[Spoil] คิดยังไงกันกับหนัง The Gift บ้างค่ะ ดูแล้วแอบนึกถึงหนังไทย ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ เลยนะ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไปดูเพราะกระแสดี เลยไปด้วยความคาดหวังสูงลิบลิ่ว คาดหวังแบบเดียวกะก่อนไปดู Gone Girl พอดูจบ จึงแอบผิดหวังนิดหน่อย เพราะหนังน่ะดีนะ แต่แบบมันไม่ถึงขนาดนั้นอ่ะ อันที่จริงต่อให้ไปด้วยความไม่คาดหวังอะไร ก้อจะแอบผิดหวังนิดนึง อีกทั้งชื่อเรื่องภาษาไทยยังพางง “ของขวัญวันตาย” ดูจบแล้ว อารมณ์แบบชื่อเรื่องเกี่ยวกับหนังตรงไหน(วะ) ต่อให้ตีความแบบเปรียบเทียบเฉยๆ ก้อไม่เข้าเค้าอยู่ดี เรื่องนี้เตรียมใจไปว่าจะให้ A หรือ B+ แต่พอดูจบให้ B- ละกันค่ะ

ดูเรื่องนี้แล้วนึกถึง ”ชัตเตอร์กดติดวิญญาณ” เลยอ่ะ ถ้าให้.....
บทของไซม่อน เป็นของ อนันดา
บทของรอบิ้น เป็นบทนางเอกเรื่องชัตเตอร์
บทกอร์ดอนเป็นบทผีที่อิมแสดง

สองเรื่องนี้แทบจะต่างกันแค่ไม่มีผี และต่างกันที่รายละเอียด แต่พล็อตหนังกะธีมหนังนี่คือเหมือนกันเลยอ่ะ 555


ไซม่อนเคยทำไม่ดีไว้กะเพื่อนสมัยเรียน ไซม่อนเป็นแนวประธานนักเรียนบ้าอำนาจ เป็นนักเลงโต แบบพวก Bully ที่เราเห็นในหนัง High School ของฝรั่ง และกระฉากใจมากตอนฉากเฉลยถึงเหตุผลว่าจะทำไปทำไมกัน ตอนที่รอบิ้นไปสืบเอาจากเพื่อนเก่าของไซม่อนว่า ไซม่อนทำอะไรไว้ และจะทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นไปทำไมกัน

.....ซึ่งเหตุผลก็คือ “Because he could.” เป็นเหตุผลที่สะเทือนใจมาก แต่ก็สะท้อนสังคมได้ดีมากค่ะ เพราะสังคมมีคนประเภทนี้อยู่จริงๆในทุกวงการ ไม่ใช่แค่ในโรงเรียนอย่างที่เห็นในหนังฝรั่งบ่อยๆ เพียงแต่ในวงการอื่น มันอาจจะมาในรูปแบบของการรังแกที่ไม่โจ่งแจ้ง ไม่ถึงเนื้อถึงตัวเท่าแบบที่นักเรียนชอบทำกันในโรงเรียน แต่มันจะมาแบบเนียนๆ เงียบๆ เรียบๆ หรือเพราะว่ายิ่งโตขึ้น ทุกคนจะมีชั้นเชิงมากขึ้นกันนะ เลยกลายเป็นการ bully แบบเชือดนิ่มๆ แบบมีชั้นเชิง แต่ผลลัพธ์ก็โหดร้ายเหมือนเดิม เผลอๆมากกว่าเดิมๆ ด้วยซ้ำ

หนังเรื่องนี้ในส่วนความระทึกขวัญ ก็ชอบมากนะ คือตัวหนังไม่มีฉากความรุนแรงมากนัก แต่มีการเล่นกับความรู้สึกอึดอัดของคนดูตลอดทั้งเรื่อง เพราะหนังชอบเล่นกับมุมกล้องและความเงียบ สร้างบรรยากาศชวนหวาดระแวง ไม่น่าไว้วางใจอะไรสักอย่างในเรื่อง (แต่ชื่อหนังภาษาไทยนี่ทำให้คิดว่า ในเรื่องจะมีฉากแบบจับไปทรมาน พยายามฆ่า เลือดสาดจอ อารมณ์หนังระทึกขวัญคนโรคจิต อะไรประมาณนั้น ก็แหม ชื่อภาษาไทยตั้งไปได้ “ของขวัญวันตาย” ทั้งเรื่องมีแค่ปลาคาร์พตาย คือนับด้วยมั๊ย!?!)

