สวัสดีจ้ะ
กระทู้แรกนะ
ประมาณว่าอกหัก (ไม่เชิงอกหัก แต่ก็แค่ประมาณคุยกันแล้วไม่ค่อยเวิร์ก) กำลังเวิ่นเว้ออยู่
ไม่มีอะไรทำ ทำได้แค่แต่งเรื่องสั้น เป็นเรื่องแรกที่เคยเขียน
และจริงๆมันสั้นมาก คงเป็นแค่ sketch มากกว่าเรื่องสั้น และ ยังไม่ได้เกลาเลยขอโทษทีนะจ๊ะ
รบกวนช่วยอ่านและขอความเห็นหน่อย และ ถ้าใครอ่าน รบกวนช่วยบอกหน่อยว่าคุณคิดว่าแก่นเรื่องมันคืออะไร (จะได้รู้ว่าสื่อได้มีประสิทธิภาพเพียงพอไหม) และ ปัญหาของการคุยกันมันคืออะไร
กะจะส่งเป็นจดหมายพร้อมของขวัญลาจากเมื่อวันที่ยอมแพ้ (เลยเป็น ป.ล.)
=========================
ป.ล.
มันคงเป็นความบังเอิญของห้วงเวลาและสถานที่ ที่ทำให้เธอได้เจอเขา ณ เวลานั้น ณ ที่นั้น และสำหรับเขามันก็คงเป็นความบังเอิญด้วยเช่นกัน
วันนั้นฝนอาจจะตกลงเม็ด …. เธอจำไม่ได้ … แต่เธอจำได้ถึงกลิ่นดิน หิน ใบไม้ ที่ได้ตื่นขึ้นมาแย้มรับหยาดฝนที่เดินทางมายาวไกลสอดแทรกหมู่เมฆอึมครึมที่แผ่เป็นผ้าห่มบดบังแสงสีเทาลางๆของเงาจันทร์ … หรืออย่างน้อย นั่นคือสิ่งที่เธอคิดว่าเธอจำได้ เพราะเธอชื่นชอบวันที่ฝนตกปรอยๆอยู่เสมอ
อันที่จริง รายละเอียดของวันนั้นในความทรงจำของเธอมันช่างเลือนลาง เขาพูดอะไรกับเธอ เธอพูดอะไรกับเขา เขามองเธอด้วยสายตาเช่นใด และ เธอได้มองตอบเข้าไปในนัยตาเขาเพื่อเปิดเผยถึงเสี้ยวของตัวตนของเธอให้กับเขาหรือไม่ เธอไม่แน่ใจ รายละเอียดและลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดมันพร่ามัวเสมือนทุกอย่างได้เกินขึ้นพร้อมๆกันอย่างไม่ชัดเจน ดั่งสีน้ำมันที่ถูกปลายพู่กันละเลงขึ้นมาเป็นภาพวาดที่ขมุกขมัวโดยจิตกรต้องการจะเก็บไว้ซึ่งอารมณ์ชั่วขณะหาใช่รายละเอียดปลีกย่อยของวัตถุไม่ …. ในภาพวาด เวลาไม่มีความหมาย เพราะทุกสิ่งที่พร้อมจะเกิดขึ้นรวมถึงทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วต่างอุบัติพร้อมกันในกรอบรูปต่อมุมมองของผู้ที่เฝ้าดูอยู่นอกกรอบ
หากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นภาพวาด เธอมั่นใจว่ามันคงเป็นภาพของเธอกับเขากำลังพูดคุยกันอยู่สองคน เพราะนั่นคงเป็นเหตุการณ์และห้วงอารมณ์ที่สมควรที่จะสงวนไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าหรือภายหลังมิใช่สิ่งสำคัญ ตามนิยามแล้วความบังเอิญคงเป็นได้แค่เพียงลำดับขั้นตอนของเหตุการณ์ที่มิได้มีความหมายในตัวของมันเอง
เธอนึกถึงภาพวาดของ แวนโก๊ะ ปิกัสโซ่ หรือ โมเน่ต์ ที่เธอเคยเห็นผ่านตาในห้องเรียนประวัติศาสตร์ศิลปะที่เธอถูกบังคับให้เรียนตอนปีหนึ่ง เธอจำได้ถึงภาพราตรีประดับดาว สีน้ำเงินเข้มที่สุขุมดื่มด่ำของค่ำคืน เมฆสีเทาที่ไร้รูปร่าง และ พระจันทร์กับหมู่ดาวที่ร้อยเรียง ช่างคล้ายกับฉากหลังของร้านอาหารที่มีแค่ไฟสลัวๆในความทรงจำของเธอ
