ต่อจากภาคแรกนะคะ
http://ppantip.com/topic/33658503 ภาคแรกมีทั้งหมด 14 ตอน
1.ชีวิตนี้ที่ต่างแดน 2.โดนค้นที่ด่านตรวจ 3. Homestay 4.โรงเรียนภาษาที่รัก 5. เพื่อนๆ ตอนแรก 5.1.เพื่อนๆ ตอนจบ 6.รักแท้แพ้ค่าโทรศัพท์
7. สองศรีพี่น้อง 8.ไปเที่ยวกันดีกว่า 9.Shed 101 10.อาหารบ้านเรา 11. เรียนต่อดีไหม 12. วันเปิดเทอม 13.ทํางานพิเศษ 14. เรียนไปชิมไป
ติดไว้จากตอนที่แล้วว่าจะเล่าเรื่อง ภัตตาคารจําลองต่อ แต่ขอเล่าเรื่องนี้ก่อนนะคะ
เพราะมีน้องๆถามกันเข้ามาเยอะ ว่า ชีวิตที่นู่นเป้นยังไงมั่งพี่ สบายไหม ลําบากไหม เหงาไหม และนี่ก็เป้นที่มาของ
ตอนที่ 15 ชีวิตนักเรียนนอก ใครบอกสบาย @ New Zealand
ก่อนที่จะได้มาสัมผัสของจริง ถ้าพูดถึงประเทศนิวซีแลนด์จากสือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจาก ทีวี หนังสือ หรือว่า อินเตอร์เนท โดยเฉพาะบริษัทแนะแนวการศึกษาต่างๆ เราก้จะรู้สึกว่า ประเทศนี้สวยจัง เหมือนในฝันเลย อยากไปเรียนอะ อยากไปมาก
ฝันเฟื่องไปพักนึงแล้วก็ต้องสะดุ้งตื่นมาพบกับความจริง คือ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ไม่ถูกเลย
ค่าเรียน ค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าใช้จ่ายอื่นๆอีก จิปาถะ จะไปเอามาจากไหน ว่าแล้วก็ หยิบสมุดบัญชีธนาคารมาพลิกไปพลิกมาดูยอดเงินเก็บ จะเก็บไว้เฉยๆให้ธนาคารสบายใจ หรือว่าจะเอาออกมาใช้ดี
แถมเงินก็มีไม่พออีก ต้องรบกวนพ่อกับแม่ด้วย
แต่ เอาวะ!!!! ชีวิตเกิดครั้งเดียว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ มีโอกาสแล้วก็ต้องใช้ให้มันคุ้ม
ถ้าครอบครัวของคุณมีฐานะร่ำรวย ก็ตัดปัญหาตรงนี้ไป สบายๆ ชิวๆ ตั้งหน้าตั้งตาเรียนไปอย่างเดียว เลิกเรียนเสร็จก็ไปเที่ยวพักผ่อน ไม่ต้องกังวลกับยอดเงินคงเหลือ
แต่ถ้าเป็นแบบปลาหละ ครอบครัวมีฐานะปานกลางหละ พอมีเงินเก็บอยู่แต่ก็ไม่มาก แล้วอยากจะไปเรียนกับเค้าบ้าง ก็จะต้องคำนวณแล้วว่า ค่าใช้จ่ายโดยรวมประมาณเท่าไหร่
เช่น
ค่าทำวีซ่า ประมาณ 6,000 บาท
ค่าประกันสุขภาพ ส่วนใหญ่จะรวมไปกับค่าเรียนแล้ว
ค่าตั๋วเครื่องบิน ประมาณ 27,000 -35,00 บาท
ค่าเรียนตกอาทิตย์ละประมาณ 9,000บาท
ค่าที่พักโฮมสเตย์ อาทิตย์ละ ประมาณ 5,500 บาท หรือ พักที่อื่นก็ถูกกว่า แต่อย่าลืมว่าต้องทำอาหารกินเองทั้งหมด
***ไปเรียนครั้งแรก จะต้องอยู่กับโฮมสเตย์ก่อนอย่างน้อยสองอาทิตย์ หรือ หนึ่งเดือนขึ้นไป เพื่อที่จะได้มีหลักฐานที่พักในการขอวีซ่า หลังจากจะออกมาอยู่เองก็ค่อยว่ากันอีกที ***
ค่าอาหารถ้าพักเอง ถูกสุดก็ตก อาทิตย์ละ 2,500 บาท แล้วแต่ว่ากินมากกินน้อย
