Argentina ปลายทาง Dream destination ของฉัน ย้อนไปเมื่อ 1 ปีที่แล้ว เธอเคยถามฉันว่ามีประเทศไหนบนโลกใบนี้ที่เธออยากไปมากที่สุด เราตอบอย่างไม่ลังเลใจไปว่า ฉันอยากไป Argentina ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นอกจากอยากไปที่ไกลๆ ที่ใต้สุดของโลกแค่นั้น 1 ปีผ่านไป ทริปนี้ของเราจึงเกิดขึ้น กรี๊ดไม่คิดว่าจะพามาจริงๆ
ตอนแรกตั้งใจว่าจะไป Ushuaia เพราะเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าใต้สุดของโลก แต่หลังจากเสิร์ทหาข้อมูลดูแล้วไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมากเท่าไหร่ และด้วยเวลาที่น้อยมาก แค่ 14 วันรวมวันเดินทางแล้วเราจึงเลือกสถานที่ๆอยากไปที่สุดได้เพียงแค่ไม่กี่แห่ง รวมทั้งต้องไปแข่งวิ่ง Patagonia run ที่ San martin ด้วย เราจึงตัดแพลน Ushuaia ออกไป จึงออกมาเป็นทริป Patagonia สวรรค์สุดขอบโลก โดยเริ่มจาก Buenos Aires - San calos De bariloche - San martin de los andes - El calafate และ El Chalten 14 วันที่มีความหมายของเรา
เริ่มจากเช็คตัวเครื่องบิน ตอนนั้นที่เราเช็คดูมีราคาถูกสุด ของ Qatar Airways อยู่ที่ 5 หมื่นต้นๆ แต่ติดตรงต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่เมกา เรากลัวขอวีซ่า transit ไม่ผ่านเลยตัดไป นอกนั้นก็มีเป็นราคาดี แต่รอเปลี่ยนเครื่องนาน เราเลยลองขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน เจอราคาที่น่าพอใจคือขึ้นจาก KL ราคาจะอยู่ที่ 5 หมื่นกลางๆ บวกค่าตั๋วจากไทยของ Airasia ไปกลับอีกประมาณ 5000 แต่ถ้ารอช่วงโปรดีดี หาราคาได้ถูกลงกว่านี้อีกค่ะ เจ้าของกระทู้จะไปเจอแฟนกลางทางที่ Istanbul เลยเลือกเป็น Turkish Airline รวมๆแล้วทั้งหมดก็จะอยู่ที่ 6 หมื่นต้นๆ
เรานั่งเครื่องแอร์เอเชียไปลงที่ สนามบิน KLIA2 แล้วต้องนั่งรถต่อไปยัง สนามบิน KLIA
พอดีเรามีเพื่อนเป็นคนมาเลย์เลยไม่ต้องลำบากนั่งรถมาเอง เพื่อนมารับไปส่งอีกสนามบินนึงเลย ด้วยความชะล่าใจไม่ได้คิดอะไรเห็นว่ามีเวลาเหลือเหลือเฟือเพื่อนเลยขับรถพาไปทานข้าวกันก่อน พอถึงเวลาเช็คอินงานเข้าเลยค่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่าตั๋วเรามีปัญหาเพราะซื้อผ่านบัตรเครดิตและเจ้าของบัตรไม่ได้เดินทางด้วย ซึ่งเราก็ได้เตรียมความพร้อมเป็นเอกสารสำเนาพาสปอร์ตของเจ้าของบัตร และสำเนาเอกสารบัตรเครดิตมาด้วยแล้ว เจ้าหน้าที่หยิบเอกสารเราไปดู พร้อมกับเปะปากใส่ (บอกดีดีก็ได้ เบะทำม๊ายยยย)ส่ายหน้าบอกว่าใช้ไม่ได้ แล้วก็เดินไปถามผู้ชายซึ่งเป็นหัวหน้า เรามองตามตอนเขาเดินไป ลุ้นไปด้วย หัวหน้าเค้าส่ายหน้าเดินมาคุยกับเราว่า เอกสารใช้ไม่ได้ และบอกให้เราติดต่อเจ้าของบัตรให้ได้ตอนนั้นเลย ซึ่งใกล้เวลาเครื่องออกเข้ามาทุกทีๆ เราพยายามโทรหาแฟนก็ไม่รับสักที ในใจก็ภาวนาขอให้เขาเปลี่ยนใจด้วยเถอะ คือเกือบร้องไห้แล้วค่ะ ผ่านไปสิบนาที ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าคนเดิมเดินมาคุยกับเราอีกครั้ง ถามว่าเรารู้จักกับแฟนนานแล้วยัง แฟนทำงานอะไร เคยเจอกันมาแล้วกี่ครั้ง เราเลยเล่าบอกตามความจริงไปว่าเราคบกันมาปีนึงแล้ว เรามีรูปยืนยันนะ เลยเปิดให้เขาดู เขาถามเราย้ำอีกครั้งว่าไม่โกหกนะ พูดความจริงนะ เรายืนยันเสียงแข็งว่าไม่โกหกแน่นอนค่ะ เราพูดความจริง เขาเลยตอบกลับมาว่าไม่ใช่อะไรเขาห่วงความปลอดภัยของเจ้าของบัตรและตัวผู้เดินทางเองอาจจะถูกหลอกหลวง และอนุญาติให้เรารีบไปขึ้นเครื่องได้ โอ้ยย โล่งอกหัวใจเกือบวาย รีบวิ่งสปีดไปที่เกทแบบไม่คิดชีวิต เริ่มทริปแบบสวยงามเลยค่ะงานนี้ ==“
ขึ้นเครื่องปุ๊บ รีบกินยาแก้แพ้เลยค่ะ ขอหลับก่อนเพราะการเดินทางนี้อีกยาวไกล
เดินทางมาถึงครึ่งทางนัดเจอผู้ชายที่ หน้าเล้าจ์ของ Turkish Airline ค่ะ ประทับใจเล้าจ์ที่นี่มากค่ะ ทุกอย่างสะดวกสบาย พักเครื่องสามชั่วโมง เกือบเมากันเลยทีเดียว
ยังเหลืออีกครึ่งทาง เมื่อยแล้วเมื่อยอีก พลิกแล้วพลิกอีก ในที่สุดก็ถึงสักทีค่ะ ลืมบอกไปต้องแวะทำความสะอาดเครื่องที่ บราซิลอีกประมาณชั่วโมงนึงค่ะ มาถึงอากาศที่ Buenos Aires กำลังเย็นสบาย ตอนกลางวันใส่ขาสั้นได้ แต่กลางคืนก็แอบหนาว สภาพอากาศอยู่ที่สิบปลายๆ เราพักที่พักของ Aribnb ค่ะ เป็นคอนโดไม่ไกลจากใจกลางเมืองมากนัก มาถึงก็ค่อนข้างดึกแล้ว บวกกับเหนื่อยล้ามากๆ หิวก็หิว แต่เราหาที่แลกตังค์ไม่ได้ ร้านค้าก็ไม่รับเงินดอลล่า ออกไปไหนไกลก็ไม่ไหวน่ากลัวด้วย สุดท้ายกลับมานอนท้องร้องอยู่ที่ห้องค่ะ T_T แม้แต่น้ำเปล่าก็ไม่มีดื่ม พอมาเปิดตู้เย็น โชคดีเจ้าของห้องมีน้ำเปล่าแช่ทิ้งไว้ครึ่งขวด เลยเอามาแบ่งกันดื่ม เช้ามา แฟนท้องเสียค่ะ เราเลยต้องอยู่ห้องทั้งวันไม่ได้ออกไปไหนเลย ผ่านไป 2 คืนที่ Buenos Aires อยู่แต่ในห้องค่ะ เศร้าใจ อ่อ ลืมไปค่ะคืนสุดท้าย เราแวะไปทานสเต็กกันที่ร้าน Don Julio มาตามลายแทงของ tripadvisor บอกว่าที่นี่เป็นร้านติดอันดับขึ้นชื่อของ Buenos มาถึงต้องรอคิวเกือบชั่วโมง ระหว่างรอมีแชมเปญมาเสิร์ฟให้ยืนดื่มกันหน้าร้าน ถามว่ารสชาติอร่อยไหม สำหรับเราลิ้นคงไม่ถึง รู้สึกยังไม่ถูกปากเท่าไหร่ค่ะ
เช้าวันถัดมามีไฟลท์บินบ่ายโมง เราบินของสายการบิน Airolineas Argeninas เดินทางไป San calos De bariloche มาถึงสนามบินประมาณเที่ยงเจ้าหน้าที่บอกให้เราไปเช็คบัตรเครดิตอะไรซักอย่าง ชักช้าอือดอาดมาก จนเราตกเครื่องและต้องซื้อตั๋วใหม่ เซ็งสุดๆ สองคนต้องเพิ่มเงินไปหมื่นกว่าบาทค่ะ น้ำตาจะไหล แต่ก็ยอมรับว่าเป็นความผิดของเราด้วย ถ้าเผื่อเวลามากกว่านี้ก็คงไม่มีปัญหา T_T ตั้งแต่มาคือมีแต่เรื่อง จนรู้สึกเริ่มไม่แฮปปี้กับทริปแล้ว
