สวัสดีครับ รีวิวนี้เป็นรีวิวต่อจาก PART 6 ซึ่งเป็นรีวิว PART END ตอนสุดท้ายแล้ว
ติดตาม PART อื่นๆได้ที่
PART 1
http://ppantip.com/topic/34477529
PART 2
http://ppantip.com/topic/34477683
PART 3
http://ppantip.com/topic/34478336
PART 4
http://ppantip.com/topic/34478681
PART 5
http://ppantip.com/topic/34479411
PART 6
http://ppantip.com/topic/34479450
PART 7 : DAY 7 ฟาร์มสตอเบอร์รี่ นาริตะซัน Tokyo – Narita - Chiba - NRT - DMK
เช้าวันที่ 7 ของการเดินทาง เราออกเดินทางแต่เช้าเพราะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง โปรแกรมสำหรับวันนี้คือตื่นเช้าเก็บกระเป๋า เช็คเอ้าท์ ไปสถานีโตเกียวเพื่อนั่งต่อไปยังสถานีนาริตะ โดย JR Sobu Line Rapid Service จาก TOKYO – CHIBA และโดย JR Sobu/Narita Line Rapid จาก CHIBA – NARITA (ค่ารถไฟคนละ 1,140 เยน) ฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พัก โรงแรม Narita U-City Hotel 1 ห้อง 3 เตียง (11,200 เยน/คืน)
Narita U-City Hotel
1-1-2 Igodai, Narita 286-0035, Chiba Prefecture
Website Hotel:
http://www.u-cityhotel.com/
ราคา 11,200 เยน (3,136 บาท) / 1 ห้อง (3 คน) / 1 คืน
หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จก็เดินทางต่อโดยนั่งรถไฟจากสถานี NARITA ไปสถานี NARUTO (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที) ค่าโดยสารคนละ 580 เยน เพื่อที่จะไปชิมสตอเบอร์รี่สดๆจากฟาร์มที่นารุโตะขึ้นชื่อเรื่องสตอเบอร์รี่สดๆใหม่ๆเด็ดกินจากต้นได้เลย
เมื่อถึงสถานีนารุโตะแล้วก็ให้เดินออกมาจากสถานีแล้วเลี้ยวซ้ายจะเห็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่เป็นสมาคมรวบรวมฟาร์มปลูกสตอเบอร์รี่ทั่วทั้งเมืองนารุโตะ (Sammu Naruto Strawberry Trust Association) ใครสนใจจะไปฟาร์มไหนก็มาติดต่อได้ที่นี่
พวกเราก็เลยเข้าไปติดต่อว่าต้องการจะไปฟาร์มสตอเบอร์รี่ เจ้าหน้าที่น่ารักมากก็จัดแจงสอบถามฟาร์มระแวกนั้นว่าฟาร์มไหนพร้อมรับนักท่องเที่ยว เรารอสักพักรถจากฟาร์มก็มารับเราเป็นคุณลุงใจดีมากพาไปยังฟาร์มของแก
ฟาร์มแกก็ใหญ่พอสมควรมีสตอเบอร์รี่หลากหลายพันธุ์ให้เลือกชิม กติกาหรือข้อตกลงเบื้องต้นในการเข้าชิมสตอเบอร์นี่สดๆในฟาร์ม คุณลุงสาธิตวิธีการเก็บสตอเบอร์รี่ว่าอย่าเด็ดโดยตรงเพราะจะกระทบการรากของต้นสตอเบอร์รี่ให้ค่อยๆหมุนตรงก้านของผลสตอเบอร์รี่เอา หมุดบิดนิดเดียวมันก็แยกออกจากกันแล้ว
ที่นี่ยังมีกระปุกนมข้นเล็กๆเอาไว้จิ้มกินกับสตอเบอร์รี่ด้วย แต่ขอบอกว่าสตอเบอร์รี่มันหวานมากอยู่แล้วนะ เวลาตามจริงกำหนดว่า 45 นาที ทานไม่อั้น แต่เอาเข้าจริงน่าจะเกินเวลา คุณลุงก็ใจดีไม่ว่าอะไรให้พวกเรากินได้อิ่มหนำสำราญเลยทีเดียว สนนราคาอยู่ที่คนละ 1,600 เยน ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการได้กินสตอเบอร์รี่สดๆจากต้น
หลังจากที่ใช้เวลาอิ่มหนำสำราญกับสตอเบอร์รี่จนได้เวลาอันสมควร คุณลุงก็พาเรามาส่งยังสถานีนารุโตะ เราก็เดินทางกลับจากนารุโตะมายังนาริตะ เพื่อไปหาข้าวกินตอนเย็นแถวๆเมืองนาริตะ
เมื่อถึงสถานีนาริตะแล้วจุดหมายของเราอีกที่คือที่วัดนาริตะซัน ซึ่งเมื่อออกมาด้านหน้าย่านเมืองเก่าเดินตรงมาจะเจอสี่แยกให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนน จะสังเกตเห็นป้ายบอกทางไปยังวัดนาริตะซัน
