สวัสดีครับ รีวิวนี้เป็นรีวิวต่อจาก PART 4
ติดตาม PART อื่นๆได้ที่
PART 1 http://ppantip.com/topic/34477529
PART 2 http://ppantip.com/topic/34477683
PART 3 http://ppantip.com/topic/34478336
PART 4 http://ppantip.com/topic/34478681

PART 5 : DAY 5 พิพิธภัณฑ์โดราเอม่อน Fujiko F. Fujio – Kichijoji – Imperial Palace - Nihombashi bridge


            เช้าวันที่ 5 ของการใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น แพลนในวันนี้เมื่อมาญี่ปุ่นตัวการ์ตูนที่นิยมที่สุดแล้วทุกคนต้องเอ่ยถึง เห็นจะต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องเป็น “โดราเอม่อน” แน่นอน แพลนวันนี้เราจะไปที่พิพิธภัณฑ์โดราเอม่อน (Fujiko F. Fujio Museum) ที่เมือง Noborito แต่ก่อนไปขอเติมพลังมื้อเช้าด้วยข้าวกล่องที่ซื้อมาจากเซเว่น อุ่นกินร้อนๆคนละกล่อง ตกกล่องละประมาณ 500 เยน (498 เยน)

              หลังจากกินเสร็จก็ออกเดินทางนั่งรถไฟใต้ดิน ไปลง YOYOGI-UEHARA แล้วต่อรถไฟสาย สาย Odakyu Odawara Line Exp. ไปลง NOBORITO ราคา 220 เยน ส่วนค่ารถไฟใต้ดินเราก็ยังใช้ตั๋วพาสที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ได้อยู่

              พอมาถึงที่สถานี NOBORITO ลงมาด้านล่างก็จะเจอป้ายรถเมล์มีรถเมล์จากสถานีไปส่งที่พิพิธภัณฑ์เลย ค่ารถเมล์คนละ 210 เยน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 นาที ก็มาถึงหน้าพิพิธภัณฑ์


               ขนาดจองรอบมาคนก็ยังเยอะขนาดนี้ ก็ต้องยืนต่อคิวเรียงเข้าแถวไปตามรอบที่เราจองมา เมื่อเข้ามาภายในเขาก็จะอธิบายรายละเอียดต่างๆของพิพิธภัณฑ์ว่ามีที่มาอย่างไร มีอะไรบ้าง จัดแสดงเป็นโซนๆ โซนนี้ถ่ายรูปได้ โซนนั้นถ่ายรูปไม่ได้ (มีโซนเดียวที่ถ่ายไม่ได้คือโซนแสดงงานของท่าน Fujiko Fujio ที่เป็นภาพลายเส้นมีลิขสิทธิ์)

                ก่อนเข้าตัวห้องจัดแสดงเขาก็จะมีไกด์โฟน คล้ายๆโทรศัพท์ สำหรับเป็นไกด์นำเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ มีแบบเป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ กดตามหมายเลขที่ปรากฏตามส่วนต่างๆของพิพิธภัณฑ์ ก็จะมีเสียงออกจากโฟนเกี่ยวกับรายละเอียดของส่วนนั้นๆให้เข้าใจมากขึ้น เป็นเทคนิคที่พิพิธภัณฑ์อื่นควรเอาแบบอย่างดี ภายในจัดแสดงออกเป็นโซนๆมีทั้งโซนบอกเล่าประวัติความเป็นมา




                 โซนของเล่นสำหรับเด็กๆ โซนร้านขายของที่ระลึก โซนร้านอาหาร โซนสนามกลางแจ้ง ฉากสำคัญๆที่จำลองจากในการ์ตูน เช่น ฉากท่อ3ท่อต่อเรียงกันในสวนเด็กเล่น เป็นต้น หลังจากใช้เวลาครึ่งวันกับพิพิธภัณฑ์โดราเอม่อน