มาถึง San calos De bariloche เราเช่ารถ สามวันประมาณ 8000 กว่าบาทถ้าจำไม่ผิดนะคะ ขับรถจากสนามบิน ไปหาที่พัก ร่วมสามชั่วโมงจนฟ้าเริ่มมืด หาโรงแรมไม่เจอค่ะ ขับวนจนเกือบสองทุ่มหลงเข้าไปในทางป่า สุดท้ายตัดสินใจขับกลับแล้วจอดถามทาง ในที่สุดก็ถึงซักที เราพักที่ Peninsula Petit Hotel ติดกับ Nahuel Huapi Lake ตื่นขึ้นมาเห็นวิวสวยมากๆเลยค่ะ ใจชื้นขึ้นมานิดนึง จากที่นอยๆเจอสถานที่สวยๆทำให้ความนอยค่อยๆจางไปทีละนิดๆ
วันนี้เดินถ่ายรูปรอบๆที่พัก ตื่นตั้งแต่เช้าเดินซึมซับบรรยากาศกับอากาศ 1 องศา และรอบๆ ตัวเมือง Bariloche ตอนสายๆแดดเริ่มมาอากาศก็เริ่มอุ่นขึ้น เมืองเล็กๆแต่น่ารัก ตึกรามบ้านช่องคือคล้ายๆกับทางเยอรมัน เพราะเล่ากันว่าพรรคพวกนาซีได้อพยพตั้งรกรากกันอยู่ที่นี่ทำให้ลักษณะทั่วไปคล้ายๆกับแถบนั้น และมีคนบางส่วนที่ยังพูดภาษาเยอรมันกันอีกด้วยค่ะ
ชอคโกแลตอร่อยค่ะ
แฟนเราเคยมาที่นี่กับเพื่อนและมาคนเดียวหลายครั้งแล้ว นางพามาทานร้านอาหารที่นางชอบมากร้านนี้ค่ะ ร้าน Alto El Fuego เป็นร้านเล็กๆธรรมดาๆ ตั้งอยู่ยนเนิน สเต๊กเนื้อติดมัน ข้างๆคือกรอบ ทานไปคำแรกนุ่มลิ้น ร้านนี้ คือ The best สเต๊กสำหรับเราค่ะ ทุกครั้งที่อยากทานสเต๊กเราจะนึกถึงร้านนี้ขึ้นมาทันที แต่ให้บินไปทานอีกคงไม่ไหวแล้ว 555
ทานเสร็จแวะดื่มเบียร์ แนะนำร้านนี้เลยค่ะ Cerveceria Blest มีเบียร์ส๊ดสด หลากหลายชนิดในชิม ร้านตกแต่งเก๋ๆ มีกระดาษให้เขียนแปะไว้ทั่วๆร้าน
วันที่สอง เราขึ้นเคเบิ้ลคาร์ ไปดูจุดชมวิว Cerro Catedral ของเมือง Bariloche ข้างบนอากาศหนาว เห็นวิว 360 องศา สวยมากๆค่ะ
360 องศา Bariloche
หมดไปอีกหนึ่งวัน วันนี้รีบกลับมานอนเร็วเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องออกเดินทางพาแฟนไปแข่งวิ่ง Patagonia run ที่ San martin โดยการขับรถที่เช่ามาค่ะ ระหว่างทางจาก Bariloche ไปยัง san martin เราต้องผ่านวิวสวยๆตลอดข้างทาง เราแทบไม่กล้าหลับมัวแต่ตื่นตาตื่นใจ เจอตรงไหนสวยๆก็จอดถ่ายรูป
ตรงนี้คือ Ruta De Los Siete Lagos
เป็นความรู้สึกที่เรานึกถึงแล้วมีความสุขมากเลยค่ะ แฟนเป็นคนขับ สลับกันเปิดเพลงที่ชอบในรถ เพลงที่แฟนเขาชอบบ้าง เพลงที่เราชอบบ้าง ร้องเพลงกัน เพลงไหนมันส์ๆเราก็เต้นตลกๆ หัวเราะไปด้วยกัน บางทีความสุขมันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว พอรู้อีกตัวทีกลายเป็นความทรงจำที่เรานึกถึงขึ้นมาทีไร ก็ทำให้เรายิ้มได้ทุกครั้ง