ภาพยนตร์จงใจทิ้งความค้างคาเรื่องที่ว่า ลูกเป็นของใคร ไว้ให้ทั้งกับไซม่อนและคนดู หนังไม่เฉลยอะไร ปล่อยให้คนดูตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกะไซม่อน และให้ไปพยายามตีความกันไปเอง นับว่าเป็นการจบที่ฉลาดมาก ที่ไม่ยอมใจดีเฉลยกับคนดู

เพราะฉากถอดสายคล้องคอตอนหนังจบ ก็ไม่ได้ช่วยให้ตีความได้ง่ายขึ้นเลย เพราะอาจแค่ไม่มีเหตุผลอะไรเลยแต่ แต่ใส่มาหลอกให้คนดูตีความกันไปโน่นนี้เฉยๆ หรืออาจเป็นฉากที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ว่า “กอร์ดอนแกล้งแขนหัก แต่จิงๆแขนปกติ = กอร์ดอนแกล้งว่าข่มขืนนางเอก แต่จิงๆไม่ได้ทำอะไรนางเอก” ซึ่งตรงนี้หนังก็ฉลาดดีที่ไม่ให้มีอะไรเคลียร์ซักอย่าง เพื่อให้คนดูเข้าใจความรู้สึกไซม่อนจริงๆ

พอหนังจบมีเรื่องให้น่าคิดต่อเช่นกัน คือจากในเรื่อง จะมีฉากนึงที่ไซม่อนพูดถึงพ่อตัวเอง ทำให้คิดต่อไปว่า พ่อเค้าอาจไม่ดีกับเค้า ไม่แน่อาจเป็นแนวทำร้ายร่างกายด้วย นี่อาจเป็นสาเหตุหรือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ไซม่อนกลายมาเป็นคนแบบที่เป็นอยู่ แล้วเลยไปรังแกผู้บริสุทธิ์แบบกอร์ดอน แบบแนวหาทางระบาย อยากแก้แค้นที่พ่อตัวเองทำผ่านการระบายใส่คนอื่นที่อ่อนแอกว่า (คือถ้าวิเคราะห์ต่อแบบเชิงจิตวิทยาอ่ะนะ) .....ส่วนกอร์ดอนเอง อันนี้เค้าโดนรังแกจากเพื่อนนักเรียนแล้วโดนพ่อตัวเองพยายามฆ่าอีก แล้วตอนจบ ถ้ากอร์ดอนข่มขืนนางเอกจริง ก้อเท่ากับกอร์ดอนแก้แค้นไซม่อนผ่านทางเมียกอร์ดอนที่เป็นผู้บริสุทธิ์เช่นกัน

นี่ผู้สร้างเค้าพยายามสะท้อนอะไรหรือป่าว หรือมันแค่เป็นความบังเอิญที่บทเขียนมาแบบนี้ ส่วนตัวคิดว่า เป็นอย่างแรก คือผู้สร้างตั้งใจสร้างความซับซ้อนทางอารมณ์ให้หนังและสะท้อนสังคมนะ คือแบบทั้งไซม่อน กอร์ดอน และรอบิ้น ก็ตกเป็นเหยื่อของอะไรสักอย่างกันหมดทุกคน (ไม่ว่ารอบิ้นโดนข่มขืนจริงหรือไม่ จากที่สถานการณ์ที่เจอในเรื่องก็นับว่าเป็นเหยื่อด้วยอยู่ดีนะ)

ชอบการแสดงของ Jason Bateman ในบทไซม่อนอ่ะ ชินแต่กับบทฮาหน้านิ่งๆของพี่เค้า แบบเรื่อง Horrible Bosses แต่เรื่องนี้ คือไม่มีสักวินาทีที่มองหน้าพี่แกแล้วฮา มีแต่มองแล้วรู้สึกไม่ชอบคนๆนี้ ดูเป็นคนไม่น่าคบ ไม่จริงใจ โดยเฉพาะพฤติกรรมเวลาล้อเลียนวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ทำได้น่ารังเกียจดีมากค่ะ
ฉากที่ไซม่อนไปทำร้ายกอร์ดอนน่ะ แสดงให้เห็นตัวตนจริงๆของไซม่อน คือดูก็รู้ว่า ไม่ได้ตั้งใจจะไปขอโทษด้วยซ้ำ เค้าดูเป็นคนที่อยากได้อะไรก้อต้องได้ แล้วพอกอร์ดอนไม่ยอมรับคำขอโทษ มันเหมือนหยามนาง ไซม่อนนางเลยปรี๊ดแตก เพราะไม่ได้ดังใจ พฤติกรรมตอนทำร้ายกอร์ดอนน่ะเหมือนพวก bully แบบที่เห็นในหนัง High School เลย เหมือนเค้าตั้งใจจะสื่อว่า ไซม่อนยังเป็นคนๆเดิม แค่มีอายุที่มากขึ้น