ค่ารับส่งสนามบิน กับ ค่าจัดหาโฮมสเตย์ บางโรงเรียนก็คิดเงิน บางโรงเรียนก้ฟรี
ค่าเดินทางไปโรงเรียน เช้าเย็น ในกรณีที่อยู่ เมืองใหญ่ แล้วโรงเรียนอยู๋ไกล ประมาณ วันละ 200 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ จิปาถะ อีกอาทิตย์ละ ประมาณ 500-1,000 บาท คิดแล้วอยากจะเป็นลม
และนอกจากค่าใช้จ่ายเหล่านี้แล้วก็ยังต้องมีเงินติดบัญชีเพื่อใช้ขอวีซ่าอีกด้วย ถ้าไปซักสามเดือน ก็ต้องมีอย่าน้อยในบัญชีซักสองแสนขึ้น ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่เจ้าหน้าที่ทางสถานทูตด้วย บางทีก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเค้าอะไรมาเป้นเกณท์ในการตัดสิน คิดแล้วของขึ้น
พอคิดคร่าวๆแล้วก็ปาดเหงื่อ เฮ้อ จะไหวไหมเนี่ย
แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วก้ต้อง สู้โว้ย ไปให้ได้ก่อน แล้วที่เหลือค่อยหาทางเอาทีหลัง
พอมาถึงแล้วสิ่งแรกที่เป็นไปตามความคาดหมายเลย คือ ความสวยงาม อลังการ คือ สวยทุกทีจริงๆ เหมือนประเทศในฝัน เคลิ้มไปเรื่อยๆ
จนมาถึง Homestay ...และสิ่งต่อมาที่ได้เจอ คือเรื่องของความเป็นอยู่ ตอนอยู่บ้านที่ไทยก็อยู่กับพ่อแม่มาตลอด อิสระมากมาย อยากทำอะไรก้ทำ นั่งนอนตรงไหนก็ได้
พอมาอยู่โฮมสเตย์แล้วเป้นอะไรที่แตกต่างมาก
เพราะอะไร?
เพราะว่าโฮมสเตย์นั้นก้ถือว่าเป้นธุรกิจอย่างนึง ถ้าทำแล้วขาดทุนเค้าคงไม่ยอมแน่ เพราะฉะนั้นเค้าก็จะมีกฎระเบียบต่างๆในการอยู่ร่วมกัน เช่น
-การอาบน้า ห้ามอาบนานเกินไป เพราะต้องใช้นํ้าอุ่น เพราะว่าค่าไฟแพงมาก
-การเปิดเครื่องทำความร้อน ก็ให้ปิดเปิดเป็นเวลา มาเจอหน้าหนาวก็เสร็จเลย ทําไมทั้งบ้านมีกรูหนาวอยู่คนเดียววะ ปรับตัวกันไม่ทันเลย
ชุดนอนยังกับชุดจะออกไปเล่นสกี ถุงเท้าสองคู่ เสื้อสองตัว กางเกงสองตัว เดินผ่านกระจกยังตกใจตัวเอง
-การซักผ้า อาทิตย์นึงซักได้ไม่เกิน สองครั้ง รอรวมให้ได้เยอะๆก่อน เพราะว่าเปลืองค่าไฟ อ้าวแล้วชุดชั้นในจะให้ทํายังไง
ก็ต้องเอามาซักในอ่างล้างหน้า แล้วก็เอาไปตากใกล้ๆHeater แล้วก็แห้งช้าซะด้วยนะ จะเอาไปตากบนเครื่องเลยก็ไม่ได้เดี๋ยวไหม้อีก
ส่วนเรื่องอาหารการกิน ก็จะเลือกมากไม่ได้ เค้ากินอะไรก้ต้องกิน ไม่งั้นก็ออกเงินซื้อเพิ่มเอง เห็นเพื่อนเค้ากินซูชิ บอกตรงว่าอยากกินแต่เสียดายเงินมาก และอาหารกลางวันยอดฮิตของโฮมสเตย์เลยก็คือ แซนวิซ และ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
บะหมี่แบบนี้ฝรั่งชอบกินกัน จืดมากไม่มีรสชาติเลย ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะได้เจอยํายํา หรือมาม่า