                   เราก็ไปต่อที่ Kichijoji นั่งรถบัสจากพิพิธภัณฑ์มาลงสถานี Noborito หรือ เดินมาสถานี 15 นาที นั่งรถไฟจาก Noborito ไปเปลี่ยนสายที่ SHIMO-KITAZAWA แล้วต่อไปยัง Kichijoji ใช้ทางออกฝั่ง North Exit เดินข้ามฝั่งจากหน้าสถานีก็จะเจอทางเข้ามายังตลาด

                    มีร้านรีวิวที่ต้องเก็บคือ ร้าน Satou Steak House นำเนื้อวัวมัตสึซากะมาทำเป็นโคร็อกเกะ เราใช้เวลาตามหน้าสักพักแต่ก็หาไม่ยาก ได้ลิ้มรสชาติของแล้วก็ต้องบอกว่าไม่รู้สินะ ปกติไม่ทานเนื้อมาลองทานก็ดูธรรมดาๆนะ ไม่ได้มีรสชาติดีอะไร ถามคนกินเนื้อก็บอกว่าน้ำมันเยอะไปหน่อยตอนทอด พอกัดน้ำมันมันก็ซึมออกมาเยอะไปหน่อย รสชาติก็เหมือนจะเป็นเศษเนื้อมาผสมกัน 555+ รีวิวฮาร์ดคอทีเดียว  แต่ถ้าใครอยากลองก็ต้องไปลองดูครับ รสชาติมันก็แต่ละคนชอบ บางคนอาจจะชอบก็ได้นะผมว่า


                     หลังจากชิมเนื้อมัตสึซากะแล้ว เดินมาเรื่อยๆเราก็เหลือบมาเห็นร้านอาหารกลางวันของเราแล้ว นั่นก็คือร้านชาบูบุฟเฟ่ต์ ชื่อร้าน Nabezu http://www.nabe-zo.com/english.html สนนราคาคนละ 1,500 เยน ไม่รอช้า เข้าไปกินกันเลย ร้านนี้เป็นร้านสไตล์ชาบู ชาบู ญี่ปุ่นเลย มีหมู มีเนื้อ มีผัก หลักๆ น้ำจิ้มเป็นไข่ไก่สด น้ำรีฟิลไม่อั้นมีให้เลือกมากมาย ได้อารมณ์ไปอีกแบบ

                      จริงๆตามกำหนดแพลนเดิมคือเราจะไปที่โอไดบะต่อ แต่ด้วยความอ่อนล้าโรยแรง เราก็เลยใช้เวลากินบุฟเฟ่ต์นานไปหน่อยจนต้องยกเลิกแพลนที่จะไปโอไดบะ (ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสจะไปให้ได้) หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับโตเกียว

                      กลับมาที่ย่านชิบุย่า มาเก็บภาพถ่ายกับเจ้าสุนัขแสนซื่อสัตย์ ฮาจิโกะ เพราะเมื่อคืนมืดแล้ว คนเยอะยังไม่ได้ถ่ายด้วยกันเลย ใครมาแถวนี้ก็มาเยี่ยมมันบ้างนะครับ มาชิบุย่าต้องมาถ่ายกับเจ้าสุนัขฮาจิโกะ ถ้ามาแล้วไม่ถ่าย ถือว่า มาไม่ถึงนะ 5555+ เมื่อถ่ายกับเจ้าฮาจิโกะแล้ว



                      เราก็นั่งรถไฟใต้ดินมาที่ลงที่สถานี Nijubashi-Mae Station (C10) เพื่อไปยังพระราชวังอิมพีเรียล ระหว่างทางเดินจากสถานีมายังพระราชวังอิมพีเรียลอากาศเย็นมากลมแรง หนาวสั่นเลย แต่ก็เป็นบรรยากาศสบายๆ ช่วงบ่ายๆมีคนเดิน วิ่งออกกำลังกาย ฝูงเป็ดแหวกว่ายในน้ำที่เยือกเย็น พระราชวังที่ตั้งตระหง่าน แวดล้อมด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เป็นบรรยากาศที่ร่มรื่นดี หากใครที่สนใจจะเข้าเยี่ยมชมภายในพระราชวังต้องจองล่วงหน้ามาก่อน เพราะเขาเปิดให้เข้าชมเป็นรอบๆ พวกผมไม่ได้วางแผนว่าจะเข้าไปข้างในเลยไม่ได้จองมา เราแค่อยากมาเก็บภาพบรรยากาศรอบนอกพระราชวัง