San Martin เป็นเมืองเล็กๆ เล็กกว่า Bariloche สวยงาม สงบ อยู่ไม่ไกลจากชายแดน ชิลีมากนัก เราชอบที่นี่มากกว่าที่ Bariloche อีกค่ะ ปกติที่นี่จะเงียบสงบมาก แต่ช่วงที่เราไปที่พักเต็มเกือบหมด ครึกครื้นเพราะมีการแข่งขัน Patagonia Run เราพักที่ Apart & Spa Del Sauco ถือว่าโชคดีมากๆเพราะก่อนหน้านี้เจ้าของบอกเต็มตั้งแต่สามเดือนที่แล้วเพราะคนจองล่วงหน้ากัน แต่พอดีมีคนแคนเซิ่ลไป 1 ห้องก่อนหน้าที่เราจะจอง
ลองชิมเบียร์ของเจ้าถิ่นดูบ้าง
View point ของเมือง San martin เป็นเมืองที่มีเขาล้อมรอบ ติดทะเลสาป อากาศหนาวกว่า Bariloche
หลังจากแข่งวิ่งเสร็จพักอีกคืนก็ขับรถกลับ มานอนที่ Bariloche อีก 1 คืน เพื่อที่จะเดินทางไป El calafate ต่อ โดยการนั่งรถบัส 29 ชม.จาก Bariloche ไป El calafate ตอนนี้ปัญหาของเราคือเรายังไม่ได้จองตั๋วรถกันเลยค่ะ แฟนเรามีมิตติ้งกรุ๊ปเรียนออนไลน์ ไม่มีเวลาไปจองตั๋ว เราเลยตัดสินใจบอกว่าเดี๋ยวเราไปเอง ใจนึงก็กลัวที่จะต้องนั่งแทคซี่ไปคนเดียว แต่คิดว่าเอาไงก็เอา ถ้าเราไม่ไป ก็คงต้องนอนนี่อีกคืน ซึ่งเราไม่อยากเสียเวลาแล้ว เวลาก็น้อยมีจำกัด ต้องเดินทางอีกยาว สรุปเราให้แฟนจดชื่อสถานีรถบัสใส่กระดาษให้แล้วเดินไปโบกแทคซี่ พอไปถึงด้วยความตื่นเต้นเราก็ถามคนขับเลยว่าไปที่นี่เท่าไหร่ แท็คซี่หันมายิ้มให้เราแล้วชี้ไปที่มิเตอร์ เราคิดในใจโถ่ไปปล่อยไก่ให้เขาซะนี่ ถ้าเป็นแทคซี่บ้านเราเจอแบบนี้ก็อาจจะให้จ่ายราคาเหมาไปแล้ว นี่คือสิ่งที่เราประทับใจคือถึงแม้ประเทศเขาจะไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวย มีปัญหาทางเศรษฐกิจเหมือนบ้านเรา แต่แทคซี่ไม่มีพาขับอ้อม หรือโก่งราคา ราคาตามไหนตามนั้นเลยค่ะ น่ารัก (แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ทุกคันไหม) ไปถึงมันมีสองสถานี ฝั่งซ้ายเป็นที่ขายตั๋วรถไฟ อีกฝั่งรสบัส แต่เราอ่านไม่ออกมีแต่ภาษาสเปน แทคซี่คันที่มาส่งคงเห็นเรายืนงงๆอยู่ เลยลงจากรถมาบอกเราว่าวันนี้เขาปิดนะไม่มีตั๋วขาย เราบอกว่าเราจะซื้อตั๋วไป El calafate คนขับโบกมือบอกไม่ใช่ฝั่งนี้เธอต้องไปฝั่งรถบัสไปเดินหาดูเอาข้างในนั้น ประทับใจอีกรอบ ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วมาแล้วค่ะ 2 ใบ ดีใจที่สุดก็ทำได้(โธ่ แค่ซื้อตั๋วรถบัสได้ ดีใจเหมือนถูกหวย 5555 ) กลับมาถึงห้อง เราวิ่งไปกระโดดกอดแฟนบอกฉันได้ตั๋วมาแล้ว นางยิ้มใหญ่เลย เพราะไม่คิดว่าเราจะหาเจอ ปกติใช้แต่นางให้จัดการทุกอย่าง
ได้มาแล้วตั๋วรถ
การเดินทางบนรถที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเราเริ่มแล้วค่ะ เราเดินทางของบริษัท Marga ที่นั่งเบาะใหญ่นั่งสบาย เสียดายมากที่เราจองที่นั่งตรงกลางๆแนะนำจองด้านหน้าสุดจะได้เห็นวิวที่สวยงามของอาเจนติน่าตลอดทางค่ะ 29 ชม นั่งมองหน้ากันไป หลับไป อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ แวะพักรถหลายรอบกว่าจะถึงยาวนาน มีเรื่องราวเกิดขึ้นในพื้นที่เล็กๆแต่เวลาเรามองกลับไปกลายเป็นความรู้สึกที่มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