เธอและเขานั่งตรงข้ามกัน ทั้งคู่กำลังคุยกันและเธอกำลังรู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างอยู่ มันมิใช่เป็นความรู้สึกแบบพิศวาทชู้สาว มิใช่ความชอบพอลุ่มหลง เธอมิได้อยากที่จะเอื้อมเข้าไปวางมือเธอบนมือของเขา หากแต่เธอกำลังรู้สึกถึงความคุ้นเคยที่แปลกประหลาด มันเป็นความคุ้นเคยที่เป็นเสมือนกลิ่นของน้ำหอมที่มิอาจหาตัวอักษรมาอธิบายได้ แต่ถ้าได้ดมเพียงแค่ชั่วขณะ ความทรงจำทั้งหลายที่อบอวลรุมล้อมไปด้วยกลิ่นนั้นกลับจะพรั่งพรูออกมาอย่างห้ามมิได้
เธอเพิ่งเคยจะพบกับเขาแค่ไม่กี่ครั้ง และ เธอก็จำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าเธอเจอเขาได้อย่างไร แต่เธอก็มิอาจสลัดความคุ้นเคยนี้ทิ้งไปได้ ยิ่งเธอคุยกับเขา เธอยิ่งรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังลอกหนังของเธอออกมาทีละชั้นทีละชั้นเพื่อเปิดพยายามเปิดเผยถึงตัวตนของเธอ เธอคลับคล้ายคลับคลาว่าเธอพยายามที่จะไม่สบตาเขาโดยตรง แต่เธอก็มิอาจรู้ได้ว่าสัญชาตญาณของเธอจะได้หักหลังเธอและเผลอปล่อยตัวเองให้เขาเห็นไปซักเท่าไหร่
แต่ในเวลาเดียวกันความคุ้นเคยนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและกระสับกระส่าย มันฉุกให้เธอระลึกถึงความบอบบางของความเป็นจริงบางอย่างที่เธอจับต้องไม่ได้ ระหว่างเธอและเขามันมีม่านหมอกที่โปร่งใสอยู่ มันคือไอหมอกแห่งความไม่แน่นอนที่เกิดมาจากความน่าจะเป็น มันคือความบังเอิญที่ไร้ซึ่งความหมายที่เรียงกันอยู่เป็นใยบางๆ มันคือความจริงของการพบพานและการลาจาก และถึงแม้ว่าการที่เธอกำลังคุยกับเขานั้นทำให้เธอลืมไปชั่วขณะว่าเธออยู่คนเดียว ไอหมอกที่ซ่อนเร้นอยู่กลับทวีความหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆเพื่อเตือนเธอว่าที่แท้จริงแล้ว การมีอยู่ของเธอมันเป็นแค่การมีตัวตนที่แสนเดียวดายเฉกเช่นปัจเจกชนทุกคนที่มีความมีตัวตนของตัวตนเป็นฉากกั้นจากมนุษย์คนอื่นๆรอบกาย
เธอคิดถึงเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้ในภาพวาดนั้นอีกครั้ง แต่ ณ ตอนนี้ ภาพที่เธอเห็น กลับเป็นมุมมองของตัวเธอเองจากด้านหลังที่กำลังคุยกับเขาอยู่ ตัวของเธอกำลังบดบังเขาและเธอไม่สามารถเห็นหน้าของเขาได้
ยิ่งเธอพยายามนึกถึงหน้าของเขา สายตาของเขาที่เขามองเธอ อริยาบทของเขาเมื่อเขากำลังพูดกับเธอ แต่ยิ่งเธอพยายามที่จะจำเธอยิ่งลืม
เขาพูดถึงอะไรบ้าง?
