้องการให้ลูกเรียนเก่ง ก็ควรที่จะให้ลูกได้รับการเรียนรู้ที่เหมาะสมตามวัย ได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตจริง ให้ลูกได้ฝึกการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง อย่าขโมยเวลาในการเรียนรู้ชีวิตของลูกด้วยการกำหนดเป็นตารางเวลา
ถึงแม้ว่าการเรียนบางอย่างจะไม่ใช่การเรียนวิชาการก็ตาม เช่น การเรียนดนตรี ศิลปะ พ่อแม่อาจคิดว่าการเรียนเหล่านี้เป็นการผ่อนคลาย แต่แทนที่จะให้ลูกรู้สึกว่าเป็นการเรียนต้องทำให้ได้ พ่อแม่ควรคิดอีกมุมหนึ่งคือให้ลูกได้เรียนรู้จากสิ่งที่เขาได้เล่น ได้ผ่อนคลาย การที่ลูกถูกกำหนดตารางเวลามักจะทำให้เด็กเกิดความเครียดและความกดดัน จนเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ นอกจากด้านการเรียนแล้ว การสร้างภูมิคุ้มกันด้านจิตใจ สร้างมุมมอง ทัศนคติที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต สิ่งเหล่านี้จึงจะเป็นการให้แก่ลูกที่ดีที่สุด ในวันหนึ่งที่ไม่มีพ่อแม่แล้ว ลูกของคุณจะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องด้วยตัวเองได้ต่อไป
พ่อแม่จ๋าอย่างรังแกหนู สิ่งที่คุณคาดหวังกับลูกเพราะคุณหวังดีกับลูกเกินไป
ลูก เป็นความหวังของพ่อแม่ แน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคนคาดหวังให้ลูกของตน โตมาแล้วต้องเป็นเด็กที่ฉลาด เรียนเก่ง มีความสามารถสูง เรียนสูงๆ ได้ทำงานที่ดี มีรายได้เยอะๆ แต่คุณพ่อคุณแม่กำลังหลงลืมอะไรไปหรือไม่ สิ่งที่คุณคาดหวังกับลูกเพราะคุณหวังดีกับลูกหรือเป็นการตอบสนองความต้องการของตัวเอง
การเลี้ยงลูก การดำเนินชีวิตในปัจจุบันเต็มไปด้วยการแข่งขัน เริ่มตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ แม่ต้องมีการแข่งขันที่จะฝากครรภ์กับแพทย์ที่คิดว่าเก่งที่สุด โรงพยาบาลที่ดีที่สุด แม้จะต้องยอมจ่ายค่าฝากครรภ์ที่แพงกว่าปกติก็ตาม ขณะตั้งครรภ์แม่หลายคนเลือกรับประทานอาหารที่คิดว่าดีที่สุดเพื่อให้ลูกเกิดมาเป็นเด็กที่มีมันสมองดี เรียนเก่ง เมื่อคลอดออกมา ในขณะเป็นทารกก็เลือกอาหารและนมที่คิดว่ามีสารอาหารที่ดีที่สุด เมื่อเข้าโรงเรียนก็แข่งขันให้ลูกได้เข้าโรงเรียนที่ดีที่สุด พ่อแม่หลายคนเลือกที่จะให้ลูกได้เรียนเพื่อให้เก่งกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน หรือเรียนเร็วกว่าพัฒนาการตามวัยของเด็ก
1. ต้องให้ลูกเรียนพิเศษเพิ่มเติมจากที่เรียนในห้องเรียนปกติ นอกเหนือจากนั้นก็ยังให้ลูกไปเรียนกิจกรรมอย่างอื่นที่เป็นความสามารถพิเศษ เช่น การเรียนดนตรี ศิลปะ คอมพิวเตอร์ ภาษา ชีวิตของลูกๆคุณถูกกำหนดด้วยตารางการเรียนเต็มไปหมดตลอดทั้งวัน พ่อแม่ที่ทำเช่นนั้น คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาสามารถมอบให้ลูกเพื่อให้ลูกเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่อย่างที่ตัวเองคาดหวังไว้ แต่อยากให้คุณแม่คุณแม่กลับมาทบทวนสักนิดหนึ่งว่า สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้นเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อมหรือไม่ บทความนี้มีข้อคิดดีๆ ที่อยากให้พ่อแม่ได้คิดเพื่อที่ลูกโตมาแล้วจะไม่กลับมาบอกกับเราว่า “ พ่อแม่จ๋าอย่ารังแกหนู”