รูปถ่ายจากบนรถบัส
[CR] 14 วัน ที่ Patagonia สวรรค์สุดขอบโลก
ตอนแรกตั้งใจว่าจะไป Ushuaia เพราะเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าใต้สุดของโลก แต่หลังจากเสิร์ทหาข้อมูลดูแล้วไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจมากเท่าไหร่ และด้วยเวลาที่น้อยมาก แค่ 14 วันรวมวันเดินทางแล้วเราจึงเลือกสถานที่ๆอยากไปที่สุดได้เพียงแค่ไม่กี่แห่ง รวมทั้งต้องไปแข่งวิ่ง Patagonia run ที่ San martin ด้วย เราจึงตัดแพลน Ushuaia ออกไป จึงออกมาเป็นทริป Patagonia สวรรค์สุดขอบโลก โดยเริ่มจาก Buenos Aires - San calos De bariloche - San martin de los andes - El calafate และ El Chalten 14 วันที่มีความหมายของเรา
เริ่มจากเช็คตัวเครื่องบิน ตอนนั้นที่เราเช็คดูมีราคาถูกสุด ของ Qatar Airways อยู่ที่ 5 หมื่นต้นๆ แต่ติดตรงต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่เมกา เรากลัวขอวีซ่า transit ไม่ผ่านเลยตัดไป นอกนั้นก็มีเป็นราคาดี แต่รอเปลี่ยนเครื่องนาน เราเลยลองขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน เจอราคาที่น่าพอใจคือขึ้นจาก KL ราคาจะอยู่ที่ 5 หมื่นกลางๆ บวกค่าตั๋วจากไทยของ Airasia ไปกลับอีกประมาณ 5000 แต่ถ้ารอช่วงโปรดีดี หาราคาได้ถูกลงกว่านี้อีกค่ะ เจ้าของกระทู้จะไปเจอแฟนกลางทางที่ Istanbul เลยเลือกเป็น Turkish Airline รวมๆแล้วทั้งหมดก็จะอยู่ที่ 6 หมื่นต้นๆ
เรานั่งเครื่องแอร์เอเชียไปลงที่ สนามบิน KLIA2 แล้วต้องนั่งรถต่อไปยัง สนามบิน KLIA
พอดีเรามีเพื่อนเป็นคนมาเลย์เลยไม่ต้องลำบากนั่งรถมาเอง เพื่อนมารับไปส่งอีกสนามบินนึงเลย ด้วยความชะล่าใจไม่ได้คิดอะไรเห็นว่ามีเวลาเหลือเหลือเฟือเพื่อนเลยขับรถพาไปทานข้าวกันก่อน พอถึงเวลาเช็คอินงานเข้าเลยค่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่าตั๋วเรามีปัญหาเพราะซื้อผ่านบัตรเครดิตและเจ้าของบัตรไม่ได้เดินทางด้วย ซึ่งเราก็ได้เตรียมความพร้อมเป็นเอกสารสำเนาพาสปอร์ตของเจ้าของบัตร และสำเนาเอกสารบัตรเครดิตมาด้วยแล้ว เจ้าหน้าที่หยิบเอกสารเราไปดู พร้อมกับเปะปากใส่ (บอกดีดีก็ได้ เบะทำม๊ายยยย)ส่ายหน้าบอกว่าใช้ไม่ได้ แล้วก็เดินไปถามผู้ชายซึ่งเป็นหัวหน้า เรามองตามตอนเขาเดินไป ลุ้นไปด้วย หัวหน้าเค้าส่ายหน้าเดินมาคุยกับเราว่า เอกสารใช้ไม่ได้ และบอกให้เราติดต่อเจ้าของบัตรให้ได้ตอนนั้นเลย ซึ่งใกล้เวลาเครื่องออกเข้ามาทุกทีๆ เราพยายามโทรหาแฟนก็ไม่รับสักที ในใจก็ภาวนาขอให้เขาเปลี่ยนใจด้วยเถอะ คือเกือบร้องไห้แล้วค่ะ ผ่านไปสิบนาที ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าคนเดิมเดินมาคุยกับเราอีกครั้ง ถามว่าเรารู้จักกับแฟนนานแล้วยัง แฟนทำงานอะไร เคยเจอกันมาแล้วกี่ครั้ง เราเลยเล่าบอกตามความจริงไปว่าเราคบกันมาปีนึงแล้ว เรามีรูปยืนยันนะ เลยเปิดให้เขาดู เขาถามเราย้ำอีกครั้งว่าไม่โกหกนะ พูดความจริงนะ เรายืนยันเสียงแข็งว่าไม่โกหกแน่นอนค่ะ เราพูดความจริง เขาเลยตอบกลับมาว่าไม่ใช่อะไรเขาห่วงความปลอดภัยของเจ้าของบัตรและตัวผู้เดินทางเองอาจจะถูกหลอกหลวง และอนุญาติให้เรารีบไปขึ้นเครื่องได้ โอ้ยย โล่งอกหัวใจเกือบวาย รีบวิ่งสปีดไปที่เกทแบบไม่คิดชีวิต เริ่มทริปแบบสวยงามเลยค่ะงานนี้ ==“
ขึ้นเครื่องปุ๊บ รีบกินยาแก้แพ้เลยค่ะ ขอหลับก่อนเพราะการเดินทางนี้อีกยาวไกล
เดินทางมาถึงครึ่งทางนัดเจอผู้ชายที่ หน้าเล้าจ์ของ Turkish Airline ค่ะ ประทับใจเล้าจ์ที่นี่มากค่ะ ทุกอย่างสะดวกสบาย พักเครื่องสามชั่วโมง เกือบเมากันเลยทีเดียว
ยังเหลืออีกครึ่งทาง เมื่อยแล้วเมื่อยอีก พลิกแล้วพลิกอีก ในที่สุดก็ถึงสักทีค่ะ ลืมบอกไปต้องแวะทำความสะอาดเครื่องที่ บราซิลอีกประมาณชั่วโมงนึงค่ะ มาถึงอากาศที่ Buenos Aires กำลังเย็นสบาย ตอนกลางวันใส่ขาสั้นได้ แต่กลางคืนก็แอบหนาว สภาพอากาศอยู่ที่สิบปลายๆ เราพักที่พักของ Aribnb ค่ะ เป็นคอนโดไม่ไกลจากใจกลางเมืองมากนัก มาถึงก็ค่อนข้างดึกแล้ว บวกกับเหนื่อยล้ามากๆ หิวก็หิว แต่เราหาที่แลกตังค์ไม่ได้ ร้านค้าก็ไม่รับเงินดอลล่า ออกไปไหนไกลก็ไม่ไหวน่ากลัวด้วย สุดท้ายกลับมานอนท้องร้องอยู่ที่ห้องค่ะ T_T แม้แต่น้ำเปล่าก็ไม่มีดื่ม พอมาเปิดตู้เย็น โชคดีเจ้าของห้องมีน้ำเปล่าแช่ทิ้งไว้ครึ่งขวด เลยเอามาแบ่งกันดื่ม เช้ามา แฟนท้องเสียค่ะ เราเลยต้องอยู่ห้องทั้งวันไม่ได้ออกไปไหนเลย ผ่านไป 2 คืนที่ Buenos Aires อยู่แต่ในห้องค่ะ เศร้าใจ อ่อ ลืมไปค่ะคืนสุดท้าย เราแวะไปทานสเต็กกันที่ร้าน Don Julio มาตามลายแทงของ tripadvisor บอกว่าที่นี่เป็นร้านติดอันดับขึ้นชื่อของ Buenos มาถึงต้องรอคิวเกือบชั่วโมง ระหว่างรอมีแชมเปญมาเสิร์ฟให้ยืนดื่มกันหน้าร้าน ถามว่ารสชาติอร่อยไหม สำหรับเราลิ้นคงไม่ถึง รู้สึกยังไม่ถูกปากเท่าไหร่ค่ะ
เช้าวันถัดมามีไฟลท์บินบ่ายโมง เราบินของสายการบิน Airolineas Argeninas เดินทางไป San calos De bariloche มาถึงสนามบินประมาณเที่ยงเจ้าหน้าที่บอกให้เราไปเช็คบัตรเครดิตอะไรซักอย่าง ชักช้าอือดอาดมาก จนเราตกเครื่องและต้องซื้อตั๋วใหม่ เซ็งสุดๆ สองคนต้องเพิ่มเงินไปหมื่นกว่าบาทค่ะ น้ำตาจะไหล แต่ก็ยอมรับว่าเป็นความผิดของเราด้วย ถ้าเผื่อเวลามากกว่านี้ก็คงไม่มีปัญหา T_T ตั้งแต่มาคือมีแต่เรื่อง จนรู้สึกเริ่มไม่แฮปปี้กับทริปแล้ว
