วิกฤตปารีส : โอกาส(ของ)ซีเรีย




นับตั้งแต่เกิดวิกฤตสงครามการเมืองในซีเรียตั้งแต่กลางปี 2011 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่าสองแสนคน
และอีกสิบกว่าล้านคนที่ต้องอพยพทิ้งบ้านเรือนจนกลายเป็นปัญหาระดับโลกนั้น จุดยืนและเป้าหมายสำคัญที่สุด
สองประการของฝรั่งเศสและประเทศตะวันตกอื่นๆ คือการโค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด
ให้พ้นจากตำแหน่งผู้นำประเทศซีเรียและกำจัดกลุ่มก่อการร้ายไอซิส (ISIS) ให้สิ้นฤทธิ์


แต่เหตุการณ์การก่อการร้ายเมื่อคืนวันที่ 13 พฤศจิกายน ณ มหานครปารีส จนมีผู้เสียชีวิตล่าสุดถึง 130 คน
กลายเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างยิ่งยวดทั้งต่อยุทธศาสตร์ของฝ่ายตะวันตกและอนาคตของประธานาธิบดี
แห่งซีเรียอย่างที่ไม่มีใครคิดมาก่อนเลย




ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์การก่อการร้ายที่เลวร้ายและรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส นับตั้งแต่สงครามโลก
ครั้งที่2 สิ้นสุดลง ดูเหมือนว่าฝรั่งเศสและแนวร่วมตะวันตกที่มีสหรัฐเป็นผู้นำถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้คิดทุ่มเทความตั้งใจ
และศักยภาพเพื่อกำจัดกลุ่มISIS อย่างจริงจัง   แต่จุดโฟกัสกลับมุ่งไปที่การโค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดมากที่สุด
เป็นท่าทีที่ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ โอลล็องด์ ประกาศอย่างชัดเจนที่สุดนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศฝรั่งเศสในช่วงกลางปี 2012


ก้าวสำคัญต่อมาของผู้นำฝรั่งเศสที่ไม่มีความเชื่อในเรื่องศาสนาคนนี้ก็คือ การประกาศรับรองกลุ่มแนวร่วมผสมแห่งซีเรีย (SNC)
ตั้งให้เป็นตัวแทนของประเทศซีเรียที่ชอบธรรมเพียงหนึ่งเดียว นั่นหมายถึงว่า วันที่ 13 พฤศจิกายน 2012 คือวันแรกสุดที่ผู้นำฝรั่งเศส
คนปัจจุบันนี้ประกาศท่าที "ตัดขาด" ไม่รับรองรัฐบาลบาชาร์ อัล-อัสซาด อย่างเป็นทางการ


อาจเป็นไปได้ว่า การที่กลุ่มผู้ก่อการร้าย ISIS ตัดสินใจและวางแผนเลือกก่อเหตุโศกนาฏกรรมในคืนวันที่ 13 พฤศจิกายน 2015 นั้น
นอกเหนือจากเหตุผลเรื่อง "ศุกร์ 13" ตามอาถรรพ์ความเชื่อของตะวันตกแล้ว วันดังกล่าวคือวันที่ครบรอบสามปีพอดิบพอดี
ที่ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ โอลล็องด์ ประกาศเป็นศัตรูไม่เผาผีกับประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด และครบรอบหนึ่งทศวรรษ
ของเหตุการณ์การจลาจลที่กลุ่มวัยรุ่นเชื้อสายอาหรับและแอฟริกันเหนือก่อเหตุเผารถยนต์หลายพันคันทั่วประเทศจนเป็นภาพที่น่าสพรึงกลัว


เพราะเป็นเหตุการณ์ก่อการร้ายที่มีความรุนแรงและเลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งบนแผ่นดินยุโรป วิกฤตปารีสในครั้งนี้จึงก่อให้เกิด
"แผ่นดินไหว" ที่สั่นสะเทือนไปทั่ว ครอบคลุมตั้งแต่ปารีส ลอนดอน เบอร์ลิน บรัสเซลส์ไปจนถึงวอชิงตัน
จนกระทั่งผู้นำตะวันตกทั้งสองฟากฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติก เริ่มยอมรับในความล้มเหลวและทบทวนถึงความผิดพลาด
ในยุทธศาสตร์ที่มีต่อปัญหาวิกฤตซีเรียตลอดช่วงระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมาที่ดูเหมือนเป็นเป้าหมายที่ขัดแย้งกันเอง
เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว รัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดและกลุ่ม ISIS คือศัตรูหลักของกันและกันที่จะไม่มีวันเป็นพันธมิตร
ร่วมมือกันได้ แต่ฝ่ายตะวันตกกลับหลงทางคิดจะปราบทั้งเสือทั้งจระเข้พร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ
เมื่อเทียบกับรัสเซียที่มียุทธ์ศาสตร์และเป้าหมายที่ชัดเจนหนึ่งเดียวคือสนับสนุนผู้นำซีเรีย