สังเกตได้ทันทีถ้าถึงหน้าวัดนาริตะซัน จะเห็นซุ้มประตูใหญ่ๆทำจากไม้ทางด้านซ้ายมือเป็นสัญลักษณ์เด่นชัดว่านี้คือวัดนาริตะซัน เมื่อเดินลอดซุ้มแรกผ่านเข้ามาจะเจอลานหินและทางเดินตรงขึ้นไปยังบันไดเพื่อลอดซุ้มอีก 1 ซุ้ม และเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆก็จะเจอกับลานหินกว้างอีกครั้ง สังเกตเห็นเจดีย์ 3 ชั้น อยู่ตรงขวามือ และโบสถ์ของวัดนาริตะซันอยู่ตรงหน้า ส่วนทางด้านซ้ายมือก็จะเป็นอาคารขายเครื่องรางและของที่ระลึก
หลังจากนั้นเราก็ไปกินข้าวเย็นกันแถวๆสถานี Keisei-Narita เพราะว่าจะไปสำรวจดูสถานีที่เราต้องขึ้นรถไฟไปสนามบินนาริตะรอบแรก เพราะคนละสถานีกับสถานี JR Narita ที่เราขึ้นจากโตเกียว มื้อเย็นมื้อนี้ก็เป็นราเม็งร้อนๆเสิร์ฟพร้อมข้าวผัดและเกี๊ยวซ่า คล้ายๆอาหารในวันแรกเลย สนนราคาก็ไม่แพงตกชุดละประมาณ 750 เยน
เมื่อกินข้าวซึ่งเป็นของคาวเสร็จเราก็มาต่อด้วยของหวานที่ร้าน DOUTOR ตรงข้ามสถานี Keisei-Narita รสชาติของเค้กก็นุ่ม หอม หวานละมุ่นลิ้นดี ส่วนรสชาติของโกโก้ก็ไม่เข้มจนเกินไปกำลังดีใช้ได้
หลังจากอิ่มแปร้กันหมดก็ต้องกลับที่พักเพื่อพักผ่อนและเดินทางกลับกรุงเทพฯในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันที่ 8 วันสุดท้ายของการเดินทาง เราก็ตื่นประมาณตีห้า เช็คเอ้าท์เพื่อเดินทางไปยังสนามบินกลับไทย อากาศช่วงเช้านี้หนาวมากจากที่สังเกตเครื่องบอกอุณหภูมิว่า 3 องศา ค่ารถไฟมาสนามบินนาริตะคนละ 260 เยน
นั่งรถไฟไม่นานเราก็มาถึงสนามบินนาริตะเป็นที่เรียบร้อย ก็ทำการเช็คอิน โหลดกระเป๋า แล้วก็เข้าไป Duty Free เพื่อซื้อของฝากครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง มาโตเกียวก็ต้องซื้อโตเกียวบานาน่าสินะ ของให้สนามบินก็มีให้เลือกมากมาย
เรากลับโดยเที่ยวบิน XJ601 เครื่องออก 09.15 น. ถึงเมืองไทยประมาณบ่ายสองตามกำหนดการณ์ แต่เรามาถึงจริงๆสี่โมงเย็นเพราะช่วงนั้นสภาพการจราจรบนน่านฟ้าติดขัดมาก เครื่องขึ้นลงเป็นว่าเล่น เลยต้องต่อคิวบินวนกว่าจะได้ลงก็สี่โมงเย็น แต่ก็มาถึงสนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ เป็นอันจบทริปการเดินทางตะลุยโตเกียว 8 วัน 6 คืนเป็นที่เรียบร้อย
ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านรีวิวนี้และหวังว่ารีวิวนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณได้ออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆในต่างแดนที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน พวกเราขอชวนให้คุณลองไปสัมผัสสักครั้งแล้วคุณจะติดใจ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ที่ส่งเข้ามา ผมจะทยอยตอบทุกคนนะครับ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้าครับ สวัสดีครับ
THE END
ติดตาม PART อื่นๆได้ที่
PART 1
http://ppantip.com/topic/34477529
PART 2
http://ppantip.com/topic/34477683
PART 3
http://ppantip.com/topic/34478336
PART 4
http://ppantip.com/topic/34478681
PART 5
http://ppantip.com/topic/34479411
PART 6
http://ppantip.com/topic/34479450
[CR] ตะลุยญี่ปุ่น พิชิต Landmark {Tokyo-Kawaguchiko-Kawagoe-Noborito-Naruto-Narita} 8 วัน 6 คืน 30,000 เอาอยู่ [PART 7 END]