มาถึง San calos De bariloche เราเช่ารถ สามวันประมาณ 8000 กว่าบาทถ้าจำไม่ผิดนะคะ ขับรถจากสนามบิน ไปหาที่พัก ร่วมสามชั่วโมงจนฟ้าเริ่มมืด หาโรงแรมไม่เจอค่ะ ขับวนจนเกือบสองทุ่มหลงเข้าไปในทางป่า สุดท้ายตัดสินใจขับกลับแล้วจอดถามทาง ในที่สุดก็ถึงซักที เราพักที่ Peninsula Petit Hotel ติดกับ Nahuel Huapi Lake ตื่นขึ้นมาเห็นวิวสวยมากๆเลยค่ะ ใจชื้นขึ้นมานิดนึง จากที่นอยๆเจอสถานที่สวยๆทำให้ความนอยค่อยๆจางไปทีละนิดๆ
วันนี้เดินถ่ายรูปรอบๆที่พัก ตื่นตั้งแต่เช้าเดินซึมซับบรรยากาศกับอากาศ 1 องศา และรอบๆ ตัวเมือง Bariloche ตอนสายๆแดดเริ่มมาอากาศก็เริ่มอุ่นขึ้น เมืองเล็กๆแต่น่ารัก ตึกรามบ้านช่องคือคล้ายๆกับทางเยอรมัน เพราะเล่ากันว่าพรรคพวกนาซีได้อพยพตั้งรกรากกันอยู่ที่นี่ทำให้ลักษณะทั่วไปคล้ายๆกับแถบนั้น และมีคนบางส่วนที่ยังพูดภาษาเยอรมันกันอีกด้วยค่ะ
ชอคโกแลตอร่อยค่ะ
แฟนเราเคยมาที่นี่กับเพื่อนและมาคนเดียวหลายครั้งแล้ว นางพามาทานร้านอาหารที่นางชอบมากร้านนี้ค่ะ ร้าน Alto El Fuego เป็นร้านเล็กๆธรรมดาๆ ตั้งอยู่ยนเนิน สเต๊กเนื้อติดมัน ข้างๆคือกรอบ ทานไปคำแรกนุ่มลิ้น ร้านนี้ คือ The best สเต๊กสำหรับเราค่ะ ทุกครั้งที่อยากทานสเต๊กเราจะนึกถึงร้านนี้ขึ้นมาทันที แต่ให้บินไปทานอีกคงไม่ไหวแล้ว 555
ทานเสร็จแวะดื่มเบียร์ แนะนำร้านนี้เลยค่ะ Cerveceria Blest มีเบียร์ส๊ดสด หลากหลายชนิดในชิม ร้านตกแต่งเก๋ๆ มีกระดาษให้เขียนแปะไว้ทั่วๆร้าน
วันที่สอง เราขึ้นเคเบิ้ลคาร์ ไปดูจุดชมวิว Cerro Catedral ของเมือง Bariloche ข้างบนอากาศหนาว เห็นวิว 360 องศา สวยมากๆค่ะ
360 องศา Bariloche
หมดไปอีกหนึ่งวัน วันนี้รีบกลับมานอนเร็วเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องออกเดินทางพาแฟนไปแข่งวิ่ง Patagonia run ที่ San martin โดยการขับรถที่เช่ามาค่ะ ระหว่างทางจาก Bariloche ไปยัง san martin เราต้องผ่านวิวสวยๆตลอดข้างทาง เราแทบไม่กล้าหลับมัวแต่ตื่นตาตื่นใจ เจอตรงไหนสวยๆก็จอดถ่ายรูป
ตรงนี้คือ Ruta De Los Siete Lagos
เป็นความรู้สึกที่เรานึกถึงแล้วมีความสุขมากเลยค่ะ แฟนเป็นคนขับ สลับกันเปิดเพลงที่ชอบในรถ เพลงที่แฟนเขาชอบบ้าง เพลงที่เราชอบบ้าง ร้องเพลงกัน เพลงไหนมันส์ๆเราก็เต้นตลกๆ หัวเราะไปด้วยกัน บางทีความสุขมันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว พอรู้อีกตัวทีกลายเป็นความทรงจำที่เรานึกถึงขึ้นมาทีไร ก็ทำให้เรายิ้มได้ทุกครั้ง
San Martin เป็นเมืองเล็กๆ เล็กกว่า Bariloche สวยงาม สงบ อยู่ไม่ไกลจากชายแดน ชิลีมากนัก เราชอบที่นี่มากกว่าที่ Bariloche อีกค่ะ ปกติที่นี่จะเงียบสงบมาก แต่ช่วงที่เราไปที่พักเต็มเกือบหมด ครึกครื้นเพราะมีการแข่งขัน Patagonia Run เราพักที่ Apart & Spa Del Sauco ถือว่าโชคดีมากๆเพราะก่อนหน้านี้เจ้าของบอกเต็มตั้งแต่สามเดือนที่แล้วเพราะคนจองล่วงหน้ากัน แต่พอดีมีคนแคนเซิ่ลไป 1 ห้องก่อนหน้าที่เราจะจอง