ที่โรงเรียนภาษาจะมีไมโครเวฟไว้ให้นักเรียนใช้ ตอนที่ปลาเรียนช่วงแรกจะมีเครื่องเดียว พอใกล้จะถึงตอนเที่ยง ก็แอบหยิบมาม่ารอไว้ก่อน พอกระดิ่งดังปุ๊บ ก็รีบวิ่งปรู๊ดไปในครัว ใครถึงก่อนมีสิทธ์ก่อน ถ้าช้าก็รอเข้าคิวไปเลย เจ้าของโรงเรียนคงจะเห้นใจ เลยซื้อมาเพิ่มอีกสามเครื่อง ค่อยยังชั่วหน่อย
แล้วบางบ้านก้จะมีเด็กเล็ก ซึ่งเด็กบางคนก็น่ารัก และเด็กบางคนก้น่าตี เอาแต่ใจ โวยวาย เป็นลูกเป็นหลานเราหน่อยไม่ได้ ฮึ แล้วนีเป้นตัวอย่างคร่าวๆของอยู่โฮมสเตย์ แต่ข้อดีก็มีเยอะเช่นกันนะคะ ที่แน่ๆเลยคือ เราจะได้ฝึกภาษากับเจ้าของภาษาจริงๆ แล้วก็จะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบฝรั่ง ว่าเค้าอยู่กันยังไงบ้าง
โดยส่วนตัวแล้วปลาเป็นคนชอบอิสระ อดไม่ว่าแต่ขอความสบายใจ โฮมสเตย์ก็เลยไม่ค่อยจะเข้าทางเท่าไหร่ พอปลาอยู่ครบเดือนนึงแล้ว ก็คิดว่าออกไปเช่าแฟลตอยู่เองดีกว่า ตอนนั้นค่าโฮมสเตย์ อาทิตย์ละ $160 แล้วที่บ้านก็ช่วยได้แค่นี้จริงๆ ก็ลองๆมองๆหาแฟลตดู เอาถูกที่สุดว่างั้น แล้วก็ไปเจอที่นึงมีสองห้องนอน อาทิตย์ละ $100 ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย ยกเว้นเตาทำกับข้าว นอกนั้นโล่งมาก
แล้วก็มีเครื่องซักผ้าแบบหยอดเหรียญอยู่ข้างหลังแฟลต แถมยังต้องจ่ายค่าไฟ ค่าอาหารเองอีก จะไหวไหมเนี่ย แต่ก็เอาวะตกลงเช่า จะได้เป็นอิสระ ฮิ้วววว
แล้วก็ตกลงย้ายเข้าไปอยู่ สุขสันต์ลั๊ลลามาก แต่พอถึงเวลาจ่ายเงินชีวิตก็เศร้าในทันที
พอจ่ายค่าเช่าแล้วก็เหลือ อาทิตย์ละ $60 ค่าไฟก้ตกอาทิตย์ละ $25 บวกค่ารถ ค่าซักผ้า ก็จะเหลือค่ากินประมาณอาทิตย์ละ $30 บอกกันตรงๆว่าตอนนั้นกินมาม่า
ข้าวคลุกนํ้าปลาพริกป่น ไข่ต้ม ปลากระป๋อง วนไปวนมาแบบนี้ เวลาซื้อกับข้าวมาแล้วต้องเก็บในตู้เย็น แล้วมีตู้เย็นกับเค้าซะที่ไหนหละ
ปลาก็เอาไปวางไว้นอกขอบหน้าต่าง หรือไม่ก็เอาไปแอบๆไว้ตรงซอกต้นไม้ โชคดีตอนนั้นหน้าหนาวพอดี อุณภูมิข้างนอกนี่เย็นกว่าตู้เย็นอีกค๊าบ
อยู่แบบนี้ไปเรื่อย มีความสุขมาก ถ้าไม่นับเรื่องของกินนะ ฮ่าๆๆ จนวันนึงมีพี่คนที่รู้จักจะกลับไปเที่ยวไทย เค้ามาชวนไปทำงานโรงงานทำขนมแทนเค้า ก็ไปสิคะ ช้าอยู่ใย แต่ตอนนั้นยังไม่มีวีซ่านะคะ แอ๊บทำเอา
โรงงานขนมอยู่ห่างจากโรงเรียนพอสมควร เลิกเรียนเสร็จก็เดินไปใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ทำจนถึงหกโมงเย็น ก็เดินกลับบ้านอีกประมาณชั่วโมงนึง
เป้นแบบนี้ทุกวันจนพี่เค้ากลับมา พอเริ่มมีรายได้ก็ซื้อตู้เย็นก่อนเลยค่ะ ตุ้เย็นมือสองเล็กๆ เหมือนตามโรงแรม ประมาณ $80 แล้วก็ได้โต๊ะ เก้าอี้มา หลังจากนั่งพื้นมาเป็นคนญี่ปุ่นมานาน แล้วก้ซื้อเครื่องเสียงมือสองมาเอาไว้ฟังเพลง เวลาฝนตกนะบรรยากาศดีมากเลย นั่งฟังเพลงไป ฟังเสียงฝนไป ทำการบ้านไป กินข้าวคลุกน้าปลาไป ฟินสุดๆ