2. การตั้งเป้าหมายในชีวิตให้ลูก ซึ่งเป้าหมายนั้นเป็นสิ่งที่คุณเคยอยากจะเป็น อยากจะทำแต่ไม่มีโอกาสหรือทำไม่สำเร็จ
การที่พ่อแม่ตั้งเป้าหมายให้ลูกโดยเอาความฝันของตนเองมากำหนด จะเป็นการตัดโอกาสในการค้นหาความฝันของลูก ทำให้ลูกไม่สามารถค้นหาสิ่งที่ตนเองชอบหรืออยากจะเป็นได้อย่าง เมื่อลูกต้องทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบหรืออาจจะไม่เกลียดแต่ลูกจะรู้สึกว่าถูกบังคับ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถทำได้ดี แต่ก็จะทำให้ลูกไม่มีความสุข เมื่อใดที่เกิดปัญหาลูกของคุณจะมีความพยายามน้อยกว่าปกติที่จะหาทางแก้ปัญหานั้นๆ ที่เลวร้ายกว่านั้น ลูกของคุณอาจเป็นคนหนีปัญหา หรือท้อถอยง่ายก็เป็นได้
3. เลือกโรงเรียนดังๆ ผลักดันให้ลูกได้เรียนในห้องเรียนอัจฉริยะ สร้างความเชื่อให้กับลูกว่าเกรดที่ดีเท่านั้นที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
การทำเช่นนี้เป็นการสร้างแรงกดดันให้กับลูก แทนที่ลูกจะได้มีความสบายใจที่ได้เรียน เปิดรับได้เต็มที่ทั้งทางร่างกาย สมองและจิตใจ แต่การตั้งข้อกำหนดเหล่านี้จะสร้างความเครียดให้กับลูก ในขณะเรียนหนังสือลูกของคุณจะไม่มีสมาธิในการเรียน ดังนั้นยิ่งเมื่อคุณคาดหวังให้ลูกเรียนเก่งลูกจะยิ่งเรียนไม่เก่ง หรือถึงแม้เขาจะเรียนเก่งตามที่พ่อแม่คาดหวังแต่สิ่งที่หายไปของลูกก็คือความสุข
4 .เปรียบเทียบลูกตัวเองกับเด็กคนอื่นๆ เสมอ ในความเป็นจริง พ่อแม่คงต้องการสร้างแรงผลักดันให้ลูกมีความกระตือรือร้นที่จะเป็นในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ แต่การทำเช่นนี้จะทำให้ลูกเป็นคนขี้น้อยใจ ขาดความมั่นใจในตัวเอง การที่เด็กขาดความมั่นใจมีผลต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ คือเด็กจะมีการเรียนรู้ช้าเนื่องจากความไม่กล้าที่จะแสดงออกเพราะกลัวว่าสิ่งที่แสดงออกไปจะดูด้อยกว่าคนอื่นแล้วอาจได้รับการต่อว่าจากครูและเพื่อนๆ นอกจากนั้นเด็กจะกลายเป็นคนที่ไม่เคยมีความพอใจในตัวเอง
5. มองสิ่งที่ลูกชอบ ที่ลูกถนัดว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ไม่มีคุณค่า การที่พ่อแม่มีความคิดเช่นนี้ จะทำให้ลูกเป็นเด็กเก็บกดเพราะไม่ได้แสดงออกในสิ่งที่ตัวเองชอบ เด็กอาจจะกลายเป็นคนสองบุคลิก คือต่อหน้าพ่อแม่เป็นลักษณะหนึ่ง แต่ลับหลังเป็นอีกลักษณะหนึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะกับสิ่งที่ลูกชอบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมต่างๆ เด็กจะเกิดการต่อต้านแต่ไม่แสดงออก เมื่อมีปัญหาเด็กจะไม่มีความกล้าที่จะปรึกษาพ่อแม่ การที่ปล่อยให้ลูกเป็นเช่นนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมากเพราะ พ่อแม่ไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงสิ่งที่ลูกกำลังทำอยู่ หากเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายพ่อแม่อาจไม่สามารถช่วยเหลือได้