เขาพูดถึงเพลงโปรดของเขา? เขาบอกว่าเขาชอบอ่านหนังสือ และ หนังสือเล่มโปรดของเขาเป็นเล่มเดียวกันกับเธอ? หรือเธอเป็นคนพูดถึงหนังสือเล่มโปรดของเธอให้เขาฟัง? เขาบอกว่าเขาอยากที่จะท่องเที่ยวไปด้วยกันกับเธอ? หรือเธอเพียงแค่คิดถึงเกาะอันไกลโพ้นที่เธออยากจะหนีไปคนเดียว? เขาพูดถึงความฝัน ความหวัง ตัวตนของเขาให้เธอฟัง? หรือมันเป็นเพียงแค่สิ่งที่เธอคิดว่าเขาพูด?
เธอสงสัยว่าความคุ้นเคยนั้น มันมาจากเขา หรือมาจากเธอ
แต่ถ้าหากความคุ้นเคยนั้น มาจากตัวของเธอเอง เธอก็คงต้องยิ่งที่จะกอดมันไว้ให้แน่น เพราะหากเธอปล่อยมันไป มันอาจจะเป็นการปล่อยตัวตนของเธอให้หลุดลอยไปมิใช่หรือ?
………………..
เขาวางปากกาลงพร้อมกับเหม่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง
ฝนข้างนอกหยุดลงแล้วพร้อมกับควันเฮือกสุดท้ายจากก้นบุหรี่ที่เขาเพิ่งได้เขี่ยทิ้งไป
เขาครุ่นคิดอยู่กับกระดาษหลายแผ่นตรงหน้าของเขา
เวลาผ่านไปซักพัก
เขาหยิบปากกาขึ้นมาเพื่อที่จะกลับไปแก้คำว่า “เขา” ในกระดาษหลายแผ่นนั้นให้กลายเป็นคำว่า “เธอ” และแก้คำว่า “เธอ” ให้กลายเป็น “เขา”
เขาสงสัยว่าความหมายในกระดาษหลายแผ่นนั้นจะเปลี่ยนไปหรือไม่?
จบ
[เรื่องสั้นแต่งเอง] ป.ล.
กระทู้แรกนะ
ประมาณว่าอกหัก (ไม่เชิงอกหัก แต่ก็แค่ประมาณคุยกันแล้วไม่ค่อยเวิร์ก) กำลังเวิ่นเว้ออยู่
ไม่มีอะไรทำ ทำได้แค่แต่งเรื่องสั้น เป็นเรื่องแรกที่เคยเขียน
และจริงๆมันสั้นมาก คงเป็นแค่ sketch มากกว่าเรื่องสั้น และ ยังไม่ได้เกลาเลยขอโทษทีนะจ๊ะ
รบกวนช่วยอ่านและขอความเห็นหน่อย และ ถ้าใครอ่าน รบกวนช่วยบอกหน่อยว่าคุณคิดว่าแก่นเรื่องมันคืออะไร (จะได้รู้ว่าสื่อได้มีประสิทธิภาพเพียงพอไหม) และ ปัญหาของการคุยกันมันคืออะไร
กะจะส่งเป็นจดหมายพร้อมของขวัญลาจากเมื่อวันที่ยอมแพ้ (เลยเป็น ป.ล.)
=========================
ป.ล.