ปลาก็อยู่แฟลตนี้มาเรื่อยๆ ตั้งแต่เรียนภาษา จนถึงตอนเรียนการโรงแรมที่วิทยาลัย
หลังจากที่ทางบ้านได้ช่วยจ่ายค่าเทอมอันแสนจะแพงไปแล้ว มันก็ยังมีค่าใช้จ่ายต่างๆงอกขึ้นมาอีกมากมาย
ปลารู้สึกเกรงใจที่บ้านมากมาย ไม่อยากรบกวนอีกแล้ว ก้ต้องหางานทำเพิ่ม ซึ่งโชคดีที่ทางวิทยาลัยขอวีซ่าทำงานพิเศษให้ในระหว่างเรียน ให้ปลาทำงานพิเศษได้อาทิตย์ละ 20 ชั่วโมง
ถ้าวันไหนเรียนเช้า อาจารย์ก้จะช่วยหางานให้ทำตอนเย็น เช่น เสริฟตามงานเลี้ยงต่างๆ งานในครัว งานล้างจาน งานบาร์ หรือไม่ก็ไปทำที่ร้านอาหารไทย กว่าจะเสร็จงานก็สี่ทุ่มกว่า กลับมาถึงบ้านก็ต้องอ่านหนังสือทําการบ้านต่อ กว่าจะได้นอนก็เกือบเที่ยงคืน
แต่ถ้าวันไหนเรียนบ่าย ตอนเช้าก็จะไปทำความสะอาดตาม Motelต่างๆ
ลูกค้าจะ Check out ก่อนสิบโมงเช้า ปลาก็จะไปทํางาน เริ่มตั้งแต่ เก็บเตียง ปูเตียง เช็ดถู ล้างห้องน้า ตัดหญ้า ก่อนเที่ยงก็เสร็จ แล้วก็เตรียมตัวไปเรียนต่อ เป็นธิดากระทิงแดงมากอะ
พูดถึงเรื่องเที่ยวตอนที่เรียนก็ไปได้แค่ใกล้ๆ ที่ไปบ่อยๆก้คือทะเล เมืองที่ปลาอยู่ชื่อเมือง Timaru เป็นเมืองที่ติดทะเลย
วันไหนว่างก็เดินชายทะเลชิวๆ นอกจากทะเลแล้ก็แทบจะไม่ได้ไปไหนเลย นานๆจะติดรถไปเที่ยวกับเพื่อนตามเมืองต่างๆบ้าง ใจนี่อยากจะไปให้ทั่วแต่ติดอยู่นิดเดียว ไม่มีเงิน
ส่วนเรื่องความเหงานี่ เหงาแน่น่อนล้านเปอเซนต์ จากตอนที่อยู่ไทย กลับบ้านไปก็เจอพ่อแม่ ไหนจะพี่ๆน้องๆ เพื่อนฝูง ที่นัดเม้ามอยเจอกันแทบทุกอาทิตย์ เที่ยวห้าง ดูหนัง กินข้าว พอมาตอนนี้ไม่เหลือใครเลย มีเพื่อนคนไทยบ้าง พอกําลังจะสนิท อ้าวเค้าต้องกลับไทยอีกแล้ว
มีเพื่อนฝรั่งบ้าง แต่ก็ไม่สนิท
เรื่องการสือสารก็ไม่ดีเหมือนทุกวันนี้ โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี เฟสบุค ไลน์ ก็ยังไม่มี ทำได้อย่างมากก็แค่โทรศัพท์ทางไกล สามทุ่มก็ปิดไฟเงียบกันหมดแล้ว บางทีก้อยากออกไปกินก๋วยเตี๋ยวบ้างอะไรบ้าง จนบางที่ก้ท้อเหมือนกันนะ ท้อได้แต่อย่านาน ต้องคิดใหม่ทำใหม่ คิดถึงเงินที่พ่อแม่เสียไป ยังไงก็ต้องเรียนให้จบให้ได้ สู้โว้ย
แต่พออยู่ไปนานๆก็เริ่มชินกับชีวิตแบบนี้แฮะ เรียบง่าย ห้างก็ไม่มี สามทุ่มร้านก็ปิดหมดแล้ว แรกๆก็เบื่อนะ แต่พออยู่ไป ไม่มีก็ช่างมันอยู่บ้านก็ได้วะ
คนก็ไม่เยอะมากแต่มีความเป็นมิตร ยิ้มให้กัน ทักทายแม้จะไม่รู้จักกัน แล้วก็มีกฎระเบียบชัดเจน เช่นการขับรถเป็นต้น เปิดไฟเลี้ยว เปิดไฟขอทาง การให้ทาง การให้สัญญาณต่างๆ ประเทศนี้เค้าจะเป๊ะมาก อยู่ๆไปแล้วก็เกิดความปลอดภัยสบายกาย สบายใจ ชักจะไม่อยากกลับไทยแล้ว หรือว่าเราเริ่มแก่ เลยชอบความสงบ