6. เข้าข้างลูกตัวเอง สร้างความเชื่อให้กับลูกว่าสิ่งที่ลูกทำเป็นสิ่งที่ดีที่สุด คนอื่นไม่ดี การสร้างความเชื่อเช่นนี้จะทำให้ลูกของคุณเป็นเด็กที่ไม่ยอมรับความจริง ไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งไหนควรทำสิ่งไหนไม่ควรทำ เมื่อลูกของคุณทำผิดและถูกคนอื่นว่ากล่าวตักเตือน เด็กอาจไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ที่เลวร้ายกว่านั้นลูกของคุณอาจกลายเป็นคนก้าวร้าว เย่อหยิ่ง ทะนงตัว และโอ้อวด
7. ปกป้องลูกจากอุปสรรคต่างๆ ทั้งหมดในโลกนี้ ทำเช่นนี้เป็นการเก็บลูกของคุณออกจากโลกแห่งความเป็นจริง เด็กจะไม่มีภูมิคุ้มกันด้านจิตใจ เมื่อต้องเผชิญปัญหาจะไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองต้องพึ่งคนอื่นอยู่ตลอดเวลา คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมเรื่องหนึ่งว่า เราไม่ได้มีอายุอยู่ถึง 200 ปี เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถอยู่ปกป้องลูกไปได้ตลอดชีวิตของเขา
สิ่งต่างๆที่พ่อแม่กำลังทำให้กับลูกอยู่ในขณะนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่พ่อแม่คิดว่าดีที่สุดที่จะทำให้ลูกได้ และ เต็มไปด้วยความคาดหวังว่าลูกจะตอบแทนในสิ่งที่พ่อแม่ให้ไป แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่ไม่ได้นึกถึงคือความสุขและความจริงซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินชีวิตในอนาคต หากเราต้องการให้ลูกเรียนเก่ง ก็ควรที่จะให้ลูกได้รับการเรียนรู้ที่เหมาะสมตามวัย ได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตจริง ให้ลูกได้ฝึกการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง อย่าขโมยเวลาในการเรียนรู้ชีวิตของลูกด้วยการกำหนดเป็นตารางเวลา
ถึงแม้ว่าการเรียนบางอย่างจะไม่ใช่การเรียนวิชาการก็ตาม เช่น การเรียนดนตรี ศิลปะ พ่อแม่อาจคิดว่าการเรียนเหล่านี้เป็นการผ่อนคลาย แต่แทนที่จะให้ลูกรู้สึกว่าเป็นการเรียนต้องทำให้ได้ พ่อแม่ควรคิดอีกมุมหนึ่งคือให้ลูกได้เรียนรู้จากสิ่งที่เขาได้เล่น ได้ผ่อนคลาย การที่ลูกถูกกำหนดตารางเวลามักจะทำให้เด็กเกิดความเครียดและความกดดัน จนเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ นอกจากด้านการเรียนแล้ว การสร้างภูมิคุ้มกันด้านจิตใจ สร้างมุมมอง ทัศนคติที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต สิ่งเหล่านี้จึงจะเป็นการให้แก่ลูกที่ดีที่สุด ในวันหนึ่งที่ไม่มีพ่อแม่แล้ว ลูกของคุณจะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องด้วยตัวเองได้ต่อไป