บทเรียนสำคัญเมื่อครั้งในอดีตหลายๆ กรณีถูกหยิบยกขึ้นมาพินิจพิจารณาเพื่อเตือนความทรงจำของผู้นำในยุคปัจจุบันว่า
ยุทธ์ศาสตร์แบบไหนที่มีประสิทธิภาพและเป็นจริงที่สุด โดยเฉพาะกรณีของอังกฤษ (ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2)
ซึ่งเลือกที่จะผูกมิตรกับอดอฟ ฮิตเลอร์ เพราะเชื่อว่าเยอรมนีจะช่วยป้องกันภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์รัสเซียที่อันตรายยิ่งกว่าได้
(ภาพที่สมเด็จควีนเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์แสดงท่าเคารพแบบนาซีจนเป็นประเด็นถกเถียงเมื่อเร็วๆ นี้
ถูกวิเคราะห์ตีความให้เห็นถึงข้อเท็จจริงนี้?)    เช่นเดียวกับฝรั่งเศส (ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) ที่ต้องเลือกเป็นพันธมิตร
กับสตาลินเพราะถือว่าคอมมิวนิสต์รัสเซียเป็นภัยคุกคามที่น้อยกว่านาซีฮิตเลอร์


สถานการณ์หลังวิกฤตปารีสในวันนี้ได้พัฒนามาสู่จุดที่ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง   นั่นคือฝรั่งเศสและพันธมิตรตะวันตก
จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญและตัดสินใจเลือกระหว่างประธานาธิบดีบาชาร์อัล-อัสซาด กับกลุ่ม ISIS เพื่อกำหนดยุทธ์ศาสตร์ใหม่
(ที่ถูกต้อง) คำแถลงของประธานาธิบดีฟรังซัวส์ โอลลองด์ ต่อรัฐสภาฝรั่งเศสคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุดว่า
ณ เวลานี้ ศัตรูตัวร้ายกาจที่สุดของประเทศคือกลุ่มก่อการร้าย ISIS ไม่ใช่ผู้นำซีเรีย ซึ่งมีบุคลิก (ทั้งหน้าตาและส่วนสูง)
คล้ายนายพลชาร์ล เดอโกล ที่คนฝรั่งเศสยกย่องให้เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
และยังคงมีอิทธิพลทางความคิดทั้งต่อการเมืองและนโยบายต่างประเทศของฝรั่งเศสปัจจุบัน



นายพลชาร์ล เดอโกล


ผู้นำระดับสูงและนักการเมืองทั้งในฟากยุโรปและอเมริกาเริ่มโอนอ่อนและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่
สนับสนุนความคิด(ของผู้นำฝรั่งเศส)  ว่า ณ สถานการณ์ปัจจุบันนี้ กลุ่ม ISIS คือภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดต่อมนุษยชาติ
หนึ่งในนั้นก็คือฮิลลารี คลินตัน   อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศในยุคประธานาธิบดีบารัค โอบามา สมัยแรกและกำลังจะ
อยู่ในช่วงรณรงค์หาเสียงเพื่อสมัครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไป


การเปลี่ยนแปลงทางความคิด  ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในนโยบายและยุทธศาสตร์ ของกลุ่มประเทศตะวันตก
ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นี้ส่งผลดีที่เป็นคุณต่อประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด อย่างแน่นอน



ประการแรกสุดก็คือช่วยต่ออายุของผู้นำซีเรียหรือ "Mr 9/11" คนนี้ (เพราะเกิดวันที่ 11 กันยายน
ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ) ออกไปอีกระยะหนึ่ง อาจจะนานถึง 18 เดือน
ในช่วงระหว่างที่ซีเรียกำลังเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่านตามแผนสันติภาพ ในความเป็นไปได้ดังกล่าว มีแนวโน้มว่า
หลัง บารัค โอบามา พ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนมกราคม 2017 แล้ว
โลกอาจจะยังคงเห็นประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด อยู่ในตำแหน่งผู้นำประเทศซีเรียต่อไปก็เป็นไป