ชีวิตนี้ที่ต่างแดน @ New Zealand ภาค 2 ...by Pla
1.ชีวิตนี้ที่ต่างแดน 2.โดนค้นที่ด่านตรวจ 3. Homestay 4.โรงเรียนภาษาที่รัก 5. เพื่อนๆ ตอนแรก 5.1.เพื่อนๆ ตอนจบ 6.รักแท้แพ้ค่าโทรศัพท์
7. สองศรีพี่น้อง 8.ไปเที่ยวกันดีกว่า 9.Shed 101 10.อาหารบ้านเรา 11. เรียนต่อดีไหม 12. วันเปิดเทอม 13.ทํางานพิเศษ 14. เรียนไปชิมไป
ติดไว้จากตอนที่แล้วว่าจะเล่าเรื่อง ภัตตาคารจําลองต่อ แต่ขอเล่าเรื่องนี้ก่อนนะคะ เพราะมีน้องๆถามกันเข้ามาเยอะ ว่า ชีวิตที่นู่นเป้นยังไงมั่งพี่ สบายไหม ลําบากไหม เหงาไหม และนี่ก็เป้นที่มาของ
ตอนที่ 15 ชีวิตนักเรียนนอก ใครบอกสบาย @ New Zealand
ก่อนที่จะได้มาสัมผัสของจริง ถ้าพูดถึงประเทศนิวซีแลนด์จากสือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจาก ทีวี หนังสือ หรือว่า อินเตอร์เนท โดยเฉพาะบริษัทแนะแนวการศึกษาต่างๆ เราก้จะรู้สึกว่า ประเทศนี้สวยจัง เหมือนในฝันเลย อยากไปเรียนอะ อยากไปมาก
ฝันเฟื่องไปพักนึงแล้วก็ต้องสะดุ้งตื่นมาพบกับความจริง คือ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ไม่ถูกเลย ค่าเรียน ค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าใช้จ่ายอื่นๆอีก จิปาถะ จะไปเอามาจากไหน ว่าแล้วก็ หยิบสมุดบัญชีธนาคารมาพลิกไปพลิกมาดูยอดเงินเก็บ จะเก็บไว้เฉยๆให้ธนาคารสบายใจ หรือว่าจะเอาออกมาใช้ดี แถมเงินก็มีไม่พออีก ต้องรบกวนพ่อกับแม่ด้วย แต่ เอาวะ!!!! ชีวิตเกิดครั้งเดียว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ มีโอกาสแล้วก็ต้องใช้ให้มันคุ้ม
ถ้าครอบครัวของคุณมีฐานะร่ำรวย ก็ตัดปัญหาตรงนี้ไป สบายๆ ชิวๆ ตั้งหน้าตั้งตาเรียนไปอย่างเดียว เลิกเรียนเสร็จก็ไปเที่ยวพักผ่อน ไม่ต้องกังวลกับยอดเงินคงเหลือ
แต่ถ้าเป็นแบบปลาหละ ครอบครัวมีฐานะปานกลางหละ พอมีเงินเก็บอยู่แต่ก็ไม่มาก แล้วอยากจะไปเรียนกับเค้าบ้าง ก็จะต้องคำนวณแล้วว่า ค่าใช้จ่ายโดยรวมประมาณเท่าไหร่ เช่น
ค่าทำวีซ่า ประมาณ 6,000 บาท
ค่าประกันสุขภาพ ส่วนใหญ่จะรวมไปกับค่าเรียนแล้ว
ค่าตั๋วเครื่องบิน ประมาณ 27,000 -35,00 บาท
ค่าเรียนตกอาทิตย์ละประมาณ 9,000บาท
ค่าที่พักโฮมสเตย์ อาทิตย์ละ ประมาณ 5,500 บาท หรือ พักที่อื่นก็ถูกกว่า แต่อย่าลืมว่าต้องทำอาหารกินเองทั้งหมด
***ไปเรียนครั้งแรก จะต้องอยู่กับโฮมสเตย์ก่อนอย่างน้อยสองอาทิตย์ หรือ หนึ่งเดือนขึ้นไป เพื่อที่จะได้มีหลักฐานที่พักในการขอวีซ่า หลังจากจะออกมาอยู่เองก็ค่อยว่ากันอีกที ***
ค่าอาหารถ้าพักเอง ถูกสุดก็ตก อาทิตย์ละ 2,500 บาท แล้วแต่ว่ากินมากกินน้อย
ค่ารับส่งสนามบิน กับ ค่าจัดหาโฮมสเตย์ บางโรงเรียนก็คิดเงิน บางโรงเรียนก้ฟรี