ลองชิมเบียร์ของเจ้าถิ่นดูบ้าง
View point ของเมือง San martin เป็นเมืองที่มีเขาล้อมรอบ ติดทะเลสาป อากาศหนาวกว่า Bariloche
หลังจากแข่งวิ่งเสร็จพักอีกคืนก็ขับรถกลับ มานอนที่ Bariloche อีก 1 คืน เพื่อที่จะเดินทางไป El calafate ต่อ โดยการนั่งรถบัส 29 ชม.จาก Bariloche ไป El calafate ตอนนี้ปัญหาของเราคือเรายังไม่ได้จองตั๋วรถกันเลยค่ะ แฟนเรามีมิตติ้งกรุ๊ปเรียนออนไลน์ ไม่มีเวลาไปจองตั๋ว เราเลยตัดสินใจบอกว่าเดี๋ยวเราไปเอง ใจนึงก็กลัวที่จะต้องนั่งแทคซี่ไปคนเดียว แต่คิดว่าเอาไงก็เอา ถ้าเราไม่ไป ก็คงต้องนอนนี่อีกคืน ซึ่งเราไม่อยากเสียเวลาแล้ว เวลาก็น้อยมีจำกัด ต้องเดินทางอีกยาว สรุปเราให้แฟนจดชื่อสถานีรถบัสใส่กระดาษให้แล้วเดินไปโบกแทคซี่ พอไปถึงด้วยความตื่นเต้นเราก็ถามคนขับเลยว่าไปที่นี่เท่าไหร่ แท็คซี่หันมายิ้มให้เราแล้วชี้ไปที่มิเตอร์ เราคิดในใจโถ่ไปปล่อยไก่ให้เขาซะนี่ ถ้าเป็นแทคซี่บ้านเราเจอแบบนี้ก็อาจจะให้จ่ายราคาเหมาไปแล้ว นี่คือสิ่งที่เราประทับใจคือถึงแม้ประเทศเขาจะไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวย มีปัญหาทางเศรษฐกิจเหมือนบ้านเรา แต่แทคซี่ไม่มีพาขับอ้อม หรือโก่งราคา ราคาตามไหนตามนั้นเลยค่ะ น่ารัก (แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ทุกคันไหม) ไปถึงมันมีสองสถานี ฝั่งซ้ายเป็นที่ขายตั๋วรถไฟ อีกฝั่งรสบัส แต่เราอ่านไม่ออกมีแต่ภาษาสเปน แทคซี่คันที่มาส่งคงเห็นเรายืนงงๆอยู่ เลยลงจากรถมาบอกเราว่าวันนี้เขาปิดนะไม่มีตั๋วขาย เราบอกว่าเราจะซื้อตั๋วไป El calafate คนขับโบกมือบอกไม่ใช่ฝั่งนี้เธอต้องไปฝั่งรถบัสไปเดินหาดูเอาข้างในนั้น ประทับใจอีกรอบ ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วมาแล้วค่ะ 2 ใบ ดีใจที่สุดก็ทำได้(โธ่ แค่ซื้อตั๋วรถบัสได้ ดีใจเหมือนถูกหวย 5555 ) กลับมาถึงห้อง เราวิ่งไปกระโดดกอดแฟนบอกฉันได้ตั๋วมาแล้ว นางยิ้มใหญ่เลย เพราะไม่คิดว่าเราจะหาเจอ ปกติใช้แต่นางให้จัดการทุกอย่าง
ได้มาแล้วตั๋วรถ
การเดินทางบนรถที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของเราเริ่มแล้วค่ะ เราเดินทางของบริษัท Marga ที่นั่งเบาะใหญ่นั่งสบาย เสียดายมากที่เราจองที่นั่งตรงกลางๆแนะนำจองด้านหน้าสุดจะได้เห็นวิวที่สวยงามของอาเจนติน่าตลอดทางค่ะ 29 ชม นั่งมองหน้ากันไป หลับไป อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ แวะพักรถหลายรอบกว่าจะถึงยาวนาน มีเรื่องราวเกิดขึ้นในพื้นที่เล็กๆแต่เวลาเรามองกลับไปกลายเป็นความรู้สึกที่มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
รูปถ่ายจากบนรถบัส