ประการต่อมาก็คือ ทำให้ผู้นำซีเรียที่มีความสูงชะลูดถึง 189 เซนติเมตร คนนี้มีความสำคัญขึ้นมาทันทีอย่างคาดไม่ถึง
ตราบเท่าที่การกำจัดกลุ่ม ISIS เป็นเป้าหมายเร่งด่วนและสำคัญที่สุดของประชาคมโลก เพราะในยุทธศาสตร์ทางทหารแล้ว
ปฏิบัติการภาคพื้นดินคือปัจจัยชี้ขาดหากคิดจะกำจัดกองกำลัง ISIS ในซีเรียให้สิ้นซาก แต่เป็น mission impossible
สำหรับประเทศมหาอำนาจทั้งสหรัฐ ฝรั่งเศส อังกฤษ รวมทั้งมหาอำนาจตัวจริงอย่างรัสเซียที่ไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาด
เหมือนเช่นในอัฟกานิสถานและอิรัก ยิ่งไปกว่า อาวุธนิวเคลียร์ที่มีอยู่ก็ดูจะไร้ประโยชน์ไม่สามารถนำมาใช้
เพื่อปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายนี้ได้เลย


ดังนั้น ภารกิจครั้งประวัติศาสตร์นี้จะสำเร็จได้ อาจจะต้องอาศัยกองทัพของรัฐบาลบาชาร์ อัล-อัสซาด
ร่วมกับทหารอิหร่านและกองกำลังเฮชบอลเลาะห์ (ซึ่งมีถิ่นฐานหลักอยู่ในเลบานอน) ตลอดจนกองกำลังชาวเคิร์ด
จำนวนมากที่มีศักยภาพและความมุ่งมั่นมากที่สุด


สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศหลังวิกฤตปารีสได้พัฒนามาสู่จุดที่เหลือเชื่อ เมื่อโลกตะวันตก
อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการความร่วมมือจากประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดมากกว่าที่ผู้นำซีเรียจะต้องการความช่วยเหลือใดๆ
จากฝ่ายตะวันตก ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกหรือตัวเลือกอื่นๆ ที่ดีกว่านี้




เพราะฉะนั้นแล้ว ในความคิดของผู้นำตะวันตก ณ เวลานี้ ดูเหมือนจะได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่าจะเลวร้ายสักแค่ไหน
แต่อย่างน้อยที่สุด ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งมีพื้นฐานการศึกษาทางการแพทย์คนนี้  ก็ยังมีประโยชน์
ต่อพันธมิตรตะวันตกไม่น้อย เหมือนที่ยุโรปต้องอาศัยพึ่งพาสตาลินและกองทัพรัสเซียในการต่อสู้กับกองทัพนาซีของฮิตเลอร์
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น การโค่นล้มบาชาร์ อัล-อัสซาด ให้มีชะตากรรมแบบเดียวกับซัดดัม ฮุสเซน หรือพันเอกโมฮัมหมัด กัดดาฟี
อาจจะยิ่งทำให้ซีเรียมีสภาพเลวร้ายไม่ต่างจากอิรักหรือลิเบียในวันนี้ก็เป็นได้ นั่นหมายถึงซีเรียจะมีสภาพเป็นเหมือน
"โรงงาน" ผลิตผู้ก่อการร้ายขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตามที่ผู้นำฝรั่งเศสกล่าวหาจริงๆ และเมื่อนั้น กลุ่มก่อการร้าย ISIS
จะขยายตัวจนยากที่ฝ่ายตะวันตกจะควบคุมได้เลย



อย่าลืมว่า ครั้งหนึ่ง ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด คนนี้เคยสร้างบุญคุณให้แก่ฝรั่งเศสและโลกตะวันตก
ในฐานะเป็นผู้เปิดเผยข้อมูลลับและชี้ช่องแหล่งหลบซ่อนกบดานของกัดดาฟี่จนนำไปสู่การสังหารจบชีวิตของอดีต
ผู้นำเผด็จการแห่งลิเบียคนนี้อย่างน่าอดสูที่สุด


ใครจะเชื่อว่าวิกฤตปารีสจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับผู้นำซีเรียคนนี้

(ที่มา:มติชนรายวัน 26 พ.ย.2558)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1448515480
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่