ค่าเดินทางไปโรงเรียน เช้าเย็น ในกรณีที่อยู่ เมืองใหญ่ แล้วโรงเรียนอยู๋ไกล ประมาณ วันละ 200 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ จิปาถะ อีกอาทิตย์ละ ประมาณ 500-1,000 บาท คิดแล้วอยากจะเป็นลม
และนอกจากค่าใช้จ่ายเหล่านี้แล้วก็ยังต้องมีเงินติดบัญชีเพื่อใช้ขอวีซ่าอีกด้วย ถ้าไปซักสามเดือน ก็ต้องมีอย่าน้อยในบัญชีซักสองแสนขึ้น ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่เจ้าหน้าที่ทางสถานทูตด้วย บางทีก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเค้าอะไรมาเป้นเกณท์ในการตัดสิน คิดแล้วของขึ้น
พอคิดคร่าวๆแล้วก็ปาดเหงื่อ เฮ้อ จะไหวไหมเนี่ย แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วก้ต้อง สู้โว้ย ไปให้ได้ก่อน แล้วที่เหลือค่อยหาทางเอาทีหลัง พอมาถึงแล้วสิ่งแรกที่เป็นไปตามความคาดหมายเลย คือ ความสวยงาม อลังการ คือ สวยทุกทีจริงๆ เหมือนประเทศในฝัน เคลิ้มไปเรื่อยๆ
จนมาถึง Homestay ...และสิ่งต่อมาที่ได้เจอ คือเรื่องของความเป็นอยู่ ตอนอยู่บ้านที่ไทยก็อยู่กับพ่อแม่มาตลอด อิสระมากมาย อยากทำอะไรก้ทำ นั่งนอนตรงไหนก็ได้ พอมาอยู่โฮมสเตย์แล้วเป้นอะไรที่แตกต่างมาก เพราะอะไร?
เพราะว่าโฮมสเตย์นั้นก้ถือว่าเป้นธุรกิจอย่างนึง ถ้าทำแล้วขาดทุนเค้าคงไม่ยอมแน่ เพราะฉะนั้นเค้าก็จะมีกฎระเบียบต่างๆในการอยู่ร่วมกัน เช่น
-การอาบน้า ห้ามอาบนานเกินไป เพราะต้องใช้นํ้าอุ่น เพราะว่าค่าไฟแพงมาก
-การเปิดเครื่องทำความร้อน ก็ให้ปิดเปิดเป็นเวลา มาเจอหน้าหนาวก็เสร็จเลย ทําไมทั้งบ้านมีกรูหนาวอยู่คนเดียววะ ปรับตัวกันไม่ทันเลย ชุดนอนยังกับชุดจะออกไปเล่นสกี ถุงเท้าสองคู่ เสื้อสองตัว กางเกงสองตัว เดินผ่านกระจกยังตกใจตัวเอง
-การซักผ้า อาทิตย์นึงซักได้ไม่เกิน สองครั้ง รอรวมให้ได้เยอะๆก่อน เพราะว่าเปลืองค่าไฟ อ้าวแล้วชุดชั้นในจะให้ทํายังไง ก็ต้องเอามาซักในอ่างล้างหน้า แล้วก็เอาไปตากใกล้ๆHeater แล้วก็แห้งช้าซะด้วยนะ จะเอาไปตากบนเครื่องเลยก็ไม่ได้เดี๋ยวไหม้อีก
ส่วนเรื่องอาหารการกิน ก็จะเลือกมากไม่ได้ เค้ากินอะไรก้ต้องกิน ไม่งั้นก็ออกเงินซื้อเพิ่มเอง เห็นเพื่อนเค้ากินซูชิ บอกตรงว่าอยากกินแต่เสียดายเงินมาก และอาหารกลางวันยอดฮิตของโฮมสเตย์เลยก็คือ แซนวิซ และ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
บะหมี่แบบนี้ฝรั่งชอบกินกัน จืดมากไม่มีรสชาติเลย ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะได้เจอยํายํา หรือมาม่า