มันคงเป็นความบังเอิญของห้วงเวลาและสถานที่ ที่ทำให้เธอได้เจอเขา ณ เวลานั้น ณ ที่นั้น และสำหรับเขามันก็คงเป็นความบังเอิญด้วยเช่นกัน
วันนั้นฝนอาจจะตกลงเม็ด …. เธอจำไม่ได้ … แต่เธอจำได้ถึงกลิ่นดิน หิน ใบไม้ ที่ได้ตื่นขึ้นมาแย้มรับหยาดฝนที่เดินทางมายาวไกลสอดแทรกหมู่เมฆอึมครึมที่แผ่เป็นผ้าห่มบดบังแสงสีเทาลางๆของเงาจันทร์ … หรืออย่างน้อย นั่นคือสิ่งที่เธอคิดว่าเธอจำได้ เพราะเธอชื่นชอบวันที่ฝนตกปรอยๆอยู่เสมอ
อันที่จริง รายละเอียดของวันนั้นในความทรงจำของเธอมันช่างเลือนลาง เขาพูดอะไรกับเธอ เธอพูดอะไรกับเขา เขามองเธอด้วยสายตาเช่นใด และ เธอได้มองตอบเข้าไปในนัยตาเขาเพื่อเปิดเผยถึงเสี้ยวของตัวตนของเธอให้กับเขาหรือไม่ เธอไม่แน่ใจ รายละเอียดและลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดมันพร่ามัวเสมือนทุกอย่างได้เกินขึ้นพร้อมๆกันอย่างไม่ชัดเจน ดั่งสีน้ำมันที่ถูกปลายพู่กันละเลงขึ้นมาเป็นภาพวาดที่ขมุกขมัวโดยจิตกรต้องการจะเก็บไว้ซึ่งอารมณ์ชั่วขณะหาใช่รายละเอียดปลีกย่อยของวัตถุไม่ …. ในภาพวาด เวลาไม่มีความหมาย เพราะทุกสิ่งที่พร้อมจะเกิดขึ้นรวมถึงทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้วต่างอุบัติพร้อมกันในกรอบรูปต่อมุมมองของผู้ที่เฝ้าดูอยู่นอกกรอบ
หากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นภาพวาด เธอมั่นใจว่ามันคงเป็นภาพของเธอกับเขากำลังพูดคุยกันอยู่สองคน เพราะนั่นคงเป็นเหตุการณ์และห้วงอารมณ์ที่สมควรที่จะสงวนไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าหรือภายหลังมิใช่สิ่งสำคัญ ตามนิยามแล้วความบังเอิญคงเป็นได้แค่เพียงลำดับขั้นตอนของเหตุการณ์ที่มิได้มีความหมายในตัวของมันเอง
เธอนึกถึงภาพวาดของ แวนโก๊ะ ปิกัสโซ่ หรือ โมเน่ต์ ที่เธอเคยเห็นผ่านตาในห้องเรียนประวัติศาสตร์ศิลปะที่เธอถูกบังคับให้เรียนตอนปีหนึ่ง เธอจำได้ถึงภาพราตรีประดับดาว สีน้ำเงินเข้มที่สุขุมดื่มด่ำของค่ำคืน เมฆสีเทาที่ไร้รูปร่าง และ พระจันทร์กับหมู่ดาวที่ร้อยเรียง ช่างคล้ายกับฉากหลังของร้านอาหารที่มีแค่ไฟสลัวๆในความทรงจำของเธอ
เธอและเขานั่งตรงข้ามกัน ทั้งคู่กำลังคุยกันและเธอกำลังรู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างอยู่ มันมิใช่เป็นความรู้สึกแบบพิศวาทชู้สาว มิใช่ความชอบพอลุ่มหลง เธอมิได้อยากที่จะเอื้อมเข้าไปวางมือเธอบนมือของเขา หากแต่เธอกำลังรู้สึกถึงความคุ้นเคยที่แปลกประหลาด มันเป็นความคุ้นเคยที่เป็นเสมือนกลิ่นของน้ำหอมที่มิอาจหาตัวอักษรมาอธิบายได้ แต่ถ้าได้ดมเพียงแค่ชั่วขณะ ความทรงจำทั้งหลายที่อบอวลรุมล้อมไปด้วยกลิ่นนั้นกลับจะพรั่งพรูออกมาอย่างห้ามมิได้