ที่ไม่ชอบมากๆคือช่วงก่อนตอนจบ คือพอบทที่ว่าทุกอย่างในชีวิตไซม่อน พอบทมันจะพัง ก็พังมันซะทุกเรื่อง ตั้งแต่หน้าที่การงาน ครอบครัว พังครืนพร้อมกันหมด ทำเป็นละครหลังข่าวบ้านเราเลย แบบพอตอนจบ คนไม่ดีจะต้องเจอเรื่องเลวร้ายทีเดียวมาแบบจัดเต็ม แบบยัดเยียดอารมณ์ความรู้สึกคนดู ตรงนี้มันโบราณมาก ไม่สมจริง ในชีวิตจริงยากมากที่จะเจอแบบนั้น อยากให้จบแบบ Match Point ของ Woody Allen ที่คนไม่ดีไม่จำเป็นต้องซวยเสมอไป เพราะในชีวิตจริงมันก้อเป็นอย่างงั้น

คือเข้าใจนะว่า ตอนนั้นคือหนังมันจะจบแล้ว ตัวบทอาจอยากให้การงานไซม่อนพังด้วย แต่ไม่รู้จะไปยัดไว้ตรงไหน เลยใส่มาพร้อมๆกันซะเลย หรือบทหนังอาจอยากสร้างความตึงเครียดให้ไซม่อนมาก เลยจัดหนักให้นางไปทีเดียวเลย แต่ก้อนั่นแหละมันทำให้ดูโบราณและไม่สมจริง คือหนังมันออกแนวดราม่าด้วยไง แบบระทึกขวัญปนดราม่า ก้อเลยควรให้สมจริงกว่านี้

เอ๊ะ หรือว่าหนังเค้าอยากให้จบแบบหนังตลาด แต่คือมันดูปนดราม่ามาทั้งเรื่องไง ก้อน่าจะให้จบแบบดราม่าๆ แต่ถ้าวิเคราะห์จากวันฉายจริง ใน USA เรื่องนี้ฉายตั้งแต่ช่วงต้นสิงหาคมที่ผ่านมานะ ซึ่งเวลานั้นมันแบบเป็นช่วงหนังตลาดฟอร์มเล็กๆฉายหลังจบเทศกาลซัมเมอร์ อะไรงิ เลยเป็นไปได้ว่า ผู้สร้างอยากให้จบแบบหนังตลาดเอาใจคนดูแนวตลาด แต่ก็ไม่อยากให้หนังตัวเองดูตล๊าดตลาดเกิน ก้อเลยใส่ดราม่าแทรกมาตลอดเรื่องด้วยให้หนังดูมีราคา มีระดับ

ส่วนตัวอยากให้จบแบบ …..

1.) ชีวิตไซม่อนพังแค่เรื่องครอบครัวเรื่องเดียว ซึ่งก็คือเรื่องที่เมียจะหย่ากับเรื่องที่ต้องไม่รู้ว่าลูกเป็นลูกตัวเองหรือเปล่า

2.) หรือถ้าจะให้ชีวิตไซม่อนพังหมดทุกเรื่องก้อได้นะ แต่ไม่ใช่พังพร้อมกันเป๊ะแบบนี้อ่ะ

3.) หรือส่วนตัว ถ้าจะให้ชอบที่สุด อยากให้จบแบบให้ชีวิตไซม่อนไม่พังเลยก้อได้นะ คือแบบไม่โดนเมียทิ้ง ไม่โดนให้ออกจากกงาน แต่ให้เค้าโดนแค่เรื่องเดียวคือเรื่องความต้องคาใจว่าลูกเป็นลูกใครกันแน่ ส่วนเรื่องอื่นก้อสมหวัง มีชีวิตดี๊ดีต่อไป เพราะในชีวิตจริง คนไม่ดีที่มีชีวิตดีก็มีอยู่ทุกหัวมุมถนน ถ้าหนังจบแบบนี้จะสมจริงมากและก็มีแง่มุมโหดร้ายซ่อนอยู่ด้วย ชอบค่ะชอบ น่าจะให้จบแบบนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่