ที่โรงเรียนภาษาจะมีไมโครเวฟไว้ให้นักเรียนใช้ ตอนที่ปลาเรียนช่วงแรกจะมีเครื่องเดียว พอใกล้จะถึงตอนเที่ยง ก็แอบหยิบมาม่ารอไว้ก่อน พอกระดิ่งดังปุ๊บ ก็รีบวิ่งปรู๊ดไปในครัว ใครถึงก่อนมีสิทธ์ก่อน ถ้าช้าก็รอเข้าคิวไปเลย เจ้าของโรงเรียนคงจะเห้นใจ เลยซื้อมาเพิ่มอีกสามเครื่อง ค่อยยังชั่วหน่อย
แล้วบางบ้านก้จะมีเด็กเล็ก ซึ่งเด็กบางคนก็น่ารัก และเด็กบางคนก้น่าตี เอาแต่ใจ โวยวาย เป็นลูกเป็นหลานเราหน่อยไม่ได้ ฮึ แล้วนีเป้นตัวอย่างคร่าวๆของอยู่โฮมสเตย์ แต่ข้อดีก็มีเยอะเช่นกันนะคะ ที่แน่ๆเลยคือ เราจะได้ฝึกภาษากับเจ้าของภาษาจริงๆ แล้วก็จะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบฝรั่ง ว่าเค้าอยู่กันยังไงบ้าง
โดยส่วนตัวแล้วปลาเป็นคนชอบอิสระ อดไม่ว่าแต่ขอความสบายใจ โฮมสเตย์ก็เลยไม่ค่อยจะเข้าทางเท่าไหร่ พอปลาอยู่ครบเดือนนึงแล้ว ก็คิดว่าออกไปเช่าแฟลตอยู่เองดีกว่า ตอนนั้นค่าโฮมสเตย์ อาทิตย์ละ $160 แล้วที่บ้านก็ช่วยได้แค่นี้จริงๆ ก็ลองๆมองๆหาแฟลตดู เอาถูกที่สุดว่างั้น แล้วก็ไปเจอที่นึงมีสองห้องนอน อาทิตย์ละ $100 ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย ยกเว้นเตาทำกับข้าว นอกนั้นโล่งมาก แล้วก็มีเครื่องซักผ้าแบบหยอดเหรียญอยู่ข้างหลังแฟลต แถมยังต้องจ่ายค่าไฟ ค่าอาหารเองอีก จะไหวไหมเนี่ย แต่ก็เอาวะตกลงเช่า จะได้เป็นอิสระ ฮิ้วววว
แล้วก็ตกลงย้ายเข้าไปอยู่ สุขสันต์ลั๊ลลามาก แต่พอถึงเวลาจ่ายเงินชีวิตก็เศร้าในทันที
พอจ่ายค่าเช่าแล้วก็เหลือ อาทิตย์ละ $60 ค่าไฟก้ตกอาทิตย์ละ $25 บวกค่ารถ ค่าซักผ้า ก็จะเหลือค่ากินประมาณอาทิตย์ละ $30 บอกกันตรงๆว่าตอนนั้นกินมาม่า ข้าวคลุกนํ้าปลาพริกป่น ไข่ต้ม ปลากระป๋อง วนไปวนมาแบบนี้ เวลาซื้อกับข้าวมาแล้วต้องเก็บในตู้เย็น แล้วมีตู้เย็นกับเค้าซะที่ไหนหละ ปลาก็เอาไปวางไว้นอกขอบหน้าต่าง หรือไม่ก็เอาไปแอบๆไว้ตรงซอกต้นไม้ โชคดีตอนนั้นหน้าหนาวพอดี อุณภูมิข้างนอกนี่เย็นกว่าตู้เย็นอีกค๊าบ
อยู่แบบนี้ไปเรื่อย มีความสุขมาก ถ้าไม่นับเรื่องของกินนะ ฮ่าๆๆ จนวันนึงมีพี่คนที่รู้จักจะกลับไปเที่ยวไทย เค้ามาชวนไปทำงานโรงงานทำขนมแทนเค้า ก็ไปสิคะ ช้าอยู่ใย แต่ตอนนั้นยังไม่มีวีซ่านะคะ แอ๊บทำเอา โรงงานขนมอยู่ห่างจากโรงเรียนพอสมควร เลิกเรียนเสร็จก็เดินไปใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ทำจนถึงหกโมงเย็น ก็เดินกลับบ้านอีกประมาณชั่วโมงนึง
เป้นแบบนี้ทุกวันจนพี่เค้ากลับมา พอเริ่มมีรายได้ก็ซื้อตู้เย็นก่อนเลยค่ะ ตุ้เย็นมือสองเล็กๆ เหมือนตามโรงแรม ประมาณ $80 แล้วก็ได้โต๊ะ เก้าอี้มา หลังจากนั่งพื้นมาเป็นคนญี่ปุ่นมานาน แล้วก้ซื้อเครื่องเสียงมือสองมาเอาไว้ฟังเพลง เวลาฝนตกนะบรรยากาศดีมากเลย นั่งฟังเพลงไป ฟังเสียงฝนไป ทำการบ้านไป กินข้าวคลุกน้าปลาไป ฟินสุดๆ