สวัสดีครับ รีวิวนี้เป็นรีวิวต่อจาก PART 6 ซึ่งเป็นรีวิว PART END ตอนสุดท้ายแล้ว
ติดตาม PART อื่นๆได้ที่
PART 1 http://ppantip.com/topic/34477529
PART 2 http://ppantip.com/topic/34477683
PART 3 http://ppantip.com/topic/34478336
PART 4 http://ppantip.com/topic/34478681
PART 5 http://ppantip.com/topic/34479411
PART 6 http://ppantip.com/topic/34479450
PART 7 : DAY 7 ฟาร์มสตอเบอร์รี่ นาริตะซัน Tokyo – Narita - Chiba - NRT - DMK
เช้าวันที่ 7 ของการเดินทาง เราออกเดินทางแต่เช้าเพราะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง โปรแกรมสำหรับวันนี้คือตื่นเช้าเก็บกระเป๋า เช็คเอ้าท์ ไปสถานีโตเกียวเพื่อนั่งต่อไปยังสถานีนาริตะ โดย JR Sobu Line Rapid Service จาก TOKYO – CHIBA และโดย JR Sobu/Narita Line Rapid จาก CHIBA – NARITA (ค่ารถไฟคนละ 1,140 เยน) ฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พัก โรงแรม Narita U-City Hotel 1 ห้อง 3 เตียง (11,200 เยน/คืน)
Narita U-City Hotel
1-1-2 Igodai, Narita 286-0035, Chiba Prefecture
Website Hotel: http://www.u-cityhotel.com/
ราคา 11,200 เยน (3,136 บาท) / 1 ห้อง (3 คน) / 1 คืน
หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จก็เดินทางต่อโดยนั่งรถไฟจากสถานี NARITA ไปสถานี NARUTO (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที) ค่าโดยสารคนละ 580 เยน เพื่อที่จะไปชิมสตอเบอร์รี่สดๆจากฟาร์มที่นารุโตะขึ้นชื่อเรื่องสตอเบอร์รี่สดๆใหม่ๆเด็ดกินจากต้นได้เลย
เมื่อถึงสถานีนารุโตะแล้วก็ให้เดินออกมาจากสถานีแล้วเลี้ยวซ้ายจะเห็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่เป็นสมาคมรวบรวมฟาร์มปลูกสตอเบอร์รี่ทั่วทั้งเมืองนารุโตะ (Sammu Naruto Strawberry Trust Association) ใครสนใจจะไปฟาร์มไหนก็มาติดต่อได้ที่นี่
พวกเราก็เลยเข้าไปติดต่อว่าต้องการจะไปฟาร์มสตอเบอร์รี่ เจ้าหน้าที่น่ารักมากก็จัดแจงสอบถามฟาร์มระแวกนั้นว่าฟาร์มไหนพร้อมรับนักท่องเที่ยว เรารอสักพักรถจากฟาร์มก็มารับเราเป็นคุณลุงใจดีมากพาไปยังฟาร์มของแก
ฟาร์มแกก็ใหญ่พอสมควรมีสตอเบอร์รี่หลากหลายพันธุ์ให้เลือกชิม กติกาหรือข้อตกลงเบื้องต้นในการเข้าชิมสตอเบอร์นี่สดๆในฟาร์ม คุณลุงสาธิตวิธีการเก็บสตอเบอร์รี่ว่าอย่าเด็ดโดยตรงเพราะจะกระทบการรากของต้นสตอเบอร์รี่ให้ค่อยๆหมุนตรงก้านของผลสตอเบอร์รี่เอา หมุดบิดนิดเดียวมันก็แยกออกจากกันแล้ว
ที่นี่ยังมีกระปุกนมข้นเล็กๆเอาไว้จิ้มกินกับสตอเบอร์รี่ด้วย แต่ขอบอกว่าสตอเบอร์รี่มันหวานมากอยู่แล้วนะ เวลาตามจริงกำหนดว่า 45 นาที ทานไม่อั้น แต่เอาเข้าจริงน่าจะเกินเวลา คุณลุงก็ใจดีไม่ว่าอะไรให้พวกเรากินได้อิ่มหนำสำราญเลยทีเดียว สนนราคาอยู่ที่คนละ 1,600 เยน ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการได้กินสตอเบอร์รี่สดๆจากต้น
หลังจากที่ใช้เวลาอิ่มหนำสำราญกับสตอเบอร์รี่จนได้เวลาอันสมควร คุณลุงก็พาเรามาส่งยังสถานีนารุโตะ เราก็เดินทางกลับจากนารุโตะมายังนาริตะ เพื่อไปหาข้าวกินตอนเย็นแถวๆเมืองนาริตะ