เธอเพิ่งเคยจะพบกับเขาแค่ไม่กี่ครั้ง และ เธอก็จำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าเธอเจอเขาได้อย่างไร แต่เธอก็มิอาจสลัดความคุ้นเคยนี้ทิ้งไปได้ ยิ่งเธอคุยกับเขา เธอยิ่งรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังลอกหนังของเธอออกมาทีละชั้นทีละชั้นเพื่อเปิดพยายามเปิดเผยถึงตัวตนของเธอ เธอคลับคล้ายคลับคลาว่าเธอพยายามที่จะไม่สบตาเขาโดยตรง แต่เธอก็มิอาจรู้ได้ว่าสัญชาตญาณของเธอจะได้หักหลังเธอและเผลอปล่อยตัวเองให้เขาเห็นไปซักเท่าไหร่
แต่ในเวลาเดียวกันความคุ้นเคยนั้นกลับทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและกระสับกระส่าย มันฉุกให้เธอระลึกถึงความบอบบางของความเป็นจริงบางอย่างที่เธอจับต้องไม่ได้ ระหว่างเธอและเขามันมีม่านหมอกที่โปร่งใสอยู่ มันคือไอหมอกแห่งความไม่แน่นอนที่เกิดมาจากความน่าจะเป็น มันคือความบังเอิญที่ไร้ซึ่งความหมายที่เรียงกันอยู่เป็นใยบางๆ มันคือความจริงของการพบพานและการลาจาก และถึงแม้ว่าการที่เธอกำลังคุยกับเขานั้นทำให้เธอลืมไปชั่วขณะว่าเธออยู่คนเดียว ไอหมอกที่ซ่อนเร้นอยู่กลับทวีความหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆเพื่อเตือนเธอว่าที่แท้จริงแล้ว การมีอยู่ของเธอมันเป็นแค่การมีตัวตนที่แสนเดียวดายเฉกเช่นปัจเจกชนทุกคนที่มีความมีตัวตนของตัวตนเป็นฉากกั้นจากมนุษย์คนอื่นๆรอบกาย
เธอคิดถึงเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้ในภาพวาดนั้นอีกครั้ง แต่ ณ ตอนนี้ ภาพที่เธอเห็น กลับเป็นมุมมองของตัวเธอเองจากด้านหลังที่กำลังคุยกับเขาอยู่ ตัวของเธอกำลังบดบังเขาและเธอไม่สามารถเห็นหน้าของเขาได้
ยิ่งเธอพยายามนึกถึงหน้าของเขา สายตาของเขาที่เขามองเธอ อริยาบทของเขาเมื่อเขากำลังพูดกับเธอ แต่ยิ่งเธอพยายามที่จะจำเธอยิ่งลืม
เขาพูดถึงอะไรบ้าง?
เขาพูดถึงเพลงโปรดของเขา? เขาบอกว่าเขาชอบอ่านหนังสือ และ หนังสือเล่มโปรดของเขาเป็นเล่มเดียวกันกับเธอ? หรือเธอเป็นคนพูดถึงหนังสือเล่มโปรดของเธอให้เขาฟัง? เขาบอกว่าเขาอยากที่จะท่องเที่ยวไปด้วยกันกับเธอ? หรือเธอเพียงแค่คิดถึงเกาะอันไกลโพ้นที่เธออยากจะหนีไปคนเดียว? เขาพูดถึงความฝัน ความหวัง ตัวตนของเขาให้เธอฟัง? หรือมันเป็นเพียงแค่สิ่งที่เธอคิดว่าเขาพูด?
เธอสงสัยว่าความคุ้นเคยนั้น มันมาจากเขา หรือมาจากเธอ
แต่ถ้าหากความคุ้นเคยนั้น มาจากตัวของเธอเอง เธอก็คงต้องยิ่งที่จะกอดมันไว้ให้แน่น เพราะหากเธอปล่อยมันไป มันอาจจะเป็นการปล่อยตัวตนของเธอให้หลุดลอยไปมิใช่หรือ?
………………..
เขาวางปากกาลงพร้อมกับเหม่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง
ฝนข้างนอกหยุดลงแล้วพร้อมกับควันเฮือกสุดท้ายจากก้นบุหรี่ที่เขาเพิ่งได้เขี่ยทิ้งไป
เขาครุ่นคิดอยู่กับกระดาษหลายแผ่นตรงหน้าของเขา
เวลาผ่านไปซักพัก
เขาหยิบปากกาขึ้นมาเพื่อที่จะกลับไปแก้คำว่า “เขา” ในกระดาษหลายแผ่นนั้นให้กลายเป็นคำว่า “เธอ” และแก้คำว่า “เธอ” ให้กลายเป็น “เขา”
เขาสงสัยว่าความหมายในกระดาษหลายแผ่นนั้นจะเปลี่ยนไปหรือไม่?
จบ