                       เขาบอกว่า วันที่ 2 มกราคม และวันที่ 23 ธันวามคม ทางสำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปพระราชวังได้ และได้เห็นราชวงศ์ของญี่ปุ่นที่จะออกมาพบประชาชนบริเวณระเบียงของพระราชวัง แต่ถ้าหากต้องการเข้าชมด้านในตัวปราสาทก็สามารถทำได้โดยการติดต่อไปยังสำนักพระราชวัง ซึ่งจะมีบริการทัวร์รอบๆพระราชวัง แต่ไม่อนุญาตให้เข้าไปภายในตัวอาคาร ซึ่งต้องทำการจองทัวร์ล่วงหน้าก่อนที่จะเข้าไปชม ใครสนใจก็สามารถไปดูเพิ่มเติมได้ที่ https://sankan.kunaicho.go.jp/english/index.html



                        หลังจากใช้เวลากับที่นี่สักพักก็เดินทางต่อมายัง Mitsukoshi-Mae Station (G12/Z09) ทางออก B5 เพื่อมาดูสะพานแห่งแรกของโตเกียว นั่นคือสะพานนิโฮงบาชิ (Nihombashi bridge) และหลักกิโลเมตรที่ 0 ของโตเกียว


                          หลังจากที่เต็มอิ่มกับบรรยากาศโดยรอบแล้วนั้น พวกเราก็ไปหาอะไรกินตอนเย็น แวะซื้อของหวานที่เซเว่น

                          ไอศครีม Haagen-Dass รส Chocolate brownie รสช๊อกโกแลตเข้มมาก กินไปเรื่อยๆจะมีเนื้อบาวน์นี่ผสมอยู่ละมุนลิ้นเชียว อร่อยดี ใครพบเจอก็ลองชิมได้นะ

                           ไอศครีม Royce รส Chocolate เด็ดใช้ได้ แต่รสช๊อกโกแลตเข้มน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับภาพลักษณ์ของรอยส์ แต่ก็อร่อยดี แนะนำเป็นตัวเลือกอีกแท่ง

                            แท่งนี้กินเมื่อตอนจะขึ้นรถไปคาวากูชิโกะแล้วไม่ได้ลง เลยเอามาลงรวมกับรีวิวไอศครีมนี้เลย เป็นไอศครีม Royce เหมือนกันแต่เป็นรส Matcha ชาเขียว กัดไปคำแรกก็สัมผัสได้ถึงรสชาติของชาเขียว กำลังพอดี ผิวที่เคลือบด้วยชาเขียวกรอบกรุบๆ ส่วนไส้ในก็ละมุนนุ่มลิ้นผสมกับแกนกลางเป็นไส้ช๊อกโกแลตยิ่งทำให้ฟินหนักไปอีก อันนี้ขอแนะนำให้ลองชิมครับ

                             โอเค หลังจากเพลินเพลินกับการกินของหวานอย่างไม่บันยัง ก็ต้องขอตัวไปพักผ่อนเพื่อเก็บแรงไว้ในวันรุ่งขึ้น แล้วพบกันในตอนต่อไปครับ
ติดตาม PART อื่นๆได้ที่
PART 1 http://ppantip.com/topic/34477529
PART 2 http://ppantip.com/topic/34477683
PART 3 http://ppantip.com/topic/34478336
PART 4 http://ppantip.com/topic/34478681
つづく
To be Continued PART 6 http://ppantip.com/topic/34479450