เมื่อถึงสถานีนาริตะแล้วจุดหมายของเราอีกที่คือที่วัดนาริตะซัน ซึ่งเมื่อออกมาด้านหน้าย่านเมืองเก่าเดินตรงมาจะเจอสี่แยกให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนน จะสังเกตเห็นป้ายบอกทางไปยังวัดนาริตะซัน
สังเกตได้ทันทีถ้าถึงหน้าวัดนาริตะซัน จะเห็นซุ้มประตูใหญ่ๆทำจากไม้ทางด้านซ้ายมือเป็นสัญลักษณ์เด่นชัดว่านี้คือวัดนาริตะซัน เมื่อเดินลอดซุ้มแรกผ่านเข้ามาจะเจอลานหินและทางเดินตรงขึ้นไปยังบันไดเพื่อลอดซุ้มอีก 1 ซุ้ม และเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆก็จะเจอกับลานหินกว้างอีกครั้ง สังเกตเห็นเจดีย์ 3 ชั้น อยู่ตรงขวามือ และโบสถ์ของวัดนาริตะซันอยู่ตรงหน้า ส่วนทางด้านซ้ายมือก็จะเป็นอาคารขายเครื่องรางและของที่ระลึก
หลังจากนั้นเราก็ไปกินข้าวเย็นกันแถวๆสถานี Keisei-Narita เพราะว่าจะไปสำรวจดูสถานีที่เราต้องขึ้นรถไฟไปสนามบินนาริตะรอบแรก เพราะคนละสถานีกับสถานี JR Narita ที่เราขึ้นจากโตเกียว มื้อเย็นมื้อนี้ก็เป็นราเม็งร้อนๆเสิร์ฟพร้อมข้าวผัดและเกี๊ยวซ่า คล้ายๆอาหารในวันแรกเลย สนนราคาก็ไม่แพงตกชุดละประมาณ 750 เยน
เมื่อกินข้าวซึ่งเป็นของคาวเสร็จเราก็มาต่อด้วยของหวานที่ร้าน DOUTOR ตรงข้ามสถานี Keisei-Narita รสชาติของเค้กก็นุ่ม หอม หวานละมุ่นลิ้นดี ส่วนรสชาติของโกโก้ก็ไม่เข้มจนเกินไปกำลังดีใช้ได้
หลังจากอิ่มแปร้กันหมดก็ต้องกลับที่พักเพื่อพักผ่อนและเดินทางกลับกรุงเทพฯในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันที่ 8 วันสุดท้ายของการเดินทาง เราก็ตื่นประมาณตีห้า เช็คเอ้าท์เพื่อเดินทางไปยังสนามบินกลับไทย อากาศช่วงเช้านี้หนาวมากจากที่สังเกตเครื่องบอกอุณหภูมิว่า 3 องศา ค่ารถไฟมาสนามบินนาริตะคนละ 260 เยน
นั่งรถไฟไม่นานเราก็มาถึงสนามบินนาริตะเป็นที่เรียบร้อย ก็ทำการเช็คอิน โหลดกระเป๋า แล้วก็เข้าไป Duty Free เพื่อซื้อของฝากครั้งสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่อง มาโตเกียวก็ต้องซื้อโตเกียวบานาน่าสินะ ของให้สนามบินก็มีให้เลือกมากมาย
เรากลับโดยเที่ยวบิน XJ601 เครื่องออก 09.15 น. ถึงเมืองไทยประมาณบ่ายสองตามกำหนดการณ์ แต่เรามาถึงจริงๆสี่โมงเย็นเพราะช่วงนั้นสภาพการจราจรบนน่านฟ้าติดขัดมาก เครื่องขึ้นลงเป็นว่าเล่น เลยต้องต่อคิวบินวนกว่าจะได้ลงก็สี่โมงเย็น แต่ก็มาถึงสนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ เป็นอันจบทริปการเดินทางตะลุยโตเกียว 8 วัน 6 คืนเป็นที่เรียบร้อย
ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านรีวิวนี้และหวังว่ารีวิวนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณได้ออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆในต่างแดนที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน พวกเราขอชวนให้คุณลองไปสัมผัสสักครั้งแล้วคุณจะติดใจ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ที่ส่งเข้ามา ผมจะทยอยตอบทุกคนนะครับ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้าครับ สวัสดีครับ
THE END
ติดตาม PART อื่นๆได้ที่
PART 1 http://ppantip.com/topic/34477529
PART 2 http://ppantip.com/topic/34477683
PART 3 http://ppantip.com/topic/34478336
PART 4 http://ppantip.com/topic/34478681
PART 5 http://ppantip.com/topic/34479411
PART 6 http://ppantip.com/topic/34479450