ปลาก็อยู่แฟลตนี้มาเรื่อยๆ ตั้งแต่เรียนภาษา จนถึงตอนเรียนการโรงแรมที่วิทยาลัย
หลังจากที่ทางบ้านได้ช่วยจ่ายค่าเทอมอันแสนจะแพงไปแล้ว มันก็ยังมีค่าใช้จ่ายต่างๆงอกขึ้นมาอีกมากมาย ปลารู้สึกเกรงใจที่บ้านมากมาย ไม่อยากรบกวนอีกแล้ว ก้ต้องหางานทำเพิ่ม ซึ่งโชคดีที่ทางวิทยาลัยขอวีซ่าทำงานพิเศษให้ในระหว่างเรียน ให้ปลาทำงานพิเศษได้อาทิตย์ละ 20 ชั่วโมง
ถ้าวันไหนเรียนเช้า อาจารย์ก้จะช่วยหางานให้ทำตอนเย็น เช่น เสริฟตามงานเลี้ยงต่างๆ งานในครัว งานล้างจาน งานบาร์ หรือไม่ก็ไปทำที่ร้านอาหารไทย กว่าจะเสร็จงานก็สี่ทุ่มกว่า กลับมาถึงบ้านก็ต้องอ่านหนังสือทําการบ้านต่อ กว่าจะได้นอนก็เกือบเที่ยงคืน
แต่ถ้าวันไหนเรียนบ่าย ตอนเช้าก็จะไปทำความสะอาดตาม Motelต่างๆ
ลูกค้าจะ Check out ก่อนสิบโมงเช้า ปลาก็จะไปทํางาน เริ่มตั้งแต่ เก็บเตียง ปูเตียง เช็ดถู ล้างห้องน้า ตัดหญ้า ก่อนเที่ยงก็เสร็จ แล้วก็เตรียมตัวไปเรียนต่อ เป็นธิดากระทิงแดงมากอะ
พูดถึงเรื่องเที่ยวตอนที่เรียนก็ไปได้แค่ใกล้ๆ ที่ไปบ่อยๆก้คือทะเล เมืองที่ปลาอยู่ชื่อเมือง Timaru เป็นเมืองที่ติดทะเลย
วันไหนว่างก็เดินชายทะเลชิวๆ นอกจากทะเลแล้ก็แทบจะไม่ได้ไปไหนเลย นานๆจะติดรถไปเที่ยวกับเพื่อนตามเมืองต่างๆบ้าง ใจนี่อยากจะไปให้ทั่วแต่ติดอยู่นิดเดียว ไม่มีเงิน
ส่วนเรื่องความเหงานี่ เหงาแน่น่อนล้านเปอเซนต์ จากตอนที่อยู่ไทย กลับบ้านไปก็เจอพ่อแม่ ไหนจะพี่ๆน้องๆ เพื่อนฝูง ที่นัดเม้ามอยเจอกันแทบทุกอาทิตย์ เที่ยวห้าง ดูหนัง กินข้าว พอมาตอนนี้ไม่เหลือใครเลย มีเพื่อนคนไทยบ้าง พอกําลังจะสนิท อ้าวเค้าต้องกลับไทยอีกแล้ว มีเพื่อนฝรั่งบ้าง แต่ก็ไม่สนิท
เรื่องการสือสารก็ไม่ดีเหมือนทุกวันนี้ โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี เฟสบุค ไลน์ ก็ยังไม่มี ทำได้อย่างมากก็แค่โทรศัพท์ทางไกล สามทุ่มก็ปิดไฟเงียบกันหมดแล้ว บางทีก้อยากออกไปกินก๋วยเตี๋ยวบ้างอะไรบ้าง จนบางที่ก้ท้อเหมือนกันนะ ท้อได้แต่อย่านาน ต้องคิดใหม่ทำใหม่ คิดถึงเงินที่พ่อแม่เสียไป ยังไงก็ต้องเรียนให้จบให้ได้ สู้โว้ย
แต่พออยู่ไปนานๆก็เริ่มชินกับชีวิตแบบนี้แฮะ เรียบง่าย ห้างก็ไม่มี สามทุ่มร้านก็ปิดหมดแล้ว แรกๆก็เบื่อนะ แต่พออยู่ไป ไม่มีก็ช่างมันอยู่บ้านก็ได้วะ คนก็ไม่เยอะมากแต่มีความเป็นมิตร ยิ้มให้กัน ทักทายแม้จะไม่รู้จักกัน แล้วก็มีกฎระเบียบชัดเจน เช่นการขับรถเป็นต้น เปิดไฟเลี้ยว เปิดไฟขอทาง การให้ทาง การให้สัญญาณต่างๆ ประเทศนี้เค้าจะเป๊ะมาก อยู่ๆไปแล้วก็เกิดความปลอดภัยสบายกาย สบายใจ ชักจะไม่อยากกลับไทยแล้ว หรือว่าเราเริ่มแก่ เลยชอบความสงบ